Yangon เที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์
เช้าวันที่สองของทริปย่างกุ้ง เราตั้งใจจะเที่ยวกันเอง โดยใช้แผนที่ใน Lonely Planet เป็นหลัก โดยที่เราเลือกไปโซนที่อยู่ในละแวกเดียวกับโรงแรม อาหารเช้าของโรงแรมนับว่าดีทีเดียว มีโซนอาหารฝรั่ง ขนมปัง อาหารพม่า (ก๋วยเตี๋ยว) อาหารจีน ญี่ปุ่น และHalal

วันนี้เราจะเดินตามแผนที่ที่โชว์ข้างล่างนะคะ



เราออกจากโรงแรม (วงกลมด้านบน) ประมาณเกือบสิบโมง โดยเรียกแท็กซี่จากโรงแรมไปที่ Botatuang Paya (วงกลมข้างล้างสุด) ที่นี่เป็นพระธาตุที่บรรจุ Hair Relics ของพระพุทธเจ้า ที่นี่เป็นหนึ่งใน Big Three ของพระธาตุในย่างกุ้ง ..หนึ่งคือ Shwedagon สองคือ Sule Paya และสามคือที่นี่

แท็กซี่พาเราไปส่งที่ท่าเรือ (ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกับ Botataung Paya) และอธิบายใหญ่ว่าที่นี่เป็นที่ขนส่งสินค้า และเรือข้ามฟากของแม่น้ำย่างกุ้ง แถมยังบอกว่าจะจอดรถรอเราให้ไปถ่ายรูป.. พวกเราเลยต้องรีบบอกว่า “ไม่ต้องรอ.. เพราะเราจะเดินเที่ยวเอง..” และรีบยื่นเงินค่าแท็กซี่ K3,000 (= 85 บาท) ให้ แต่พี่ท่านก็ยังยื่นนามบัตรให้และบอกว่า ถ้าดูที่นี่เสร็จแล้ว อย่าลืมโทรเรียกเค้านะ



ยืนถ่ายรูปซักพัก รู้สึกว่าเป็นจุดสนใจของคนงานแถวนั้น และผู้คนที่เดินผ่านไปมา.. จนคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเดินออกมา (ดีกว่า).. เพราะแถบนั้นเต็มไปด้วยคนงานแบกข้าวสาร กล้ามเป็นมัด ๆ ..แอบกลัวเหมือนกัน

การเข้า Botataung Paya จะต้องเสียค่าเข้า USD2 ต่อคน และค่ากล้องอีก USD1 ต่อกล้อง .. พอจ่ายเสร็จเจ้าหน้าที่ก็พยักเพยิดให้เราเดินเข้าไปในเคาร์เตอน์เค้า... ฮั้วก็นึกว่าจะให้เข้าไปเอาใบเสร็จ .. ก็ยืนรอนานมาก ทำไมเค้าไม่ให้ซักที... จนเค้าเห็นเรายังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ .. เค้าก็ชี้ไปที่รองเท้า.. ก็เลยเป็นอันเข้าใจว่า “ฝากรองเท้าไว้ที่เค้าได้”... เฮ้อ ..นึกว่าเรื่องอะไร

พอเดินเข้ามาข้างในพระธาตุก็ต้องตะลึงที่ทุกที่เต็มไปด้วยสีทอง.. ไม่รู้ว่าทองแท้หรือเปล่า เพราะเค้าเอากระจกกั้นอีกที พวกของโบราณที่โชว์อยู่ข้างใน ก็มีประตูเหล็กและลูกกรงกั้น นัยว่ากันขโมย.. แต่กลับกลายเป็นทำให้ดูแล้วไม่ชัด เพราะมีลูกกรงมาบังความสวยงามไปซะหมด... บางที่ (ที่คิดว่าน่าจะสำคัญ) ก็มีทั้งกระจก ลูกกรง และประตูเหล็กกั้นสามชั้นแน่ะ..



ข้างในพระธาตุมีลักษณะเหมือนเป็นแฉก เพราะจะมีมุมให้นั่งสมาธิแบบนี้ได้ด้วย



พอมาถึงธีมสำคัญก็ต้องพบกับผู้คนล้มหลามรอคิวที่จะเข้าไปยญพระบรมสารีริกธาตุ .. กว่าจะรอผู้คนหมด จนได้รูปนี้มาก็ใช้เวลานานพอควรเลยทีเดียว.. ฮั้วเห็นกองแบ็งค์และเหรียญที่สุมอยู่ข้างในแล้วก็อดใจไม่ได้ที่ต้องโยนเข้าไปบ้าง...



พอออกมาข้างนอก ก็เห็นศาลาเล็ก ๆ ข้าง ๆ ที่คนพม่าเดินกันเข้าไป โดยผ่านบ่อเลี้ยงเต่า.. เต่าและปลาที่บ่อนี้ตัวใหญ่มาก ๆ และปริมาณก็เยอะมากเช่นกัน .. คงอิ่มหนำสำราญเพราะมีแต่คนโยนอาหารให้กิน รวมไปถึงเณรน้อยเหล่านี้ด้วย



พอออกมาด้านนอกก็เห็นของบูชาขายเต็มไปหมด.. ของบูชาที่นี่สวยมาก ๆ .. จะเป็นลูกมะพร้าวชุบด้วยทอง และมีกล้วยสีสวย (ออกแนวแดง ๆ) ตั้งใส่พานไว้



ฮั้วเดินดูชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกสงบจัง.. รู้สึกว่าเค้าจะมีความเป็นอยู่เรียบ ๆ ง่าย ๆ ..ไม่ฟุ้งเฟ้อ... คนที่นี่ขยันเดินเหมือนกันนะ.. สาว ๆ ทุกคนมือนึงจะถือร่มไว้กันแดด (และกันฝนด้วย.. เพราะตกบ่อยมาก ๆ) อีกมือนึงก็ถือปิ่นโต .. ใส่เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ๊ดเรียบ ๆ ใส่ลองกี หน้าแปะแป้ง ผมเผ้าก็ม้วนขึ้นไป.. ส่วนรองเท้าก็แตะแปะ ๆ ไม่มีส้นสูง รัดส้น... ธรรมดาแบบนี้ล่ะ ง่ายดี

ส่วนผู้ชายก็ไม่อายที่จะถือร่มนะ.. เดิน ๆ ก็จะหยุดสะบัดผ้าซักหน่อย หมุน ๆ บิด ๆ เสียบเข้าไปแล้วเดินต่อ... ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร ซ่อมรถ แบกของ.. ก็ใส่ลองกีนั่นแหละทำงาน ไม่มีกางเกง... ถ้าท่าต้องหวาดเสียวหน่อยหรือว่ารู้สึกร้อน ก็มัด ๆ ม้วนขึ้นมาเหน็บไว้เหมือนเป็นขาสั้น.. ในปากก็เคี้ยวหมากอย่างเมามันส์..



เดินดูผู้คนผ่านตึกโน้นตึกนี้ที่ระบุในแผนที่ วิ่งข้ามถนนโดยใช้ทักษะการข้ามถนนในบ้านเรา.. ไม่ต้องรอรถหยุด ..มองซ้ายขวาแล้วข้ามเลย.. ถ้ายึก ๆ ยัก ๆ จะต้องรอนานนะ... ขอบอก

คิดดูว่าแม้กระทั่งน้ำที่ขายก็เป็นรุ่นแบบเรียบง่าย.. ใส่น้ำแข็งในกรวย ... ราดน้ำให้เย็น ๆ แล้วดื่มเลย... แต่ฮั้วก็เห็นว่า ตามบ้านคนหรือตามวัด ก็มีตุ่มใส่น้ำไว้ให้คนมาดื่มได้ฟรีเหมือนกันนะ.. รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีต ที่คนยังมีน้ำใจต่อกัน...



ฮั้วเดินเลียบลัดซอยมาเรื่อย ๆ จนเกือบเที่ยง ผู้คนเริ่มออกมาจากตึกออฟฟิศเพื่อกินอาหาร.. ผู้คนครึกครื้นโดยแท้ นั่งกินอาหารริมทาง ..ลองนึกถึงแถวสีลมบ้านเราตอนเที่ยง.. ประมาณนั้นเลย.. เพียงแต่โต๊ะและเก้าอี้ริมทางนั้น ๆ มีความสูงครึ่งหนึ่งของที่มีในบ้านเรา.. จึงดูเหมือนผู้คนต้องนั่งยอง ๆ กินข้าว.. แปลกตาดี

อากาศวันนี้ร้อนมาก ๆ แดดเปรี้ยงตลอด.. ฮั้วเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหลบแดดในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง.. พอเดินเข้าไปเท่านั้นล่ะ... คนทั้งร้านหันมามองเราเป็นสายตาเดียว ร้านนี้ออกแนวร้านกาแฟชิว ๆ แถมสยามบ้านเรา.. มีแอร์ (แต่ความเย็นเหมือนไม่มี) ผู้คนดูเหมือนเป็นคนทำงาน แต่ยังอนุรักษ์ใส่ลองกีเหมือนเดิม นั่งกินเค้กและกาแฟ และดูเหมือนจะคุยธุรกิจกัน แต่ก็ยังไม่วายมองเราเหมือนเป็นตัวประหลาด.. จนต้องรีบกินรีบเผ่น...

แถวนี้เป็นที่ตั้งของทั้งสถานฑูตอเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย อังกฤษ ที่ทำการไปรษณีย์และธนาคารกลางของพม่า.. จึงไม่สงสัยว่าทำไม ฮั้วถึงได้พบเห็นภาพที่ว่า มีคนขายแบบฟอร์มเต็มไปหมด ไม่รู้ฟอร์มติดต่อที่ไหน และมีคนตั้งโต๊ะเหมือนรับจ้างเขียนจดหมาย เขียนฟอร์ม หรือแม้กระทั้งพิมพ์เอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ดีด.. ใช่ค่ะ เครื่องพิมพ์ดีด.. ที่แทบจะไม่ได้เห็นในบ้านเรา.. แต่กลับมีเต็มไปหมดที่พม่า



ที่นี่ (ย่างกุ้ง) ฮั้วไม่เห็นโทรศัพท์สาธารณะเลย.. เพราะเค้าใช้เป็นระบบโทรศัพท์แบบในรูป.. พอจะโทรก็จ่ายกับเจ้าของร้าน... ที่นี่ฮั้วไม่ได้เปิด roaming ไว้เลย.. เพราะ (คิด) ว่าไม่มีสัญญาณนะ

ตอนนี้ฮั้วเดินมาถึงสวนสาธารณะที่ชื่อว่า “Mahabandoola Garden” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Independence Monument.. ตอนแรกนึกว่าเป็นสวนสาธารณะที่เข้าฟรี.. แต่พอเดินเข้าเขตเท่านั้นล่ะ.. ก็มีผู้หญิงตั้งโต๊ะ รีบโบกมือให้เราไปจ่ายค่าเข้าทันที... ค่าเข้าคือ K600 (=17 บาท) ต่อคน... (มิน่าไม่มีคนเลย )

ถ้าถามว่าคุ้มไหม ก็คงไม่คุ้มเท่าไหร่หรอก.. อะไรกัน เข้าสวนสาธารณะก็ต้องเสียตังค์ แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้ร้อนมาก ๆ อยากได้ที่ร่ม ๆ นั่งพัก... ก็เลยยอมเสีย 17 บาท .. และก็ได้ภาพสวย ๆ เหล่านี้มาเป็นการตอบแทน



ที่นี่นับเป็นสวนที่ร่มรื่นกลางใจเมืองพม่าที่แวดล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ๆ เช่น City Hall, Sule Paya และสถานฑูตอเมริกา (ซึ่งติดป้ายอย่างชัดเจนไว้ว่า “ห้ามถ่ายรูป”)



คราวนี้ก็ถึงเวลาของการเยี่ยมชมหนึ่งในพระธาตุหลักของย่างกุ้ง คือ Sule Paya .. เป็นพระธาตุที่อยู่ใจกลางเมืองจริง ๆ ซึ่งเป็นวงเวียน (คล้าย ๆ อนุเสาวรีย์ชัยฯ บ้านเรา)... ที่นี่ว่ากันว่ามีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยเช่นกัน .. แปลกอยู่นิดนึง คือ ที่นี่ไม่ต้องเสียค่าเข้าค่ะ ... แต่ต้องฝากรองเท้าซึ่งต้องเสียเงิน (บริจาค) ให้สาว ๆ ที่เฝ้ารองเท้า... แต่ฮั้วเหรอ.. เอาถุงพลาสติกมาเอง..



ช่างแตกต่างกับโลกภายนอกซะเหลือเกินค่ะ.. ข้างนอกรถติด ผู้คนวุ่นวาย ขายของ แลกเงิน ขอทาน.. แต่ข้างในสงบเงียบเหมือนว่ากำแพงล้อมรอบเขตพระธาตุในบริเวณเล็ก ๆ นี้ ก็ได้กั้นเอากิเลสพวกนั้นออกไปด้วย ผู้คนเข้ามานั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือแม้กระทั้งพึ่งความร่มรื่นของบริเวณนี้เพื่อหลบความร้อนระอุจากข้างนอก



ทุกวัดจะมีบริเวณแบบนี้ให้พุทธศาสนิกชนสรงน้ำพระแทบทุกที่เลยค่ะ..



ฮั้วเดินออกมาจาก Sule Paya ก็พบกับบรรดาแขกและพม่าที่เข้ามารุมถามว่าต้องการแลกเงินไหม... นับว่าถ้าคุณเดินเที่ยวที่พม่า ไม่ต้องไปหาที่แลกเงินเลยค่ะ.. มีคนเข้ามาหาคุณแน่ ๆ ..

ต่อจากนั้นฮั้วก็เดินตรงมาด้านถนน Mahabandoola ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนคนแขก หรือ Little India ที่เราคุ้นเคยนะเอง และถัดไปอีกหน่อยก็เป็นแหล่งคนจีน หรือ China Town.. ฮั้วว่าสองแหล่งนี้ต้องมีในทุก ๆ ประเทศในโลกแน่ ๆ เลยค่ะ

พอเดินเข้าชุมชนแขก ก็เหมือนหลุดไปอยู่ในโลกของอินเดียจริง ๆ ค่ะ.. ช่างเป็นเอกลักษณ์จริง ๆ .. ไม่ว่าชาวอินเดียจะไปอยู่ที่ไหน เค้าก็สามารถสร้างชุมชนให้เหมือนบ้านเกิดเค้าได้... มีของถูก ๆ ขายเต็มไปหมด... คนที่เดินไปมาก็บ่งบอกเชื้อชาติมาก ๆ บรรดาขนมและอาหารก็กลิ่นอินเดี๊ย อินเดีย...



เดินไปซักพักก็เห็นคนมุงกันหน้าร้าน ๆ หนึ่งเต็มล้นออกมาถึงถนนแน่ะค่ะ.. ที่ป้ายเขียนว่า “Clinic” .. ไม่รู้หมอที่นี่จะรวยรึเปล่า.. แต่ที่แน่ ๆ งานคงหนักมาก ๆ แน่ ๆ ค่ะ

ด้วยความร้อนจัด.. ฮั้วจึงหยุดแวะดื่มน้ำอ้อยคั้นสด ๆ .. เครื่องปั่น ๆ แบบนี้หาไม่ได้แล้วในกรุงเทพ.. ฮั้วจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เคยวิ่งไปที่ตลาดแถวบ้าน เพื่อซื้อน้ำอ้อยคั้นแบบนี้ทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้มีแต่น้ำหวานผสมน้ำอ้อยขายเต็มไปหมด.. พอเห็นร้านนี้เลยต้องหยุดระลึกถึงความหลังซักนิดค่ะ...

แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ... น้ำอ้อยสดมาก ๆ .. เพราะคั้นกันเห็น ๆ .. เทใส่แก้ว แล้วบีบมะนาวใส่หนึ่งลูก... อร่อยชื่นใจมาก ๆ ค่ะ.. ราคาก็ไม่แพงเลย K300 (= 9 บาท) เท่านั้นเอง

การเดินไปตามถนนหนทางที่นี่ ถ้าเห็นรอยแดง ๆ เต็มไปหมด ก็ไม่คิดว่าคือสกปรกหรือเลือดนะคะ.. มันคือรอยน้ำหมากค่ะ... คนที่นี่ยังฮิตกินหมากอยู่ ไม่ใช่แค่คนแก่นะคะ.. หนุ่ม ๆ นี่ล่ะ ตัวดี กินหมากกันทั้งนั้น ... แถมยังชักชวนฮั้วให้ลองด้วย.. อืม.. ขอบายดีกว่าค่ะ...



ขอสารภาพว่าฮั้วเกิดมาไม่เคยเห็นใครกินหมากเลย... บ้านฮั้วไม่มีใครกิน.. พอไปที่นี่ “หมาก” เลยเป็นสิ่งแปลกใหม่จนต้องบันทึกภาพไว้... ไปดูวิธีการทำหมากได้ที่นี่เลย //huaphotos.multiply.com/video/item/5

ตอนนี้ฮั้วเดินใกล้จะถึงตลาดสก๊อตเข้ามาทุกที (Bogyoke Aung San Market) ..ตอนแรกก็ห่วงว่าเดินลัดเลาะซอยมาอย่างนี้จะรู้ได้ยังไงว่าถึงแล้ว... แต่ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ.. ตลาดใหญ่มากกกกกก.. ไม่มีพลาดแน่ ๆ ...



ตลาดสก๊อตเป็นตลาดหลักในเมืองย่างกุ้ง เรียกได้ว่า หาซื้อได้แทบทุกอย่างค่ะ ตั้งแต่เพชรพลอย ของมีค่า ไปจนถึงของใช้ในบ้าน ของที่ระลึก .. เป็นตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวจริง ๆ.. นึกจะแลกเงินก็ที่นี่แหละ

ข้างในจะแบ่งเป็นซอย ๆ โซน ๆ ได้อารมณ์แบบจตุจักรบ้านเรา... ตอนแรกฮั้วก็งง ๆ เดิน ๆ ไปเหมือนวนอยู่กับที่ แต่พอเริ่มเดินได้ที่ ก็เริ่มจับซอยได้ว่าอยู่โซนไหน.. ใครว่าผู้หญิงไม่รู้จักทิศ...อิ อิ

เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะมีคนหน้าเดิม ๆ ย้ำ..เดิม ๆ จริง ๆ มาคอยถามเราว่าต้องการแลกเงินไหม “Change money?” คือพวกเราโดนถามคนจำหน้าได้แล้วอ่ะ.. แต่คนถามสิ น่าจะจำซักนิดว่าเพิ่งถามเราไปเมื่อตะกี้นี้เอง...

อีกอย่างที่เยอะคือ ขายโปสการ์ดกับแผนที่.. เดินตามพวกฮั้วเหมือนเป็นดาราเลยค่ะ... ไม่ยอมปล่อยให้หลุด.. ฮั้วว่าอาจจะเป็นที่มากันแค่สองคน ไม่ได้เป็นกรุ๊ปทัวร์ เลยเหมือนน้ำตาลก้อนน้อยให้มดรุมน่ะ.. อ้อ.. ขอทานก็เยอะค่ะ... เห็นเราเป็นเหมือนขุมทรัพย์เลยล่ะ.. เดินตามกันเป็นขบวน..บางคนตามเป็นสิบนาที แล้วก็จะพูดไปด้วยว่า “Hello Money...Hello Money”… แต่นะ หญิงไทยใจแข็งอ่ะ

เพื่อนฮั้วอยากซื้อลองกีไปใส่.. เราจึงเดินเข้าไปในซอกลองกี... หู.. สาว ๆ ที่นี่เข้ามามะรุมมะตุ้มพวกเรากันใหญ่เลยค่ะ...เข้ามาประชิดตัวแบบที่เรียกว่า “ถึงเนื้อถึงตัว” เลยค่ะ.. เรียกได้ว่าค่อนข้างอึดอัดเลย.. แต่ที่ต้องระมัดระวังที่สุด คือกระเป๋าตังค์ค่ะ..

การซื้อของที่นี่ ต้องอาศัยวิชาต่อราคานะคะ.. และควรจะถามราคาเป็นจั๊ดด้วย.. เพราะส่วนมาก พอเค้าเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว เค้าจะบอกราคาเป็นดอลล่าห์มา เช่น ลองกีราคา USD2 แต่พอถามราคาจั๊ตจะอยู่ที่ K2,000 ซึ่งตามเรทแล้ว.. ซื้อเป็นจั๊ตถูกกว่าค่ะ

พวกเราได้แลกเงินเพิ่มที่นี่ด้วยค่ะ อีก USD30 (โดยได้เรทแค่ K1,200 ต่อ USD1) .. ก็พอมีคนมาถาม เราก็ถามเรทไปเลย.. ถ้าชอบใจก็เดินตามเค้าเข้าไปมุมมืด.. จริง ๆ ก็ไม่มืดหรอกค่ะ.. แต่ไม่ใช่กลางตลาดที่ผู้คนเดินผ่านไปมา ก็ต้องเข้าซอยนิดนึง ... แล้วก็แลกกันตรงนั้น.. เรทจั๊ตที่ได้จะขึ้นกับจำนวนดอลล่าห์ที่แลกค่ะ

ป.ล. เราไม่ควรให้เงินดอลล่าห์กับเค้าจนกว่าเราจะนับเงินจั๊ตว่าได้ครบตามที่ตกลงนะคะ.. ถ้าเค้าพูดไม่เข้าใจ เร็ว สำเนียงประหลาด.. ต้องเอาให้เคลียร์ก่อนที่จะตกลงนะคะ.. เพราะมีหลายคนโดนทริ๊กแบบเค้าพูดมาเยอะมาก ส่วนเราก็มัวแต่คิดเงินกลับไปกลับมา ฟังไม่ค่อยจะทัน...พอแลกเสร็จได้เงินไม่ครบ แย่เลยค่ะ... ส่วนฮั้วเอาเครื่องคิดเลขไปด้วย ..คิดตรงนั้นให้เห็น ๆ เลย



ร้านขายของที่นี่น่ารักมาก ๆ ค่ะ...อาหาร ขนม ผลไม้ก็น่ากินไปหมด.. อยากลองซื้อมากิน แต่ก็กลัวผลที่ตามมาค่ะ.. เลยได้แต่ยืนน้ำลายหกแหมะ ๆ ...



หลังจากนั้นเราก็เดินกลับโรงแรมค่ะ.. มีแวะดื่มน้ำร้านสุดหรูใกล้ ๆ กับตลาดสก๊อต.. สั่งโค๊กสองกระป๋องกับน้ำเปล่าขวดหนึ่ง..โดนค่าเสียหายไป K2,400 (= 68 บาท) .. แล้วก็ไปแวะซื้อเป็นแสน็คแถว ๆ โรงแรมกิน.. เพราะคืนนี้เราจะไปกินร้านอาหารสุดหรูที่การาเวกค่ะ.. ต้องเตรียมเผื่อท้องไว้นิดนึง

เราเรียกรถแท็กซี่จากโรงแรมไปร้านการาเวก (Karaweik) ซึ่งเป็นร้านริมทะเลสาบ Kandawgyi .. ทางเข้าจะต้องผ่านสวนสาธารณะ..จึงต้องเสียค่าเข้า.. แต่คนขับเรายืนยันว่าไม่จ่าย เพราะจะพาลูกค้าไปส่งที่ร้านนี้.. เห็นเถียงกันซักพัก.. เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านเข้าไปฟรี ๆ ... เออ.. เจ๋งแฮะ



ฮั้วนัดแนะให้เค้ามารับไปด้วยค่ะ หลังโชว์เสร็จประมาณสองทุ่มครึ่ง .. เพราะไม่งั้นต้องเดินออกไปถนนใหญ่.. แต่จริง ๆ ก็ระยะเดินได้นะคะ... อาหารที่นี่เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์พร้อมโชว์ ราคาอยู่ที่ K9,900 (= 566 บาท) .. โชว์จะเริ่มประมาณทุ่มครึ่งค่ะ..

ที่ทางเข้าเค้าก็จะให้เราเลือกโต๊ะ ซึ่งก็มีไม่มากนักหรอกค่ะ.. และอยู่ด้านหลัง ๆ ด้วย... เพราะข้างหน้าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์จองไว้ทั้งนั้นเลย... พอเข้าไปถึงข้างใน ก็นับว่าทำได้โอเคค่ะ แต่ไม่ได้ดีมาก.. อาหารออกแนวอาหารไทยซะด้วยซ้ำ.. ฮั้วว่าพ่อครัวหรือแม่ครัวต้องเป็นคนไทยแน่ ๆ เลย..สังเกตจากไกด์ของทัวร์พูดคุยกับพนักงานและคนที่ดูเหมือนเป็นผู้จัดการร้านด้วยภาษาไทยค่ะ... แปลกดี.. ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าไม่มีโชว์วัฒนธรรมพม่าเนี่ย ตกลงชั้นกินในร้านอาหารไทยใช่ไหมอ่ะ

อาหารที่นี่นับว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้อร่อยมากค่ะ (บอกตรง ๆ).. ดีที่มีโชว์เท่านั้นเอง... แต่พอโชว์เริ่ม ก็เป็นเวลาที่กรุ๊ปทัวร์เพิ่งมาถึง... ก็ตามสไตล์ล่ะค่ะ.. คนเดินเข้าเดินออก คุยกันเสียงดังเพราะเป็นกลุ่มใหญ่ ตะโกนกันโหวกเหวก.. โชคดีจริง ๆ ที่ฮั้วไปถึงตั้งกะทุ่มนึง จึงได้กินสบาย ๆ ไม่ต้องไปวุ่นวายกับซุ้มกินข้าว

ส่วนโชว์ที่นี่ก็โอเคค่ะ.. ดูตัวอย่างได้ที่นี่ //huaphotos.multiply.com/video/item/7

ถ้านับว่าคุ้มกับเงินมั๊ย ก็คุ้มนะคะ.. แต่คงครั้งเดียวค่ะ.. คราวหน้าไปก็คงไม่แวะไปกินแล้วอ่ะ.. ครั้งเดียวคงเกินพอ ..เอ๊ะ..ยังไง



พอออกมา ก็เจอคนขับคนเดิมมารออยู่แล้ว.. เลยต้องขอเค้าถ่ายรูปก่อนซักแป๊บ เพราะจากมุมนี้ร้านการเวกและชเวดากองสวยมาก ๆ ค่ะ



“พรุ่งนี้แล้วสินะ.. ที่เราจะได้ไปเยี่ยมชเวดากอง..” ฮั้วนึกในใจ...

ชมภาพตอนนี้ได้ที่นี่ //huaphotos.multiply.com/photos/album/22



Create Date : 28 พฤษภาคม 2550
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 20:36:44 น.
Counter : 1315 Pageviews.

7 comments
  
เก่งจังเลยไปเที่ยวเองได้ อยากไปมั้ง แต่ก็ยังไม่กล้า กลัวไปหลงทาง ไปไหนไม่ถูกแน่เลย
โดย: พนมรุ้ง12 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:55:08 น.
  
ตามมาเที่ยวด้วยค่ะ อยากไปดูเจดีย์ชเวดากอง ^^
โดย: Invisible Angel วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:17:02 น.
  
เจ๋งค้าบบบ เก็บข้อมูลๆๆ อิอิ
โดย: NiToRiA วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:26:57 น.
  
ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:57:15 น.
  
ความรู้เพียบจิงๆ ขอบคุณค่ะ
โดย: บักมี่ IP: 203.147.21.126 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:9:10:17 น.
  
ตามมาเที่ยวต่อค่ะ
โดย: ลิปดา-พิลิปดา (ไม่ได้ล็อคอิน) IP: 161.200.255.162 วันที่: 19 มิถุนายน 2550 เวลา:23:57:30 น.
  
ยินดีต้อนรับค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:45:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
29
30
31
 
 
  •  Bloggang.com