เปิดใจตรงนี้เลย...คำว่า"รัก"...ฉันมีอยู่แทบล้นใจ...แต่ยังไม่มีที่ใช้...ก็เท่านั้นเอง
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
"The English Patient" (1996)...ในความทรงจำ...รักนั้นอยู่ได้ชั่วนิรันดร์...

เขียนเมื่อ : วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2554 เวลา 14.28 น.



"I promise, I'll come back for you. I promise, I'll never leave you."
"ผมสัญญา...ผมจะกลับมาหาคุณ ผมสัญญา...ผมจะไม่ทิ้งคุณ"



*บทความต่อไปนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของภาพยนตร์ และไม่ใช่การเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์เพราะผู้เขียนไม่มีความรู้ความสามารถในทางนั้น ผู้เขียนเป็นเพียงคนที่ชอบดูหนังและต้องการแบ่งปันเรื่องที่ชอบพร้อมเหตุผล บางสิ่งที่ชอบ/ไม่ชอบอาจไม่มีเหตุผลจะอธิบายเลยก็มี หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยนะคะ และหากมีคำแนะนำใดๆผู้เขียนจะขอบคุณมากๆคะ*



ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เพราะชอบนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอกแท้ๆเลยคะ จุดเริ่มต้นมาจากที่ฉันไปชอบ Ralph Finnes จากตอนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Red Dragon ทำไมไม่รู้ถึงได้ชอบนักแสดงคนนี้ขึ้นมา ทั้งๆที่บทที่เขาเล่นใน Red Dragon นั้นเป็นบทฆาตกรโรคจิต นี่ไม่ใช่ชอบแค่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้นนะคะ ฉันยกให้นักแสดงอังกฤษคนนี้เป็นนักแสดงชายอันดับหนึ่งในดวงใจไปเลย ยอมแพ้ต่อชายอังกฤษตาสีฟ้าคนนี้ จากนั้นก็ตามล่าหาผลงานทุกเรื่องที่เขาเคยเล่นมาดู และเกือบทุกเรื่องก็ติดใจงอมแงมต้องดูอย่างน้อย 2-3 รอบต่อเรื่องเป็นอย่างต่ำ ชีวิตช่วงนั้นวนเวียนอยู่ห้องโสตทัศนะที่หอสมุดในมหาวิทยาลัยยังกับบ้านหลังที่สอง เพราะในนั้นมีหนังเก่าเกือบทุกเรื่องของเขา ขอขอบพระคุณมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์และฟ้าดินที่กรุณาเก็บวิดิโอและเครื่องเล่นไว้อย่างดี แม้ภาพและเสียงจะกระตุกๆไปบ้าง แต่ก็ทำให้ศิษย์เก่าคนนี้มีโอกาสได้ดูหนังที่กำลังบ้าคลั่งอยากดูโดยไม่ต้องพยายามมากเกินไปนัก เลยกลายเป็นบ้าอยากดู ดูแล้วก็บ้า บ้าแล้วก็ดูใหม่อีกรอบแบบนั้นอยู่เป็นเดือน ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมอ่านหนังสือหนังหาไม่เคยทันสอบ นึกย้อนไปแล้วมันก็โกรธตัวเอง!!!


หยุดพูดเรื่องอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับหนังแล้ววกกลับสู่ทอปปิกปัจจุบันดีกว่าคะ...



"The English Patient" เป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่า ออกฉายในปี 1996 สร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันที่ประพันธ์โดย นักเขียนชาวศรีลังกา-แคนเนเดี่ยน Michael Ondaatje เขียนบทภาพยนตร์และกำกับโดย ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม Anthony Minghella ผู้ล่วงลับ หนังเรื่องนี้กวาดรางวัลออสการ์ถึง 9 สาขา รวมไปถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม(Best Picture)ด้วย จากที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 12 สาขา



ความชอบที่มีต่อหนังเรื่องนี้อยู่ในระดับต้นๆของหนังทั้งหมดที่ชอบ เพราะนอกจากนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอกจะเป็นที่รักของฉันแล้ว การแสดงของเขาก็อยู่ในขั้นเทวาอวตาร โดยเฉพาะการแสดงออกทางสายตาของ Ralph Finnes เป็นจุดเด่นของเขามากๆ อิจฉา รำคาญ ลุ่มหลง หลงรัก ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ หักห้ามใจ สั่งได้หมด เฮียจัดให้ และจะเห็นได้จากงานหลายๆเรื่องที่เขาแสดง เรื่องนี้เขาเล่นเป็นตัวละครที่มีหลากอารมณ์ ในช่วงแรกเขาจะนิ่งๆ หยิ่งๆ บูดๆแบบผู้ดี พูดจามั่นใจ และดูเป็นสุภาพบุรุษ (แต่สายตาเวลาไม่พอใจอะไรจะชัดเจนมากๆ) เมื่อเขามีความรัก ความต้องการครอบครอง เขาจะแสดงออกค่อนข้างชัดเจน เหมือนเด็กไม่ได้ของที่อยากได้ เมื่อตอนที่เขาถูกไฟคลอกจนกลายเป็นคนป่วยบนเตียง แม้จะเจ็บปวดร่างกายและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาก็ยังคงบุคลิกเดิมคือพูดจามั่นใจ แบบคนมีความรู้ อะไรร้ายๆแบบนี้แหละที่ราล์ฟสามารถแสดงได้ดีตลอดเวลา แล้วเขาก็ดูดีมากในเสื้อผ้าลุยทะเลทรายกับผิวแทนๆ ยังไม่ต้องไปนึกถึงชุดสากลหรือสูทที่เขาใส่แล้วหล่อสุดๆ เสียดายที่เขาไม่ได้ออสการ์จากเรื่องนี้ โอเค....เรื่องพระเอก ขอพอและผ่านไปก่อน



ทีมนักแสดง ฉันชอบJuliette Binoche แสดงในเรื่องนี้มากๆ ดูเป็นพยาบาลที่คล่องแคล่ว เข้มแข็ง และน่ารัก ดีใจที่เธอได้ออสการ์จากเรื่องนี้ เธอเล่นอีกเรื่องคู่Ralph Finnes คือ Wuthering Heights ของ Emily Bronte เรื่องนั้นยิ่งน่ารักใหญ่เลย



Willem Dafoe เขาดูหนุ่มกว่าตอนนี้นิดหน่อยเอง แต่เขาก็แสดงเป็นชายที่มีแค้นฝังใจได้ดีมาก เรื่องนี้ไม่ได้ดูจิตๆอย่างในสไปเดอร์แมนเลย ชอบมาก



Colin Firth เขาเหมาะมากที่จะเล่นเป็นคนรวย แบบผู้ดีอังกฤษ บุคลิกเขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากๆ แม้ในตอนที่เขาเล่นเป็นชายผู้เจ็บปวดที่โดนเมียหักหลัง เขาก็ยังดูเหมือนจะทำร้ายใครไม่ได้อยู่ดี อันนี้ชอบบุคลิกเขาเป็นการส่วนตัวคะ



Kristin Scott Thomas เห็นเล่นแต่บทผู้หญิงรวยๆ หยิ่งๆ ก็เพิ่งจะเห็นว่าสมัยก่อนเธอก็หวานได้เหมือนกัน ในเรื่องนี้เธอสวยมาก ดูเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ทะมัดทะแมง มีอารมณ์ขัน แต่ที่บางอารมณ์เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่อ่อนไหว ไม่มั่นคง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรักที่มีต่อพระเอก และความรู้สึกผิดต่อสามีของเธอ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ดูผู้ดีสุดๆเลยละคะ



โทนสีของภาพในหนัง ในช่วงเรื่องราวของพระเอกในอดีต เน้นโทนสีน้ำตาล เหลืองๆ แดงๆ เข้ากับบรรยากาศทะเลทรายและแสงแดด รู้สึกว่าภาพสวยมากๆ ทุกคนผิวสีแทนหมดเลย แอนโทนี่ มิงเกลล่า ทำให้ฉันได้รู้ว่าบรรยากาศร้อนๆเลอะๆทรายนี่ก็โรแมนติกได้เหมือนกัน พอเข้าช่วงสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จบลง โทนสีก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือสว่างขึ้น ยิ่งบรรยากาศในฉากสำนักชีร้าง ยิ่งสดใส คนดูรู้สึกได้ว่าช่วงนี้สงครามใกล้จะจบลงแล้ว



สุดท้าย...เพลงประกอบภาพยนตร์ อันนี้คือที่สุดของที่สุดสำหรับเรื่องนี้ เพลงScoreประกอบภาพยนตร์เพราะมากๆ ตั้งแต่เพลงเปิดเรื่องที่เป็นเพลงสวดของฮังกาเรี่ยนก่อนจะเป็นดนตรีที่ประพันธ์โดย Gabriel Yared ซึ่งแน่นอนว่าได้ออสการ์สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ไปด้วยอีกหนึ่งตัวคะ เพลงที่เอามาเปิดนี้เป็นธีมหลักที่อยู่ในภาพยนตร์ ชื่อเพลง "As Far As Florence" นอกนั้นเดี๋ยวจะรวมไปเขียนในกรุ๊ป "และเพลงในหนังมันก็พาไป" นะคะ


**วิดิโอนี้เป็นแบบ Auto Play สามารถกดหยุดเล่นหรือเริ่มใหม่ได้คะ**



เนื้อเรื่องอาจจะยาวซักหน่อยนะคะ เพราะเจ้าของบล็อกแทบจะเขียนตามฉากในภาพยนตร์เลย ซึ่งAnthony Minghella ใช้วิธีเล่าเรื่องโดยแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกเล่าเรื่องราวหลังจากที่พระเอกถูกทหารเยอรมันยิงเครื่องบินตก และช่วงที่สองคือเรื่องราวในความทรงจำของพระเอก เล่าสลับกันไปมา ซึ่งเขียนบทหนังกันดีมากเพราะไม่มีสับสนเลย อาจจะเป็นเพราะวิธีใช้สีภาพเข้าช่วย หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอชมว่าจุดนี้ดีมากๆคะ ดีใจจริงๆที่เขาได้ออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย



"The English Patient" เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรัก(อีกแล้ว) และชีวิตของผู้คนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสมรภูมิแถบแอฟริกาเหนือและอิตาลี ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยฉากเครื่องบินเล็กของอังกฤษตกกลางทะเลทรายSahara เพราะถูกเหล่าทหารเยอรมันที่ซุ่มอยู่ยิงตก คนในเครื่องบินดูเหมือนจะมีสองคนแต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในส่วนผู้โดยสารตอนหน้านั้นคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ชายคนขับเครื่องบินพยายามดึงเธอออกมาแม้ว่าตัวเขาก็ดูเหมือนจะไม่รอดเพราะถูกไฟคลอกอยู่ สุดท้ายเครื่องบินที่ตกก็มีเหล่าเบดูอินกลุ่มหนึ่งมาพบและทำการแยกชิ้นส่วนที่พอจะขายหรือทำประโยชน์ได้ออกไป ชายคนขับเครื่องบินรอดชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ถูกไฟคลอกจนผิวหนังชั้นนอกถูกทำลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงชายตัวแดงๆอาบเลือดทั้งตัว เขาได้รับความช่วยเหลือจากเบดูอินเหล่านั้นและได้รับการรักษาตามแบบชาวทะเลทรายโบราณ




จากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในอิตาลี แม้จะได้รับการรักษาจนบาดแผลหายแล้วแต่เขาก็จดจำอะไรไม่ได้ ใบหน้าที่ถูกไฟคลอกไปมีเนื้อเกิดใหม่ที่ผิดรูปร่างจนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธมิตรมาขอข้อมูล เขาก็ให้ได้เพียงแค่ว่าเขาอาจจะเป็นนักบินเพราะเขาถูกพบในซากเครื่องบินตอนช่วงเริ่มต้นของสงคราม พอนายทหารถามว่าเขาเกิดที่ไหน? เขากลับถามกลับว่านี่เขากำลังถูกสอบสวนหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ควรหลอกให้เขาพูดภาษาเยอรมันที่เขาพูดได้เสีย นายทหารดูจะทึ่งที่คนไข้คนนี้ดูเหมือนจะรู้อะไรๆมากมาย แต่ไม่รู้ชื่อตัวเอง และไม่รู้ว่าตนเกิดที่ไหน รู้แต่ไม่ใช่คนเยอรมัน และยังจำได้อีกเพียงบางสิ่งที่เกี่ยวหญิงที่เขาเชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาเท่านั้น เขาจึงถูกเรียกว่า "คนไข้ชาวอังกฤษ"



ที่หน่วยพยาบาลนั้น เขาได้รับการดูแลจาก "Hana" หรือ "ฮาน่า" (แสดงโดย Juliette Binoche) พยาบาลสาวชาวฝรั่งเศส-แคนเนเดี่ยน ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้รับข่าวร้ายจากทหารที่กำลังจะตายว่าคนรักของเธอที่ถูกส่งไปรบที่เดียวกับทหารคนนั้นถูกยิงตายไปแล้ว เสียงร้องไห้คร่ำครวญเพราะความเศร้าเสียใจถูกกลบด้วยเสียงระเบิดและเสียงปืน จนอีกไม่นานต่อมาเพื่อนรักของเธอก็มาตายไปอีกเพราะรถที่นั่งไปถูกกับระเบิดขณะที่ขบวนหน่วยพยาบาลกำลังเดินทางไปท่าเรือที่เมืองSorento และ Marina de Pisa เพื่อขึ้นเรือกลับบ้าน ฮาน่าตกอยู่ในภาวะจิตตก เธอเชื่อว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอถูกสาปมาให้คนที่เธอรักต้องตายไปทุกคน แต่เธอก็ได้กำลังใจจากมือหงิกงอของชายที่ใครๆเรียกว่า "คนไข้ชาวอังกฤษ" คนนั้น เมื่อฮาน่าเห็นว่าคนไข้ของเธอไม่อาจทนเดินทางด้วยรถยนต์ได้อีกต่อไป เธอจึงยืนยันที่จะอยู่พยาบาล "คนไข้ชาวอังกฤษ" คนนี้ที่สำนักชีร้างแถวนั้นจนกว่าเขาจะตาย แม้บรรดาแพทย์สนามและเพื่อนพยาบาลจะห้ามปรามว่าแม้สงครามโลกในบางประเทศจะเลิกไปแล้วแต่ก็อาจจะมีทหารเยอรมันหรือโจรซุ่มอยู่แถวนี้และแสดงอาการเป็นห่วงอย่างไร ฮาน่าก็ไม่ฟัง ดูเหมือนความสูญเสียที่เธอเพิ่งผ่านมาจะทำให้เธอมีความกล้ามากขึ้น หรืออาจจะทำให้เธออยากปลีกตัวออกมาจากคนอื่นๆเพื่อที่คนใกล้ตัวเธอจะได้ไม่ตายจากไปอีก เธอยืนยันว่าหากคนไข้คนนี้ตาย เธอจะตามไปทันที




แม้คนไข้ชาวอังกฤษของฮาน่าจะจดจำรายละเอียดส่วนตัวไม่ได้ แต่เขาก็มีหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติเพียงอย่างเดียวที่รอดจากการถูกไฟคลอกติดตัวมาด้วย เขาเรียกมันว่า "ฮีโรโดตัส" ตามชื่อผู้เขียนซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นสมุดบันทึกส่วนตัวของเขา โดยเขาได้เขียนข้อความต่างๆประกอบประวัติศาสตร์ในหนังสือและบันทึกสิ่งต่างๆที่เขาค้นพบในทะเลทราย เขาสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆในทะเลทรายได้ดีเยี่ยม แต่ก็ยังจำตัวเองไม่ได้อยู่ดี



ภาพยนตร์ค่อยๆเปิดเผยว่าแท้จริงแล้ว "คนไข้ชาวอังกฤษ" ผู้นี้คือ "Count Laszlo de Almásy" หรือ "อัลมาชี่" (แสดงโดย Ralph Finnes)นักสำรวจแผนที่ชาวฮังกาเรี่ยนและเป็นหนึ่งในทีมสำรวจทะเลทรายซาฮาร่าเพื่อทำแผนที่ พวกเขาเป็นกลุ่มชายหนุ่มที่เดินทางท่องทะเลทรายซาฮาร่า สอบถามข้อมูลต่างๆจากบรรดาเบดูอินทั้งหลาย สำรวจเส้นทางและแหล่งธรรมชาติมากมายในทะเลทราย และแล้ววันหนึ่งชีวิตของอัลมาชี่ก็พบกับความเปลี่ยนแปลงเมื่อมีสมาชิกใหม่สองสามีภรรยาชาวอังกฤษร่วมเดินทางไปด้วย อัลมาชี่มีท่าทีแปลกไปทันทีที่เห็นว่ามีผู้หญิงมาร่วมคณะของพวกเขา



สองสามีภรรยาได้รับการแนะนำตัวว่าชื่อ "Geoffrey และ Katharine Clifton" หรือ "เจฟฟรีย์ และ แคทเธอรีน คลิฟตัน" (แสดงโดย Colin Firth และ Kristin Scott Thomas) ทั้งคู่ทักทายอัลมาชี่อย่างเป็นมิตร โดยแคทเธอรีนกล่าวชื่นชมผลงานการเขียนบทความบทหนึ่งของเขา บรรยากาศการสนทนาของทุกคนในคณะเป็นไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ไม่มีใครทันสังเกตสีหน้าอึดอัดระหว่างอัลมาชี่และแคทเธอรีนเลย อัลมาชี่แสดงออกอย่างเปิดเผยกับเมด๊อกซ์ เพื่อนสนิทร่วมคณะฯของเขาว่า เขารู้สึกไม่ดีที่มีนักท่องเที่ยวมาร่วมสำรวจกับพวกเขา แต่เหตุผลแท้จริงที่อัลมาชี่ไม่อยากให้สองสามีภรรยาคู่นั้นมาอยู่ด้วย คงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นภาพเลือนๆในความทรงจำของคนไข้ชาวอังกฤษ เขามักจะเล่าให้ฮาน่าฟังว่าเขาเห็นทะเลทราย เขาอาจเป็นนักสำรวจก็ได้ และเขาเห็นภรรยาของเขา ฮาน่าหัวเราะและคิดว่าคงเป็นฤทธิ์ของมอร์ฟีนที่เธอฉีดให้เขาเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการปวด



ฮาน่าได้อ่านฮีโรโดตัสให้คนไข้ของเธอฟังในคืนวันหนึ่ง เป็นนิทานเกี่ยวกับพระราชาแคนเดอริสกับไกจิสและพระราชินี โดยไกจิส ราชองครักษ์คนสนิทถูกพระราชาแคนเดอริสบังคับให้ดูความงามของเรือนร่างเปล่าเปลือยของราชินี แม้ไกจิสจะไม่เต็มใจเพราะไม่ต้องการทรยศต่ององค์ราชินี แต่ก็ต้องดูเพราะเกรงพระราชอาญา เมื่อไกจิสได้เห็นเรือนร่างของพระราชินีก็เกิดหลงรัก พระราชินีทรงทราบการกระทำของพระราชาโดยบังเอิญก็เกิดความคับแค้นใจและสาบานจะแก้แค้นให้ได้ วันต่อมาพระนางจึงเรียกไกจิสไปพบและบอกว่าไกจิสต้องเลือกระหว่างพระราชาหรือตัวไกจิสเองที่จะต้องตายเพราะทำให้พระนางอับอาย เพราะไกจิสได้เห็นพระราชินีแล้ว สุดท้ายไกจิสก็ลอบปลงพระชนม์พระราชาและขึ้นเป็นพระราชาเสียเอง ครองรักกับพระราชินีสืบไป คนไข้ชาวอังกฤษจำได้ว่าเขาเคยฟังเรื่องนี้จากแคทเธอรีน คลิฟตัน เมื่อคราวชาวคณะฯนั่งเล่านิทานรอบกองไฟกัน ในวันนั้นแคทเธอรีนได้เผลอสบสายตากับอัลมาชี่หลายครั้ง โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้ตั้งใจและไม่คิดจะหลบหนี เหมือนทั้งคู่สามารถรับรู้และเข้าถึงเรื่องราวในนิทานได้ ไม่มีใครทันสังเกตอีก คงมีแต่สองคนเท่านั้นที่รู้



วันหนึ่งขณะที่ฮาน่ากำลังทำสวนผักที่เธอปลูกเองในขอบรั้วสำนักชี มีชายคนหนึ่งมาหาเธออ้างว่าชื่อ "David Caravaggio" หรือ "เดวิด คาราวาจิโอ" (แสดงโดย Willem Dafoe)ชาวแคนเนเดี่ยนที่ทำงานอยู่ในหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ และเป็นเพื่อนบ้านกับพ่อของฮาน่าที่ตายไปแล้ว เขายังเล่าให้ฮาน่าฟังอีกว่าเขาเคยอยู่ในแอฟริกามาก่อนเหมือนกับคนไข้ชาวอังกฤษของเธอ คาราวาจิโอบอกเธอว่าเขาจะอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่ง เพื่อทำงานให้กองทัพในการปลดอาวุธฝ่ายเยอรมันที่หลงเหลืออยู่ แต่ในความหมายของคาราวาจิโอคือการขโมยอาวุธซึ่งกองทัพรู้ดีว่าเขามีฝีมือด้านการลักเล็กขโมยน้อยแค่ไหน จึงส่งเขามาทำภารกิจนี้



นอกจากนี้ฮาน่ายังได้รู้โดยบังเอิญว่าคาราวาจิโอเสียนิ้วโป้งที่มือทั้งสองข้างแต่เขาปฏิเสธจะให้เธอดู เมื่อคาราวาจิโอได้พบกับคนไข้ของฮาน่า เธอสังเกตได้ว่าคาราวาจิโอไม่เพียงเคยอยู่ในแอฟริกาเหมือนคนไข้ของเธอเท่านั้น แต่ยังพูดจาเหมือนรู้จักคนไข้ชาวอังกฤษคนนี้ด้วย คาราวาจิโอเอ่ยถึงชื่อ "เคาท์อัลมาชี่" และ "แคทเธอรีน คลิฟตัน" แต่ในขณะนั้นคนไข้ชาวอังกฤษก็ไม่สามารถจดจำคนมีชื่อทั้งสองได้ ต่อมาภายหลังเขาจึงได้บอกเหตุผลที่เขาเสียนิ้วว่าเป็นเพราะเขาถูกทหารเยอรมันสอบสวนและทรมาน เนื่องจากสิ่งที่คนไข้ของฮาน่าได้ทำไว้ทำให้เขาต้องถูกทรมานแบบนี้ เขาเชื่อว่าคนไข้อังกฤษคนนี้เป็นสายลับให้เยอรมัน และเป็นผู้บอกฝ่ายเยอรมันว่าคาราวาจิโอเป็นสายลับให้อังกฤษ ฝ่ายเยอรมันจึงจับเขาได้และทรมานเขาเช่นนี้



ฮาน่าได้พบกับ "คิฟ" (แสดงโดย Naveen Andrews) หัวหน้าหน่วยเก็บกู้ระเบิดชาวซิกฮ์ ของกองทัพอังกฤษ เขาเข้ามาทันห้ามเธอก่อนที่เธอจะแตะโดนกับระเบิดที่ซ่อนในเปียโนของสำนักชี ทั้งคู่มีโอกาสได้เจอและพูดคุยหลายครั้งจนมีใจให้กัน คิฟก็มักจะแวะมาพูดคุยเล่นกับคนไข้ชาวอังกฤษของฮาน่าเสมอ ทั้งคู่จึงเกิดมีความสัมพันธ์ในวันหนึ่ง แต่ด้วยความคิดของฮาน่าที่ว่าเธอถูกสาปให้คนที่เธอรักต้องตายไป เธอจึงกลัวเหลือเกินเวลาที่คิฟออกไปปฏิบัติหน้าที่กู้ระเบิด ภายหลังเมื่อสงครามเลิกและคิฟรอดตายมาได้ เธอจึงหวังว่าความรักจะดำเนินต่อไป แม้สุดท้ายทั้งคู่จะต้องแยกจากกันกลับบ้าน แต่ก็ยังหวังจะได้พบกันอีก



เมื่อเวลาผ่านไป อีกทั้งการมาของคาราวาจิโอทำให้ความทรงจำของคนไข้ชาวอังกฤษกลับมาทีละเล็กทีละน้อย เขาเห็นอัลมาชี่เดินตามแคทเธอรีนในตลาด ภาพการเต้นรำอันแสนอึดอัดระหว่างคนทั้งคู่เมื่อแคทเธอรีนแกล้งถามอัลมาชี่เรื่องที่เขาเดินตามเธอ ภาพอัลมาชี่ทำหน้าลำบากใจเมื่อเจฟฟรีย์ต้องจากไปทำงานบางอย่างโดยทิ้งภรรยาแสนสวยของเขาไว้กับคณะสำรวจฯ และการค้นพบถ้ำเก่าแก่ในทะเลทรายซาฮาร่าที่มีภาพเขียนนักว่ายน้ำอายุประมาณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ครั้งนั้นแคทเธอรีนเดินทางไปด้วย อันเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของนักสำรวจหนุ่มกับหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว การร่วมรอนแรมด้วยกันในทะเลทราย การเผชิญหน้ากับพายุทะเลทราย ทำให้ความรู้สึกที่ทั้งคู่มีให้กันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีทีท่าเฉยชาใส่กันบ้าง แต่ก็เป็นเพราะไม่ต้องการจะถลำลึกมากไปกว่านี้ สุดท้ายแคทเธอรีนถึงกับสารภาพว่าเจฟฟรีย์กำลังทำงานให้รัฐบาลอังกฤษที่เร่งรัดจะเอาแผนที่ของแอฟริกาเหนือทั้งหมด เจฟฟรีย์มาหาพวกเขาเพราะต้องการข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ก่อนแล้ว เรื่องที่เขาเล่าเพื่อความสนุกสนานเป็นเรื่องแต่งเกือบทั้งหมด อัลมาชี่เหมือนจะมีความหวังขึ้นมาจึงถามถึงเรื่องแต่งงาน แต่โชคไม่ดีที่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องจริง ทั้งคู่จึงต้องพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ต่อไป







แต่ความอดทนของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลงเมื่อคณะสำรวจฯเดินทางกลับจากทะเลทรายมายังที่พัก ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ความสัมพันธ์ทางใจลุกลามเป็นความสัมพันธ์ทางกายในที่สุด ทั้งคู่ต้องนัดพบกันอย่างหลบๆซ่อนๆ ตัวอัลมาชี่นั้นมีความสุขมากๆที่เขามีเวลาอยู่กับหญิงที่เขารักบ้าง แต่แคทเธอรีนกลับรู้สึกผิดที่เธอนอกใจเจฟฟรีย์ แม้จะเจ็บปวดแต่ในที่สุดแคทเธอรีนก็บอกเลิกกับอัลมาชี่ อัลมาชี่ทั้งโกรธทั้งใจสลาย เขาบอกเธอว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด แต่ในใจลึกๆอัลมาชี่ก็พยายามหักห้ามใจอย่างที่สุด ทั้งคู่ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าเจฟฟรีย์รู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาแล้วก่อนหน้านี้ ในงานเลี้ยงอำลาคณะสำรวจทะเลทราย อัลมาชี่ซึ่งเมามาอยู่ก่อนแล้ว เดินเข้างานมาพูดจาเสียดสี เหน็บแนมคณะสำรวจฯ อีกทั้งแสดงอาการหึงหวงแคทเธอรีนอย่างแรงเมื่อเขาเห็นเธอเต้นรำกับชายอื่น



เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น คณะสำรวจฯตัดสินใจเก็บข้าวของกลับบ้าน เมด็อกซ์กล่าวอำลาสหายร่วมคณะแล้วแยกไปทางหนึ่ง ส่วนอัลมาชี่นั้น เจฟฟรีย์ได้อาสาขับเครื่องบินเล็กมารับเขาเอง อัลมาชี่ไม่ได้สังหรณ์ใจเลยว่าการมาครั้งนี้ของเจฟฟรีย์ คลิฟตัน จะเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเขา เจฟฟรีย์ ผู้ซึ่งหัวใจสลายจากการที่ทราบว่าภรรยาสุดที่รักมีชู้ ตั้งใจขับเครื่องบินพุ่งลงมาชนอัลมาชี่ แต่อัลมาชี่หลบได้ทันเสียก่อน



เขารีบวิ่งไปดูซากเครื่องบินที่โหม่งพื้นทรายไปแล้ว แล้วเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าในเครื่องบินลำนั้นไม่ได้มีแค่ร่างของเจฟฟรีย์ที่คอหักตายในที่นั่งคนขับตอนหลัง แต่มีหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในส่วนผู้โดยสารตอนหน้า แคทเธอรีน คลิฟตัน นั่งหอบอยู่ด้วยความตกใจและเจ็บปวด เธอถามถึงเจฟฟรีย์ว่าเป็นอย่างไรบ้างแต่อัลมาชี่ยืนยันว่าเขาต้องพาเธอออกมาจากเครื่องก่อน แคทเธอรีนขอร้องด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่าอย่าขยับเธอเลย เธอเจ็บมาก แต่อัลมาชี่ก็ต้องอุ้มเธอออกมา เขาห่อร่างเธอด้วยผ้าร่มชูชีพสีขาว ก่อนจะอุ้มเธออย่างระมัดระวังไปยัง "ถ้ำนักว่ายน้ำโบราณ" ที่อยู่ใกล้ๆ แคทเธอรีนนั้นเจ็บจนชาไปแล้ว ถามอัลมาชี่ว่าทำไมเขาถึงได้เกลียดเธอนัก? อัลมาชี่ที่กำลังคิดหาทางออกไปจากที่นี่อย่างมืดแปดด้าน ถึงกับงง แคทเธอรีนยิ้มแล้วถามต่ออีกว่า ไม่รู้เหรอว่าคุณทำคนอื่นเขาหัวเสียกันไปหมด?



อัลมาชี่ต้องบอกให้เธอหยุดพูดก่อน(เขากำลังอุ้มเธออยู่) อัลมาชี่เหลือบไปเห็น "ปลอกนิ้วเงิน" ที่เขาซื้อให้เธอเมื่อตอนที่อยู่ไคโร เธอห้อยไว้กับเชือกบางๆคล้อยที่คอแทนจี้ เขาถามเธอว่า.. "คุณใส่ปลอกนิ้วนี่ด้วยเหรอ?" แคทเธอรีนตอบว่า "แน่สิ ฉันใส่มันตลอดแหละ คนโง่เอ้ย!! ก็ฉันรักคุณมาตลอด" ประโยคนี้ทำให้ชายหนุ่มหัวแข็งอารมณ์ร้อนอย่างอัลมาชี่ ถึงกับสะอื้นไห้ออกมา เขาเพิ่งรู้ว่าเธอก็รักเขาเหมือนที่เขารักเธอเหมือนกัน ที่เขาเคยคิดว่าเธอแค่ล้อเล่นกับเขานั้นมันไม่จริง และกว่าเขาจะรู้ความจริง...มันก็เกือบจะสายไปแล้ว



อัลมาชี่บอกให้แคทเธอรีนนอนรอเขาอยู่ในถ้ำนี้ เขาจะเดินเท้าไปไคโรหาคนมาช่วยเธอพร้อมบอกวิธีให้เธออยู่ในถ้ำได้ แคทเธอรีนขอร้องให้เขาสัญญาว่าจะกลับมาหาเธอ เพราะเธอไม่อยากตายคนเดียวในถ้ำนี้ เขาให้สัญญาว่าเขาจะกลับมาหาเธอและจะไม่มีวันทิ้งเธอ



หลังจากเดินเท้ามาสามวัน กำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ และเหตุที่มีชื่อไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ทำให้ทหารอังกฤษที่คุ้มไคโรอยู่ในเวลานั้นคิดว่าเขาเป็นฝ่ายอักษะ อัลมาชี่ระเบิดอารมณ์ใส่นายทหารที่ระแวงเขาอยู่แล้ว ผลคือเขาถูกจับและถูกส่งตัวไปสอบสวน ยิ่งทำให้ระยะทางห่างจากถ้ำนักว่ายน้ำไกลออกไปอีก อัลมาชี่ต้องรีบหนีจากการจับกุมของทหารอังกฤษโดยการกระโดดลงจากรถไฟ เขาได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพเยอรมัน ด้วยการแลกเปลี่ยนเครื่องบินกับแผนที่แอฟริกาเหนือที่เขามี ในเมื่ออังกฤษทำให้เขากลายเป็นศัตรูไปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียมากกว่านี้อีก เขาจึงมอบแผนที่ให้แก่ศัตรูของอังกฤษไปซะเลย แต่ปรากฎว่าเครื่องบินลำนั้นเป็นเครื่องบินอังกฤษของเมด็อกซ์ เพื่อนของเขาที่กองทัพเยอรมันไปยึดมาได้ เขาบินกลับไปที่ถ้ำฯเพื่อไปหาแคทเธอรีน ด้วยเครื่องบินอังกฤษของเมด็อกซ์ และน้ำมันของเยอรมัน เมื่อไปถึง...แคทเธอรีนก็ตายเสียแล้ว เธอสิ้นลมหายใจในความมืดของถ้ำนักว่ายน้ำ ในทะเลทรายที่เธอไม่อยากมาตาย และจากไปอย่างโดดเดี่ยว อัลมาชี่ก้มลงจุมพิตร่างไร้วิญญานของหญิงผู้เป็นที่รักและนอนกอดเธอด้วยหัวใจที่แหลกสลาย เขาเองที่ทำผิดต่อเธอ เขาเองที่ทำให้เธอต้องมาเจอเรื่องร้ายแบบนี้ เขาเองที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด เขาเองที่เป็นคนฆ่าเธอ




อัลมาชี่นำร่างแคทเธอรีน มานั่งในตอนหน้าของเครื่องบิน เพื่อพาเธอออกไปจากทะเลทรายที่เธอไม่ปราถนามาทิ้งร่าง และเมื่อผ่านกองทัพเยอรมัน เครื่องบินอังกฤษลำนั้นก็ถูกยิงร่วงลงมา...



"คนไข้ชาวอังกฤษ" บอกเล่าความทรงจำทั้งหมดที่กลับมาหาเขา ให้คาราวาจิโอฟัง โดยมีฮาน่าที่คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างรับรู้ด้วย เมื่อคาราวาจิโอได้ฟังความจริงจากปากคนที่เขาอยากจะมาเอาชีวิตมากที่สุด เขาก็คิดได้ว่าเขาไม่อยากจะฆ่าชายคนนี้แล้ว เพราะชายคนนี้ได้ตายไปแล้วตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น ชายที่นอนอยู่บนเตียงนี้เป็นเพียงซากที่มีแต่วิญญานกับความรู้สึกผิดทับถมอยู่ อัลมาชี่ขอร้องให้ฮาน่าฉีดมอร์ฟีนในเขาเกินขนาด ฮาน่าน้ำตาร่วงแต่เธอก็พร้อมจะทำเพื่อให้อัลมาชี่พ้นทุกข์



ก่อนที่อัลมาชี่จะหมดลมหายใจ ฮาน่านั่งอ่านบทความสุดท้ายที่แคทเธอรีนเขียนถึงอัลมาชี่ก่อนที่เธอจะตายให้เขาฟัง เขาจึงได้รู้ว่าสุดท้ายแคทเธอรีนไม่ได้หวังให้เขากลับมาช่วยเธอให้ทัน เพียงแค่หวังให้เขามาพาเธอออกไปก็พอ เธอดีใจแค่ไหนที่ได้พบและรักกับเขา อัลมาชี่จึงจากโลกไปอย่างสงบ...





.......จบ.......



เนื้อเรื่องสุดอลังการอีกแล้ว ใครที่คิดว่า "คู่กรรม" มีเฉพาะในไทยแลนด์ โอนลี่ ก็ขอให้ไปดูเรื่องนี้คะ คู่กรรมฝรั่ง เขาก็เศร้าเหมือนกันคะ แต่สำหรับฉันเรื่องนี้อารมณ์มันไม่พีคสุดๆเหมือนของบ้านเราเนอะ คือ...พระเอกก็ไม่ได้น่าสงสารเว่อร์เท่าพี่โกโบริเลย น้ำตามันเลยไม่ได้มาแบบฮวงโหชนแม่น้ำโขงแบบ "คู่กรรม" แต่ด้วยความที่มันไม่ได้เศร้าเกินเหตุนี่แหละคะ ถึงทำให้ดูพอดี และเป็นหนังในดวงใจของใครอีกหลายคน ส่วนของฉันยังมีอีกเรื่องที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเหมือนกันนี่แหละคะ ร้องไห้ญาติเสียรองลงมาจากตอนเสียพี่โกฯไปทีเดียว เดี๋ยวค่อยเขียนนะคะ...


ในภาพยนตร์ "The English Patient" มีประโยคโดนใจที่ตัวละครในเรื่องพูดไว้ ตามสไตล์หนังอังกฤษที่มักจะมีประโยคเพราะๆเสมอ ประโยคต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนที่ฉันชอบเท่านั้น คนอื่นอาจจะคิดว่ามันไม่เด็ดก็ได้ แต่ฉันชอบ...


Almásy: "New lovers are nervous and tender, but smash everything. For the heart is an organ of fire."
อัลมาชี่: "เมื่อแรกรักมักจะตื่นเต้นและอ่อนหวาน แต่ก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะหัวใจคนเราพร้อมจะแผดเผาตลอดเวลา"


Hana: "There's a man downstairs. He brought us eggs. He might stay."
ฮาน่า: "มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ข้างล่าง เขาเอาไข่ไก่มาให้เราด้วย เขาอาจจะอยู่ที่นี่กับเรา"
Almásy: "Why? Can he lay eggs?"
อัลมาชี่: "ทำไมละ? เขาออกไข่ได้เหรอ?"
Hana: "He's Canadian."
ฮาน่า: "เขาเป็นคนแคนเนเดี่ยน"
Almásy: "Why are people so happy when they collide with someone from the same place?
What happened in Montreal when you passed a man in the street? Did you invite him to live with you?"
อัลมาชี่: "ทำไมเวลาคนเราเจอคนที่มาจากบ้านเดียวกันถึงได้มีความสุขนักนะ? จะเป็นยังไงถ้าคุณเดินผ่านผู้ชายคนหนึ่งบนถนนในมอนทรีอัล? คุณจะชวนเขามาอยู่กับคุณไหม?"


Almásy: "Why... why are you so determined to keep me alive?"
อัลมาชี่: "ทำไม..คุณถึงตั้งใจจะให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปนักนะ?"
Hana: "Because I'm a nurse."
ฮาน่า: "ก็เพราะว่าฉันเป็นนางพยาบาลนะสิ!"


Katharine Clifton: "A woman should never learn to sew, and if she can she shouldn't admit to it."
แคนเธอรีน คลิฟตัน: "ผู้หญิงไม่ควรเรียนเย็บปัก แต่ถึงจะเย็บเป็น ผู้หญิงก็ไม่ควรยอมรับมัน"


Katharine Clifton: "You speak so many bloody languages, and you never want to talk."
แคทเธอรีน คลิฟตัน: "คุณพูดได้ตั้งไม่รู้กี่ภาษา แต่กลับไม่เคยอยากจะเสวนากับใคร"


Almásy: "There is no God, but I hope someone watches over you."
อัลมาชี่: "พระเจ้าไม่มีจริงหรอก แต่ยังไงผมก็ยังหวังให้มีใครซักคนคอยจ้องมองคุณเหมือนกัน"



Caravaggio: "In Italy, you get chickens, but no eggs. In Africa there were always eggs, but... never chickens. Who separated them?"
คาราวาจิโอ: "ที่อิตาลี คุณจะได้กินไก่ แต่ไม่ได้กินไข่ แต่ที่แอฟริกา คุณจะมีไข่เหลือเฟือให้กินเสมอ แต่ไม่มีไก่ซักตัว ใครเป็นแยกมันออกจากกันนะ?"


Katharine Clifton: "I wanted to meet the man who could write such a long paper with so few adjectives."
แคทเธอรีน คลิฟตัน: "ฉันอยากจะพบคนที่สามารถเขียนบทความได้ยาวขนาดนั้น แต่มีคำขยายความแค่ไม่กี่คำนะคะ"


Katharine Clifton: "Will we be alright?"
แคทเธอรีน คลิฟตัน : "พวกเราจะปลอดภัยใช่ไหม?"
Almásy: "Yes. Yes, absolutely."
อัลมาชี่ : "ใช่ ใช่ แน่นอนที่สุด"
Katharine Clifton: "'Yes' is a comfort. 'Absolutely' is not."
แคทเธอรีน คลิฟตัน : " คำว่า 'ใช่' ทำให้สบายใจดี แต่คำว่า 'แน่นอนที่สุด' นี่..ไม่เลย"


Caravaggio: "You're in love with him, aren't you? Your poor patient. You think he's a saint because of the way he looks? I don't think he is."
คาราวาจิโอ: "คุณกำลังหลงรักเขาอยู่ใช่ไหม? คนไข้ที่น่าสงสารของคุณนะ คุณคิดว่าเขาเป็นนักบุญเพียงเพราะหน้าตาพิกลพิการแบบนี้นะหรือ? แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ"
Hana: I'm not in love with him. I'm in love with ghosts. So is he, he's in love with
ghosts."
ฮาน่า: "ฉันไม่ได้หลงรักเขาหรอก ฉันหลงรักคนที่ตายไปแล้วต่างหาก เขาก็เหมือนกัน เขาก็หลงรักคนที่ตายไปแล้วเหมือนกัน"


Almásy: "So, I got back to the desert and to Katharine, in Madox's English plane, with German gasoline. When I arrived in Italy, on my medical chart they wrote, 'English Patient'. Isn't it funny? After all that, I became English."
อัลมาชี่: "จากนั้นผมก็กลับไปที่ทะเลทราย กลับไปหาแคทเธอรีน ในเครื่องบินอังกฤษของเมด๊อกซ์ และน้ำมันของเยอรมัน ตอนผมมาถึงอิตาลี พวกเขาก็เขียนชาร์ทคนป่วยว่าผมเป็น 'คนไข้ชาวอังกฤษ' ตลกไหมละ? สุดท้าย ผมก็กลายเป็นคนอังกฤษไปได้"


Almásy: "You're wearing the thimble."
อัลมาชี่: "คุณห้อยปลอกนิ้วนี่ด้วยเหรอ?"
Katharine Clifton: "Of course, you idiot. I always wear it. I've always worn it. I've always loved you."
แคทเธอรีน คลิฟตัน: "แน่สิ คนโง่เอ้ย! ฉันใส่มันเสมอ ฉันใส่มันมาตลอด ก็ฉันรักคุณมาตลอดเลยนี่"


Katharine Clifton: "My darling. I'm waiting for you. How long is the day in the dark? Or a week? The fire is gone, and I'm horribly cold. I really should drag myself outside but then there'd be the sun. I'm afraid I waste the light on the paintings, not writing these words. We die. We die rich with lovers and tribes, tastes we have swallowed, bodies we've entered and swum up like rivers. Fears we've hidden in - like this wretched cave. I want all this marked on my body. Where the real countries are. Not boundaries drawn on maps with the names of powerful men. I know you'll come carry me out to the Palace of Winds. That's what I've wanted: to walk in such a place with you. With friends, on an earth without maps. The lamp has gone out and I'm writing in the darkness."
แคทเธอรีน คลิฟตัน: "ที่รัก ฉันรอคุณอยู่ กี่วันมาแล้วที่ฉันอยู่ในความมืด? หรือจะเป็นสัปดาห์กันแน่? ตะเกียงดับไปแล้ว และฉันก็หนาวมากๆเลย ที่จริงฉันควรจะลากตัวเองออกไปข้าง
นอก จะได้มีแสงอาทิตย์บ้าง ฉันกลัวว่าฉันจะใช้แสงไฟจนหมดไปแล้วจะไม่ได้เขียนคำพวกนี้ พวกเราตาย ตายไปพร้อมกับคู่รักคู่อื่นและคนอีกมากมาย รสชาติที่เราลิ้มลอง ร่างกายที่เราอาศัย และใช้แวกว่ายไปตามแม่น้ำลำธาร ความกลัวที่เราเก็บซ่อนไว้ ก็เหมือนกับภาพเขียนในถ้ำนี้ ฉันอยากได้ภาพพวกนั้นมาไว้บนตัวฉัน ที่ๆไม่มีพรมแดนขีดกั้น ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีชื่อคนที่มีอำนาจเขียนกำกับไว้ ฉันรู้ว่าคุณจะมาพาฉันออกไปสู่ปราสาทแห่งสายลม สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ ได้เดินเคียงข้างคุณในที่แบบนั้น กับเพื่อนฝูง บนโลกที่ไม่มีแผนที่ ไม่มีพรมแดนใดกั้น ตะเกียงดับไปแล้ว...และฉันกำลังเขียนอยู่ในความมืด"


Almásy: "Every night I cut out my heart. But in the morning it was full again."
อัลมาชี่ : "ทุกๆคืนผมต้องพยายามตัดใจจากคุณ แต่พอเช้าขึ้นมาความรักมันก็ล้นปรี่ขึ้นมาอีก"


Katharine Clifton: "Promise me, you'll come back for me."
แคทเธอรีน คลิฟตัน: "สัญญาสิว่า...คุณจะกลับมาหาฉัน"
Almásy: "I promise, I'll come back for you. I promise, I'll never leave you."
อัลมาชี่: "ผมสัญญา...ผมจะกลับมาหาคุณ ผมสัญญา...ผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณ"



ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "The English Patient" ปี 1996



 


อ่านเอนทรีและฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The English Patient คลิกที่รูปข้างล่างได้เลยคะ


ฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องThe English Patient คลิกที่นี่เลยคะ


 


 


"In love, there are no boundaries."


"ความรัก...ไม่มีพรมแดนใดกั้นขวางได้"


 



เจ้าช่อมาลี (PP_Skywalker)




Create Date : 28 พฤษภาคม 2554
Last Update : 22 กรกฎาคม 2554 10:37:20 น. 31 comments
Counter : 14284 Pageviews.

 
สวัสดีครับ

หนังเรื่องนี้ผมได้ดู
แต่นานมากจนความทรงจำเลือนลางไปแล้ว
เป็นช่วงที่ผมกำลังดูหนังแบบเป็นบ้าเป็นหลังมกาครับ
เคยดูหนักที่สุดวันเดียว 7 เรื่องรวด
แต่เดี๋ยวนี้หมดสิทธิ์แ้ลว
เพราะต้องเลี้ยงคุณลูกครับ 555

ไล่ดูบล้อกเก่าๆของคุณ
คุณเขียนบล้อกอย่างตั้งใจมกาครับ
เต็มไปด้วยรายละเอียดและข้อมูลจริงๆ
ทั้งเรื่องหนังและเพลง

น่าชื่นชมครับ
การเขียนบล้อกดีดีแบบนี้ออกมา
เป็นการแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนบล็อกได้ดีมากครับ





โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:42:42 น.  

 
จำได้ว่าหนังเรื่องนี้ดังมาก
วันนี้ได้ฤกษ์อ่านเรื่องย่อซักที
รู้แล้วว่า ทำไมเรื่องนี้เค้าถึงได้รางวัลเยอะขนาดนี้


โดย: VELEZ วันที่: 29 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:32:41 น.  

 

เราก็ชอบเรื่องนี้มากค่ะ


โดย: halation วันที่: 29 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:53:05 น.  

 
ได้อ่านเรื่องราวของหนังเรื่องนี้แล้วชอบมากค่ะ
ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นฉากทะเลทราย
ชอบสีน้ำตาลของทะเลทรายมากๆ

อ่านแล้วอยากไปเที่ยวทะเลทรายจัง



โดย: Suessapple วันที่: 29 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:09:55 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ..คุณเขียนเรื่องราวได้น่าอ่านมากจริงๆ คืนนี้ลาไปนอนก่อนค่ะ หลับฝันดีค่ะ


โดย: พิรุณร่ำ วันที่: 29 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:49:07 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:5:16:03 น.  

 
ฮ่าๆๆๆๆ


ดีนะครับที่หมิงหมิงยังไม่เคยฉี่ในบ้านบอล
เคยแต่ฉี่ในสระว่ายน้ำครับ 555

แหะๆๆๆ ดีนะครับ
ที่ผมรู้ตัวก่อนรีบอุ้มขึ้นมาก่อน

ที่สระเค้าเขียนป้ายว่า

"ถ้าใครอึใส่สระปรับ 5 หมื่นครับ" 555

ไม่รู้ฉี่จะปรับกี่บาทนะครับ 555







โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:6:58:07 น.  

 
เข้ามาทักทาย....และขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล๊อก
คงได้ตอ้นรับอีกนะครับ..


โดย: wicsir วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:00:38 น.  

 
เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เราประทับใจมากค่ะ

และคิดว่าเป็นหนังเรื่อหงนึ่งที่เหมาะที่จะดูในโรงหนังมากกว่าดูที่บ้านนะคะ


วันที่เราไปร้านนี้คนเยอะค่ะ แน่นเลยหละค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:00:49 น.  

 
เพลงเพราะจังเลยค่ะ เคยได้ดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน นักแสดงเล่นดีกันจริง ๆ เนาะ โดยเฉพาะ Finnes สมกับเป็นหนังรางวัลจริง ๆ ... จขบ. รีวิวได้ละเอียดดีจังเลยค่ะ


โดย: Tristy วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:45:08 น.  

 
ก่อนอื่นเราขอชื่นชมคุณเจ้าของบล็อกว่า เขียนรีวิวได้ดีมากๆและละเอียดเลยที่เดียวค่ะ เนื้อหาแน่นมากพร้อมทั้งเพลงประกอบก็เพราะ

เชื่อมั๊ยคะว่าเราอ่านทุกตัวอัษรที่คุณเขียน แบบว่าอินไปด้วยเลยค่ะ ชอบจังเลย

มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: LoveParadise วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:11:08 น.  

 
เคยดูและ ชอบพระเอกด้วยค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:15:05 น.  

 
@ คุณกะว่าก๋า

ขอบคุณมากๆที่แวะมาเยี่ยมบล็อกและกำลังใจให้เจ้าของบล็อกคะ

เลี้ยงลูกแล้วก็ดูหนังได้นะคะ ดูการ์ตูนกับน้องหมิงหมิงไปเลยคะ

@ คุณVELEZ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบล็อกนะคะ

เรื่องนี้...อยากให้ดูเลยคะ นอกจากเนื้อเรื่องแล้ว ภาพหนังยังสวยมากๆด้วยคะ

@ คุณhalation

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคะ

ดีใจจังมีคนชอบเหมือนกันเลย...

@ คุณ Suessapple

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะคะ

เราก็ชอบทะเลทรายเหมือนกันคะ ชอบมาตั้งแต่อ่านนิยายหลายๆเรื่องของโสภาค สุวรรณ และก็ชอบดูพวกประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณอะไรแบบนี้นะคะ

แนะนำเรื่องนี้เลยนะคะ ทะเลทรายในเรื่องสวยมากจริงๆ

@ คุณพิรุณร่ำ

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคะ

ขอบคุณมากๆที่แวะมาเยี่ยมและสำหรับกำลังใจนะคะ

คืนนี้ฝันดีด้วยนะคะ

@ คุณ wicsir

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคะ

จะไปเยี่ยมบล็อกคุณอีกแน่นอนคะ

@ คุณสาวไกด์ใจซื่อ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะคะ

เรื่องนี้ชอบสุดๆเหมือนกันคะ อยากได้บรรยากาศในโรงหนังเหมือนกันคะ แต่พอจะดูมันก็ออกจากโรงมาสิบกว่าปีแล้ว เลยต้องอาศัยโรงหนังPioneer & Sumsung ไปแทนอ่ะคะ ฮ่าๆๆ

จะแวะไปชมที่เที่ยวที่ทานอีกนะคะ

@ คุณTristy

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมและกำลังใจดีๆนะคะ

ชอบ Ralph Finnes มากๆเหมือนกันคะ เพราะเขาเลยได้มาดูเรื่องนี้

@ คุณLoveParadise

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมและคำชมเชยที่เป็นกำลังใจให้เจ้าของบล็อกนะคะ

ดีใจจังที่มีคนอินเหมือนเราด้วย ดีใจที่ได้แบ่งปันความชอบคะ

@ คุณ tuk-tuk@korat

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคะ

ชอบเขามากๆเหมือนกันคะ


โดย: เจ้าช่อมาลี (PP_Skywalker ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:59:19 น.  

 
น่าสนใจจังเลยค่ะ
เพราะส่วนตัวชอบหนังแนวนี้อยู่แล้ว
ยิ่งย้อนยุคไปด้วยนี่ใช่เลย
เอาไว้ต้องหามาดูบ้างแล้วค่ะ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมกันนะคะ


โดย: ปลาทอง9 วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:22:53 น.  

 
ขอบคุณแวะมาทักทายกันนะคะ

ไม่ค่อยได้ดูหนังค่ะ ชอบดูกีฬามากกว่าค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:26:11 น.  

 
หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนังเรื่องโปรดเลยค่ะ
ชอบจนมีซีดีมาเก็บไว้ ชอบทั้งเนื้อเรื่อง
นักแสดงและบรยากาศด้วยค่ะ
เจ้าของบลอคตั้งใจเขียนออกมาได้ละเอียดมากๆเลยค่ะ
คงทำให้หลายคนอยากดู และคนที่ดูแล้วอยากดูอีกค่ะ


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:55:34 น.  

 


ม่าม๊าเองค่ะ

หนังย้อนยุคหาดูยากค่ะ




โดย: mamamodern วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:15:05 น.  

 
ถ้าเกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องทำดีให้ดีขึ้นไปนะจ่ะ อิอิ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:40:45 น.  

 
ท่าทางจะเป็นหนังเศร้า ดูแล้วคงต้องร้องไห้แน่ๆเลยค่ะ


โดย: koboreume วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:19:33:21 น.  

 
คอหนังตัวจริงนะคะเนี่ย ขอชื่นชมว่าเขียนได้ดี อ่านแล้วห้ามหยุดระหว่างทาง
เป็นเหมือนกันค่ะ ดูหนังบางเรื่องเพราะดารานำ
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ


โดย: blueberryblossom วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:49:26 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีเช้าวันสุดท้ายของเดือนค่ะ


โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว วันที่: 31 พฤษภาคม 2554 เวลา:7:09:59 น.  

 
นอนหลับฝันดีนะครับ พักผ่อนเยอะๆ สุขภาพแข็งแรง News


โดย: bbandp วันที่: 31 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:27:40 น.  

 
หมิงหมิงช่วงนี้ดูคลิปในยูทูปมากกว่าครับ
การ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ดูจบไปก็ Rio นี่ล่ะครับ
น่ารักดีครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:21:49 น.  

 
สวัสดีคะ ตะบองเพชรทุกพันธุ์มีดอกคะ
แต่ความสวยจะแตกต่างกันไป
หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายต้นไม้คะ
ถ้ามีเวลาก็ไปเดินจตุจักร ตลาดนัดต้นไม้
วันพุธ และพฤหัสนะคะ เพลินๆกับต้นไม้ดีคะ
^^


โดย: Forest-ic วันที่: 31 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:28:41 น.  

 
หนังเรื่องนี้ไม่แน่ใจค่ะว่าได้ดูไหม
ช่วงนี้เป็นโรคความจำเสื่อมด้วยค่ะ

สุข สดชื่นกับวันแรกของเดือนนะคะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 1 มิถุนายน 2554 เวลา:2:09:11 น.  

 
สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มาแวะตามไปเที่ยวโรมด้วยกัน และแวะมาอ่านชีวิตของแอร์ที่แสนลำบากค่ะ T_T" ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ

เมื่อก่อนเรียนวรรณคดีและวิจารณ์ภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ไม่เคยผ่านตาเลย (ทำไมเราเชยจัง)

อ้อ...ชอบเพลงจังเลยค่ะ ช่วง movement ที่เป็น Fugue นี่เพราะมาก ต้องหาเพลงแบบนี้มาฟังเพื่อสงบสติอารมณ์บ้างแล้ว ช่วงนี้อยากจะกินหัวผู้โดยสารจริงๆ...


โดย: Bloody Distance วันที่: 1 มิถุนายน 2554 เวลา:5:15:00 น.  

 
@ คุณปลาทอง9

ขอบคุณที่แวะมาชมบล็อกนะคะ
ชอบหนังย้อนยุคเหมือนกันคะ อยากเห็นว่าเขาอยู่กันยังไง? แต่งตัวยังไง?
แนะนำหนังเรื่องนี้เลยคะ ภาพหนังสวยมากๆ บรรยากาศทะเลทรายสวยๆเลย

@ คุณเนินน้ำ

เราก็ชอบดูกีฬาคะ ฟุตบอลนี่ชอบมากๆ เทนนิสก็ชอบคะ

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมคะ

@ คุณSweety-around-the-world

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าของบล็อกนะคะ

ดีใจจัง...มีคนชอบแบบเราด้วย


@ คุณmamamodern

หายากเหมือนกันคะ แต่เจ้าของบล็อกขวนขวายสุดพลัง ทีหนังสือเรียนไม่เห็นขยันเว่อร์แบบนี้

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคะ

@ คุณตะวันเจ้าเอย

ขอบคุณที่แวะมาให้คำแนะนำดีๆจ๊ะ

@ คุณkoboreume

ตัวเนื้อเรื่องไม่ค่อยเศร้าคะ ถึงจะสูญเสียแต่หนังจะเล่ามาแต่แรกเลยว่าใครเป็นยังไงบ้างในตอนจบ เลยไม่เศร้ามาก แต่ภาพหนัง สถานที่ คำพูดของตัวละคร สุดยอดมากๆ แนะนำให้ดูเลยคะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านบล็อกคะ

@ คุณblueberryblossom

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมและสำหรับคำชมเชยนะคะ เป็นกำลังใจเขียนต่อไปอย่างมากคะ

เป็นคอหนังเฉพาะเรื่องที่อยากดูคะ คือมันต้องมีแรงดึงดูดให้เสียเงินเข้าโรงหรือหยิบแผ่นมาดูก่อนนะคะ

อย่างเรื่องนี้ แรงดึงดูดมหาศาลคือ Ralph Finnes กับทะเลทรายคะ

@ คุณดอกฝิ่นในสายลมหนาว

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันนะคะ



@ คุณbbandp

ขอบคุณมากๆคะสำหรับคำอวยพร

ขอให้พรนั้นเกิดกับคุณและครอบครัวเช่นกันคะ

@ คุณกะว่าก๋า

ตัวเท่านี้กดยูทู้ปได้แล้วเหรอคะ? เก่งมากเลยเด็กคนนี้



@ คุณForest-ic

แง๋ว...เราไม่ทราบมาก่อนว่าตะบองเพชรมีดอกด้วย ไปอยู่ไหนมาเนี่ย?

ขอบคุณที่เข้ามาให้ข้อมูลคะ

@ คุณข้ามขอบฟ้า

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคะ

ดูอีกรอบไหมคะ? หนังสนุกน้าาาา...

สวัสดีวันต้นเดือนเช่นกันคะ

@ คุณBloody Distance

ขอบคุณมากๆที่แวะมาชมบล็อกคะ

เราวิจารณ์หนังไม่เป็นเลยคะ เคยอ่านที่คนอื่นเขียนมีแต่ข้อมูลขั้นเทพ เราเขียนบอกได้แต่อะไรชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี ในความเห็นส่วนตัวคะ

เป็นกำลังใจให้ทำงานต่อไปคะ เคยบอกตัวเองเหมือนกันว่าต้องทนๆ เพื่อเงินๆ วันนี้ช่างมัน พรุ่งนี้เอาใหม่ อะไรทำนองนี้อ่ะคะ


เพลงประกอบเรื่องนี้เราชอบสุดๆเลย ไม่รู้ว่ามันมีองค์ประกอบทางดนตรียังไงแต่บอกได้แค่ชอบ เพราะเนอะ"""


โดย: PP_Skywalker วันที่: 1 มิถุนายน 2554 เวลา:23:48:22 น.  

 
จำรายละเอียดหนังไม่ได้แล้ว
จำได้แต่ฉากใกล้จบที่พระเอกขับเครื่องบินบินผ่านทะเลทราย..
สวยมาก.. เหมือนภาพในความฝัน..

อีกอย่างที่จะได้คือตอนนั้นไปดูในโรงที่อเมริกา
คุณลุงคุณป้า (ส่วนใหญ่มีแต่รุ่นแก่ๆ ดู) เดินออกจากโรง
น้ำตาซึมกันเป็นแถวๆ..ฝรั่งเวลาดูหนังเค้าอินกันจริงๆ


โดย: หน้าม้ารับจ้าง วันที่: 15 มิถุนายน 2554 เวลา:15:19:07 น.  

 
เคยดูเรื่องนี้​และจำได้ว่าชอบมากๆ..
ขอบคุณที่เขียนบล๊อกได้ละเอียดจนเหมือนได้กลับมาดูเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ

🥰🥰


โดย: หยก IP: 182.232.166.152 วันที่: 16 กรกฎาคม 2563 เวลา:23:20:08 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความครับ


โดย: ZamakidA IP: 171.6.9.132 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2564 เวลา:14:42:47 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความค่ะ :)


โดย: P. IP: 124.120.67.15 วันที่: 5 มีนาคม 2566 เวลา:23:31:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PP_Skywalker
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ขอบคุณมากๆคะ
Friends' blogs
[Add PP_Skywalker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.