|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
▷ โจรานุโจร (4) กลับ เขาปู่..นายพลคนขลังแห่งนครศรีธรรมราช▷ ..สถาพร ศรีสัจจัง
ตำนานเกี่ยวกับ “ขุนโจรโดดเดี๋ยว” กลับ เขาปู่ แห่งจังหวัดพัทลุงถูกเล่าสืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะของชาวบ้าน มีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเพียงรายเดียวที่เขียนเป็นบันทึกเกี่ยวกับการไปล้อมจับในครั้งหนึ่งเอาไว้ นั่นคือมือปราบโจรคนสำคัญของชาวใต้ ที่เคยมาตะลุยบรรดา “ไอ้เสือ” ภาคกลางแตกกระจายไปหลายก๊ก แม้แต่ก๊กใหญ่ๆอย่างก๊กเสือฝ่าย-เสือมเหศวรก็ยังขยาด
นั่นคือ นายพลคนขลังแห่งนครศรีธรรมราช นามพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตผู้กำกับการตำรวจ จังหวัดพัทลุง
เจ้าของฉายา “ขุนพันธุ์ฯ ดาบแดง” หรือ “จอมขมังเวทย์” หรือ “หนวดพระกาฬ” ฯลฯ และอีกมากมายฉายานั่นแหละ
เรื่องเกี่ยวกับ “ขุนโจรโดดเดี่ยว” หรือกลับเขาปู่ มีนิทานคำกลอนที่ใครบางคนเขียนไว้เริ่มต้นขึ้นดังนี้
“...ริมเขาปู่ลึกลับกลับก่อเกิด/ด้วยแม่พ่อหนีเตลิดเจ้าที่ใหญ่/มาตั้งหลักปักโคนโค่นป่าไพร/เบิกนาใหม่ทำไร่พอได้กิน/พ่อกลับนั้นเป็นเชื้อไอ้เสือเก่า/แต่ครั้นพบแม่เข้าก็เลิกสิ้น/แม่นั้นเป็นลูกสาวเจ้าที่ดิน/ความสวยลือทั่วถิ่นทุกคุ้งนา/พ่อกับแม่พบกันในวันสาร์ท/งามแม่นั้นแวววาดทุกท่วงท่า/พ่อจึงจำสนิท-จำติดตา/และตั้งแต่นั้นมาพ่อหาทาง...
..หาทางประชิดติดต่อ/แม่ก็เป็นใจให้บ้าง/เมื่อรักเริ่มโรจน์เรื่อราง/พ่อเลิกมือล้างสิ่งเลว/พ่อให้สัญญาหน้าพระ/ว่าจะเลิกล้างแหลกเหลว/เมื่อรักแท้แรกแตกเปลว/เกิดเหวหนมิดปิดทาง/รวยจนต่างชั้นกันมาก/เหมือนหลุมเหมือนขวากขัดขวาง/เจ้าที่ดินใหญ่ใจจาง/ปิดกั้นทุกอย่างทางรัก...
..แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อพาหนี/พ่อตีฝ่าประเพณีอย่างหาญหัก/พ่อว่าใจแม่แข็งแกร่งยิ่งนัก/เกินจักหาใครเปรียบได้เลย/พ่อถูกยิงสามครั้งระหว่างหนี/พ่อไม่ต่อพ่อไม่ตีพ่อวางเฉย/กับควันปืนกลิ่นกรุ่นที่คุ้นเคย/พ่อลงเอยโดยล้างโดยเลิกรา/แล้วจึงเข้ามาปักหลักที่นี่/เกิดคนดี “กลับหาย” ไว้ห่วงหา/เป็นสุดรักสุดหวงเป็นดวงตา/ของพ่อแม่ชาวนาป่าดงดอย...”
นิทานเขาเปิดเรื่องอย่างนี้ – เป็นฝีมือของนักเขียนร่วมสมัยชาวพัทลุงคนหนึ่งที่ฟังว่ากำลังจะตีพิมพ์ “นิทานคำกลอนสมัยใหม่” เรื่องนี้ในบางแหล่งบางที่ในเวลาหลังจากนี้ไม่นาน บังเอิญได้อ่านต้นฉบับก่อน จึงนำมาเล่าพอให้ “ขากลอน” น้ำลายสอกันเล่น
สรุปก็คือ นายกลับเจ้าของตำนาน “ปล้นคนรวยแจกคนจน” และ “ไม่ฆ่าคนโดยเด็ดขาด” ผู้เป็นเจ้าของตำนาน “โจรโดดเดี่ยว”คนนี้เป็น “คน 2 เมือง” ไปๆมาๆ อยู่ระหว่างหมู่บ้านแถบเชิงเขาพับผ้าฝั่งซ้ายและฝั่งขวาคือจังหวัดพัทลุง-ตรังนั่นเอง
ถ้าพูดเป็นเขต “การเมือง” ในปัจจุบันก็ต้องบอกว่าเป็นคนในเขตเลือกตั้งของคุณชวน หลีกภัย หรือคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายแพทย์สุกิจ อัตโถปกรแห่งพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดตรังรวมไปถึงเขตอิทธิพลทางการเมืองของชาวเสื้อแดงอย่าง คุณวีระ มุสิกพงศ์ (ต้องประทานโทษที่จำชื่อใหม่ท่านไม่ได้สักที)คุณวิภูแถลง(นี่ก็ต้องขอโทษอีกเช่นกัน) และ คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย(คนนี้จำได้เพราะเคยเป็นชาว “สภาหน้าโดม” แห่งธรรมศาสตร์รุ่นแรกๆ)นั่นเอง
เล่ากันว่า-พ่อแม่ต้องการให้ลูกชายมีวิชาจึงส่ง “กลับ เขาปู่”ไปเรียนวิชา ณ “ตักศิลา” แห่งยุคสมัยคือ “วัดเขาอ้อ” แห่งจังหวัดพัทลุงที่ลือเลื่องด้านไสยเวทย์วิทยาคมมาตั้งแต่ยุคอยุธยา จนสำเร็จวิทยายุทธ์ชั้นสูงของสำนัก ฟังว่าเนื่องจากนิสัยใฝ่ทางดีงามพระอาจารย์จึง “ให้วิชา” แบบหมดไส้สิ้นพุง อันนี้เองจึงเป็นที่มาของคำลือเรื่องหายตัวได้ในภายหลัง
กลับเขาปู่ต้องศึกษาลาเพศจากพระอารามเพราะต้องการออกมา “ปกป้อง” และแก้แค้นโจร ที่มาปล้นบ้านพ่อแม่ หลังจากแก้แค้นสำเร็จแล้วก็กลายเป็น “คนนอกกฎหมาย” ของอำนาจรัฐในยุคตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นรัชกาลที่ 9 โดยเข้าบุกปล้นบ้านคนมีเงินที่ส่วนใหญ่(ฟังว่า) ได้ทรัพย์มาโดยทางมิชอบนัก เช่น เป็นเจ้าที่ดิน เป็นพวกนายเงินออกดอกเบี้ย เป็นพวกชอบเอาเปรียบชาวบ้านหรือเป็นคนที่เห็นแก่ตัวไม่ชอบทุกบุญสุนทานฯลฯ
ที่สำคัญก็คือ มีคำเล่าต่อกันมาว่ากลับ เขาปู่ทำตามข้อห้ามข้อติงของพระอาจารย์ทุกอย่างทั้งช่วยเหลือคนทุกข์ยาก และทำบุญศุลทานโดยตลอดเพื่อลบล้างกรรมที่ตัวเองก่อ วิชาความรู้ที่ได้จากสำนักจึงไม่เสื่อมไปตามกรรมชั่วที่ทำ
ตามประวัติแม้จะถูกตั้งค่าหัวและถูกตามจับครั้งแล้วครั้งเล่าหลายยุคหลายสมัยก็ไม่เคยมีใครหรือนายตำรวจคนไหนจะจับกลับ เขาปู่ได้เลย กระทั่งท้ายสุดโจรโดเดี่ยว(ปฏิบัติการคนเดียว) ก็เข้ามอบตัวกับทางการที่จังหวัดตรัง
มีคำเล่า(อีกนั่นแหละ)ว่า เมื่อถูกส่งไปจำขังในเรือนจำจังหวัดนั้น กลับ เขาปู่ ถูกถือเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์(เพราะมีคดีความเป็นจำนวนมาก) จึงถูก “ตีตรวน” ทั้งมือเท้าอย่างแน่นหนา แต่ติดคุกติดเรือนจำอยู่ได้ไม่กี่วัน กลับ เขาปู่ก็บ่นกับผู้คุมคนหนึ่งว่า “กูคิดถึงบ้าน-กูไม่อยู่แล้ว” จนเป็นที่หัวเราะกันกลิ้งของเพื่อนนักโทษและผู้คุมทั้งหลาย เพราะโทษของกลับ เขาปู่ต้องติดคุกตลอดชีวิต
แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิด เมื่อผู้คุมไปตรวจตราที่นอนกลับ เขาปู่ ในวันต่อมาก็พบว่ามีเพียงโซ่ตรวนที่ถูก “รูด” กองไว้เท่านั้น ไม่มีร่างของขุนโจรโดดเดี่ยวให้ใครเห็นอีกต่อไป ตามหาในเรือนจำกันทุกซอกทุกมุมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
กลับ เขาปู่ ผู้มีตำนาน “หายตัวได้” และมีวิชาสารพัดขลังสำแดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว!
บันทึกของพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชเมื่อครั้งได้ข่าวว่า “กลับหาย” แอบมาพักอยู่กับภรรยาคนหนึ่ง(น่าจะมีภรรยาหลายคน)ที่บ้าน “นาท่อม” อ.เมือง จ.พัทลุง บอกว่า ท่านได้นำกำลังไปล้อมจับนายโจรมีค่าหัวคนนี้ด้วยตัวเอง โดยนำกลังหมวดหนึ่งตั้งแต่ย่ำดึกไปล้อมบ้านเอาไว้ ด้วยรู้ว่า “กลับ เขาปู่” นั้นมีวิชามาก จึงต้องการให้ปรากฏตัวก่อนต่อยเข้าล้อมจับ ผลีผลามเข้าไปก็รังแต่จะคว้าน้ำเหลวเหมือนที่นายตำรวจคนอื่นเคยประสบมา
ขุนพันธ์ฯ บันทึกว่า ท่านและคณะรอจนเช้า เห็นนายโจรกลับเดินออกมาที่นอกชาน จ้องมองไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังเริ่มฉายแสงแล้วตักน้ำใน “เผล้ง” ที่นอกชานมาบ้วนปาก(เข้าทำนองทำพิธีกรรมให้ตัวเองยามเช้าตามแบบคน “เล่นของ”)ท่านบอกลูกน้องว่าห้ามยิงโดยเด็ดขาด(เพราะรู้ว่าปืนไม่สามารถทำอะไรคนมี “วิชา” ที่แท้จริงได้) จะจับโดยเมื่อกลับเดินทางผ่านมาทางที่ซุ่มท่านจะเป็นลุกกระโดดต่อยให้ขุนโจรล้มและให้ตำรวจลูกน้องกรูเข้าไปมัด-มีทางนี้ทางเดียวที่จะทำให้จับตัวได้ และเหตุก็เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ คือกลับเดินทางมาทางนั้นจริง ท่านกระโดดต่อยจนกลับล้มลงจริง แต่เขาลุกขึ้นวิ่งได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ท่านบันทึกว่าท่านและตำรวจวิ่งไล่กันเห็นหลังไปติดๆตามลำรางร้าง แต่เพียงผ่านโค้งเดียวร่างของ กลับ เขาปู่ “ขุนโจรโดดเดี่ยว” ก็หายจ้อย
นี่คือ บันทึกจริง-จากคนจริงที่ชื่อพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชผู้เข้มขลังแห่งเมืองนครศรีธรรมราชคนนั้น!
และตั้งแต่นั้นมาก็ฟังว่า ไม่มีใครได้พบเห็นร่างของ กลับ เขาปู่ ขุนโจรโดดเดี่ยวผู้ปล้นคนรวยแจกคนจนอีกเลย กระทั่งฟังว่า (อีกนั่นแหละ) ท่านสิ้นชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคชรา ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งริมเขาพิบผ้าแห่งจังหวัดพัทลุง
นี่คือคนถูกเรียก “โจร” ที่ยังคงเหลือชื่ออยู่ในตำนานคนหนึ่งของชาวใต้ ของชาวพัทลุง-ตรัง เหลืออยู่ในเสียงเล่าลือที่เป็น “บวก”
คำ “โจร” ในหลายครั้งจึงหาได้ใช้เรียกคนเลวเสมอไปไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ใช้คำนี้ตกอยู่ภายใต้ฐานของ “อคติ” อะไรต่างหาก!!
credit : siamrathnews
Create Date : 02 มีนาคม 2555 |
Last Update : 2 มีนาคม 2555 12:23:54 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1912 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |