1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
ค ว า ม รู้ เ ก่ า ค ว า ม รู้ ใ ห ม่....
ในแวดวงการค้นคว้าวิจัย เพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ๆ สิ่งที่นักวิจัยหรือนักค้นหาความรู้เข้าใจและยอมรับกันโดยทั่วไป ก็คือ การค้นพบความรู้ใหม่บางครั้งทำให้ความรู้เดิมบางอย่างหมดค่าไป เพราะมันถูกหักล้างด้วยความรู้ที่ถูกค้นพบใหม่ แต่ในบางครั้งความรู้ที่ค้นพบใหม่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ความรู้เดิมที่มีอยู่กลับมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากความรู้ใหม่สามารถอธิบายความรู้เดิมได้ละเอียดมากขึ้น หนักแน่นและชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งความรู้ที่เกี่ยวกับคน ความคิด สติปัญญา อารมณ์ของคน ความสัมพันธ์ระหว่างคนยิ่งเห็นได้ชัด จนอาจพูดได้ว่ายุคนี้คือยุคของการเข้าถึงความรู้ที่เกี่ยวกับความคิด สติปัญญา อารมณ์ และความสัมพันธ์ของคนได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็ว่าได้ เมื่อก่อนเรามีความรู้ว่าระดับสติปัญญา (Intelligence) ของคนคือสิ่งที่จะพยากรณ์ความสำเร็จในอนาคตของคนเราที่ดีที่สุด คนที่มีระดับสติปัญญาสูงจึงเป็นที่ต้องการของสังคม เพราะเราเชื่อว่าคนที่มี คะแนนสติปัญญา หรือ ไอคิว (IQ) สูงจะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดี เรียนหนังสือก็เก่ง เรียนงานก็ไว เขาจึงเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าคนอื่น ใครๆต่างก็อยากได้ไว้ทำงานด้วย แต่ปัจจุบันความรู้ใหม่บอกให้เรารู้ว่า ความรู้ความสามารถในการจัดการกับตนเอง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Executive Function นั้นมีความสำคัญกว่า คะแนนสติปัญญา หรือ ไอคิว เสียอีก เพราะสามารถพยากรณ์ความสำเร็จในการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตในอนาคตของคนเราได้ดีกว่าไอคิวขอบคุณพิเศษภาพประกอบภาพนี้จากwww.gotoknow.org เขาให้คำอธิบายว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต การงาน หรือแม้แต่การเรียนหนังสือได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การเรียน หรือแม้แต่การใช้ชีวิต คนที่มีการวางแผน คนที่มีการตั้งเป้าหมายของชีวิตหรืองาน มีการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และเมื่อทำไปแล้วก็มีการประเมินสิ่งที่ได้ทำลงไป (ตามแผน) ว่าสามารถช่วยให้บรรลุตามเป้าหมายหรือยัง มากน้อยแค่ไหน ถ้ายังไม่บรรลุ เขาก็มีความสามารถที่จะปรับแผนหรือปรับวิธีการทำงานของตนเองใหม่ให้เหมาะสมได้ เพื่อให้สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มีแรงบันดาลใจต่อแผนและเป้าหมายที่ตัวเองได้วางไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งหมดนี้คือ Executive Function ครับ ถ้าเรามีสิ่งที่กล่าวมานี้อย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จในอนาคตก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ตรงกันข้ามถ้าเราไม่มีสิ่งต่างๆดังที่กล่าว ความสำเร็จในอนาคตของเราก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยากแม้จะมีคะแนน ไอคิว สูงเพียงใดก็ตาม ไอคิว ไม่ได้สะท้อนสิ่งเหล่านี้เลย แต่สะท้อนเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆเท่านั้นเอง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันและอนาคตได้อย่างประสบความสำเร็จความรู้เรื่อง ไอคิว จึง ถูกหักล้าง ด้วยความรู้เรื่อง ความสามารถในการจัดการตนเอง หรือ Executive Function ไป (แต่เราก็ยังกังวลและวนกับเรื่อง ไอคิวของเด็กไทยต่ำ กันอยู่นะครับ) ความรู้เรื่อง โรคซึมเศร้า ก็เป็นอีกเรื่องที่ความรู้ใหม่ๆมีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของมัน เดิมแต่โบราณมาแล้วเรามีความรู้ว่า ความสูญเสีย และ ความเครียด คือสาเหตุของโรคนี้ ต่อมาความรู้ทางด้านสรีรวิทยา ความรู้เรื่องการทำงานของสมองและอวัยวะอีกหลายๆชนิดในร่างกายของเรามีมากขึ้น เราเลยรู้ว่าคนที่ป่วยด้วยโรคชนิดนี้จะมีสารเคมีบางชนิดในสมองผิดปรกติไป เช่น สารซีโรโทนิน สารโดปามีน เป็นต้น เราก็เลยตื่นเต้นกันใหญ่ว่าโรคซึมเศร้า นั้นเป็นเรื่องของความผิดปรกติทางชีววิทยา ไม่ใช่เรื่องของความเสียใจ ความสูญเสีย หรือความเครียดของชีวิตแต่อย่างใด ยิ่งมาเจอกับกลยุทธ์การโฆษณาของบริษัทผู้ผลิตยารักษาโรคซึมเศร้า เข้า โรคซึมเศร้าก็เลยกลายเป็นความผิดปรกติหรือโรคทางชีววิทยาล้วนๆ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อไรไม่ต้องไปค้นหาปมเรื่องความสูญเสีย ความเสียใจ หรือความเครียดให้เมื่อย กินยา (ที่บริษัทนี้ผลิตขึ้น) ปรับสมดุลของสารเคมีเหล่านี้ซะ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเองยาต้านอารมณ์เศร้า (ยาที่ช่วยปรับสมดุลของสารซีโรโทนิน สารโดปามีน) จึงเป็นยาที่ขายดิบขายดีไปทั่วโลก แต่ความรู้เรื่อง สารเทโลเมียร์ ที่เพิ่งมีการค้นพบและมีความกระจ่างชัดกันเมื่อไม่นานมานี้ทำให้เราต้องย้อนกลับไปหาความรู้เดิมที่เราเคยมีมาแต่โบราณกันอีกครั้ง เพราะมันบอกว่า ความเครียด ความสูญเสีย ทำให้สารเทโลเมียร์ในร่างกายของเราทำงานบกพร่อง และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายๆชนิดในคนเรา โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และก็รวมโรคซึมเศร้าด้วยดังนั้น การรักษาโรคซึมเศร้าหรือโรคอื่นๆด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว เพราะความเชื่อที่ว่าโรคเหล่านี้เป็นเรื่องของความบกพร่องของสารเคมีในร่างกาย เป็นเรื่องความบกพร่องของอวัยวะต่างๆในร่างกาย เพียงแค่ใช้ยาเข้าไปปรับสมดุลสารเคมีที่ว่า หรือปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างก็จะกลับมาปรกติดังเดิม ไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับปมเรื่องความเครียดหรือปมปัญหาทางด้านจิตใจอื่นๆ วิธีการแบบนี้จึงไม่สามารถจัดการกับโรคเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุ ไม่ได้เข้าไปจัดการกับสาเหตุต้นตอของโรคแล้วโรคจะหายได้ยังไงความรู้จะมีค่าหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าความรู้นั้นเป็นของเก่าหรือใหม่ แต่อยู่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ความรู้บางอย่างแม้จะเป็นสิ่งที่ค้นพบใหม่ แต่อาจจะยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ อาจจะด้วยความไม่พร้อมสมบูรณ์ของตัวความรู้เอง การประยุกต์ใช้งานยังยากอยู่ หรือสถานการณ์ยังไม่เปิดโอกาสให้ก็ตาม ความรู้นั้นๆก็อาจไม่มีค่าเลยก็ได้ ในขณะเดียวกันแม้ความรู้นั้นจะเป็นความรู้เก่า แต่ถ้าสถานการณ์บางอย่างเอื้อให้เกิดการตีความใหม่ขึ้นมา หรือสถานการณ์มันหมุนกลับไปสู่ยุคสมัยของความรู้นั้นอีกครั้ง ความรู้นั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งมีค่าขึ้นมาก็ได้ นักแสวงหาความรู้จึงต้องมองให้รอบด้าน อย่าไปติดกับความใหม่ความเก่าของความรู้ นักแสวงหาความรู้ต้องแสวงหาความรู้เพื่อเอามาใช้งาน อะไรที่ใช้งานไม่ได้ก็โยนมันทิ้งเสียบ้างจะได้ไม่รกสมอง เกิดเผลอๆดันไปหยิบเอาความรู้ที่หมดอายุแล้วมาใช้งาน มันอาจไม่ใช่แค่ขายหน้านะครับ บางทีอาจสร้างความเสียหายให้กับสังคมชนิดที่คาดไม่ถึงก็ได้ ผู้เขียน : นพ.อุดม เพชรสังหาร คอลัมน์ : สายใยครอบครัว นสพ โลกวันนี้ หมวดบล็อก " วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ " ขอบคุณนะขอรับ
Create Date : 25 เมษายน 2557
16 comments
Last Update : 25 เมษายน 2557 21:44:58 น.
Counter : 1804 Pageviews.
โดย: ALDI 25 เมษายน 2557 22:41:30 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 26 เมษายน 2557 10:33:17 น.
โดย: pantawan 27 เมษายน 2557 21:21:49 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 28 เมษายน 2557 10:48:48 น.
โดย: ฝากเธอ 29 เมษายน 2557 0:13:04 น.
โดย: เนินน้ำ 29 เมษายน 2557 1:57:17 น.
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [? ]
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
เจิมและโหวตค่ะ ท่านขุนที่รัก