กันยายน 2558

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
ลาก่อนอินเดียที่เมือง......Delhi

วันที่ 3/1/2013 วันที่สิบเก้าของการเดินทาง

อาหารเช้าวันนี้กินร้านเดิมกับเมื่อคืน แต่เช้านี้เราเลือกสปาเก็ตตี้ พี่ต่อเลือกเป็นข้าวสวยกับผัดเนื้ออะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้55 ร้านนี้ทำกับข้าวได้อร่อย แถมราคาก็ไม่แพงอีกตะหาก ทำให้เราต้องมาฝากท้องที่นี่ทุกเช้า



ภาระกิจวันนี้เราจะไปตะลุย RedFort กันเดินออกมาจาก Pahar Ganj ข้ามมาฝั่งสถานนีรถไฟ แล้วมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟฟ้า ที่อยู่ใกล้ๆกันกับสถานีรถไฟเลย เดินง่ายมากๆยังไงก็ไม่หลง สภาพสถานีรถไฟฟ้าที่นี่เหมือนสถานี MRT ที่ไทยมากๆ เข้าใจว่าใช้ผู้รับเหมาเจ้าเดียวกัน แต่จุดที่ต่างกันก็คือ MRT ที่ไทยสะอาดกว่ามากๆ และก่อนเข้าไปในชานชาลา เราจะต้องโดนตรวจเข้มจากเจ้าหน้าที่ โดยแบ่งเป็นแถวผู้หญิงและแถวผู้ชาย ฝั่งผู้หญิงคนน้อยชิลล์ๆ แต่ฝั่งผู้ชายคนเยอะมากกกก พวกเรานั่งกันมาลงสถานี chandni chawk เพื่อเดินไป Red Fort แล้วก็ถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆ แต่เค้าดันบอกไม่เหมือนกันซะนี่ คนนึงให้ไปซ้ายคนหนึงให้ไปขวา สรุปพวกเราเดินอ้อมไปมารวมกับใช้เวลาหาทางเข้าก็เสียเวลาไปร่วมๆชั่วโมง555



เจอแล้ว Red Fort


ซื้อตั๋วเข้าในราคา 10รูปีอย่าลืมโชว์พาสปอร์ตไทยด้วยนะ














































ถั่วคั่วหน้า Red Fort พอเห็นเป็นคนต่างชาตินี่โก่งราคาเชียวนะพ่อคุณ


หลังออกจาก Red Fort พวกเราก็ชวนกันไปหาของกินต่อแถว Connaught Place 




พวกเราเลือกร้านโดมิโนพิซซ่า นี่เป็นครั้งแรกในทริปที่เราได้กินหมู สั่งเป็นพิซซ่าหน้าเปปเปอร์โรนี่หมู เพราะว่ามันเป็นหมูแน่นอน ราคามันก็เลยแพงที่สุดในร้าน




กินเสร็จก็ชวนกันกลับเพื่อไปเดินเล่นต่อแถวๆที่พักอีกสักนิด แล้วก็ได้องุ่นมาด้วยแต่ราคาแอบแพงอะ 1/2โล 100รูปี ซื้อเสร็จก็กลับห้องเจอไฟดับกว่าจะได้อาบน้ำนอนก็ 4ทุ่มกว่า


วันที่ 4/1/2013 วันที่ยี่สิบของการเดินทาง

มื้อเช้าฝากท้องที่เดิมวันนี้เราเลือกข้าวหมกไก่ย่าง ส่วนสปาเก็ตตี้ของเป็นของพี่ต่อ และตบท้ายเบาๆด้วยชาร้อน 1แก้ว




โปรแกรมของวันนี้ เราจะไปวัด Swaminarayan Akshardham เป็นวัดที่สวยงามอลังการ ควรค่ากับการไปให้เห็นกับตาตัวเองมากๆๆๆๆๆ (แต่ข้างในห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด ต้องฝากกระเป็ากับกล้องไว้ที่ห้องฝากของด้านหน้า เอาเข้าไปได้แค่เอกสารสำคัญกับเงิน ถ้าใครสนใจตามไปดูในลิงค์ได้เลยจ้ามีทั้งวิธีการเดินทางไปวัด และรูปภาพสวยๆอีกเยอะมาก //akshardham.com/ ) พวกเรานั่งต้องรถไฟฟ้าไปที่สถานี Rajiv chowk  แล้วไปเปลี่ยนขบวนรถที่จะไปสถานี Akshardham






วัดนี้เข้าฟรี ยกเว้นแต่จะอยากชมการแสดงแสงสีตอนกลางคืน อันนั้นต้องจ่ายต่างหาก มีกฎให้เข้าไปแต่ตัว ห้ามเอาสัมภาระ หรือกระเป๋าทุกชนิดรวมทั้งกล้องถ่ายรูปเข้าไปโดยเด็ดขาด พอเดินเข้ามาจนถึงทางที่จะเข้าในตัววัดก็ลังเลกันอยู่สักพักว่าจะเข้าไปยังไงดี พี่ต่อเสนอว่าจะผลัดกันเข้าไปดู เราเลยให้พี่ต่อเข้าไปดูก่อนส่วนเราจะนั่งเฝ้าของเอาไว้ พี่ต่อหายไปสักพักก็ออกมาหาเราแล้วบอกว่า เข้าไปด้วยกันเหอะข้างในมันกว้างมาก เดินไปตั้งไกลก็ยังไม่ถึงตัวอาคารเลย ก็เลยพากันไปกรอกข้อความในใบรับฝาก แล้วไปต่อแถวเพื่อฝากของ ซึ่งถึงแม้เค้าจะบอกว่าไม่รับผิดชอบหากสูญหาย แต่ระบบฝากของเค้าก็ดีมากโดยให้กรอกใบรับฝาก เพื่อใส่รายละเอียดของที่อยู่ในกระเป๋า แล้วเอาไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ห้องฝาก ตรงด้านหน้าจะมีเค้าท์เตอร์เพื่อรับของมา แล้วจะเอาไปเก็บไว้ในที่ฝากของซึ่งเป็นชั้นอยู่ด้านในอีกที เค้าจะถ่ายรูปของของเราเอาไว้ก่อน ซึ่งก็คิดว่าน่าจะปลอดภัยพอสมควร ก่อนเข้าไปด้านในได้ ก็ต้องผ่านการแสกนตรวจรางกายอย่างละเอียดจากเจ้าหน้าที่ โดยแยกชาย-หญิง ด้านในกว้างขวาง ใหญ่โตสวยงามใช้วิธีการสร้างแบบดั้งเดิม โดยใช้หินทรายในการก่อสร้าง ถึงแม้จะเป็นวัดสร้างใหม่แต่ก็ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมอย่างยิ่งและเนื่องจากวัดนี้ห้ามเอากล้องเข้าไปโดยเด็ดขาด ก็เลยขอเอารูปจากเวปของวัดนี้ในมาให้ดูแทน










ด้านในมีร้านขายขนมกับน้ำชาราคาไม่แพงให้ซื้อนั่งกินกันเพลินๆด้วย บรรยากาศดีสุดๆ ประมาณ4โมงกว่าๆเราก็ชวนกับกลับไปหาอะไรกินแถว Connaught Place

วัดถ่ายจากบนสถานีรถไฟฟ้า กับช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน





อาหารเย็นวันนี้ เราตั้งมากินอาหารไทยที่ร้าน Berco’s เพราะว่าพี่ต่อเบื่ออาหารอินเดียที่สุดแล้ว55


เมนูที่สั่งมีแกงเขียวหวานไก่ กับต้มยำกุ้งรสชาติไม่ค่อยได้เรื่องแต่ก็พอกินได้



เดินออกมาด้านนอกเจอคุณยายนั่งขายผลไม้แบกะดิน เลยอยากอุดหนุนซะหน่อยแต่คุณยายพูดอังกฤษไม่ได้ โชคดีที่มีครอบครัวชาวอินเดียที่น่าจะมาช้อปปิ้งแถวนั้น แล้วแวะซื้อผลไม้ของคุณยายช่วยเป็นล่ามให้ พวกเราเลยได้สตอว์เบอร์รี่1กล่อง กับองุ่นอีก 1โลราคา องุ่นแค่โลละ 100รูปี ถูกกว่าแถว Pahar Ganjหนึ่งเท่าแน่ะ


ซื้อเสร็จก็เดินลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เลยแต่วันนี้อาจเพราะว่าพวกเรากลับกันเร็วไปหน่อย เลยเจอช่วงเวลาการเดินทางที่มีประชากรอินเดียคับคั่ง(มากกกกกกกกกกกกกกก) ซึ่งก็เป็นผู้ชายทั้งนั้นพวกเค้ารอขึ้นรถไฟกันอยู่ พอรถไฟมาเท่านั้นแหละ แมร่งแย่งกันขึ้นรถสุดชีวิตไม่มีระเบียบสุดๆ ทั้งเบียดทั้งผลักและดันกันสุดฤทธิ์ อาการหนักขนาดว่าเป้ใบเล็กที่เราสะพายติดตัวมาทุกทริป ต้องมาสละชีพสายขาดหลุดมาจากตัวกระเป๋าเลย แถมพออยู่ในรถดันมีคนตดอีกตะหาก เราตัวเตี้ยก็รับกลิ่นไปเต็มๆ555 พอกลับถึงที่พักตอนก่อนนอนก็ต้องมาเย็บซ่อมเอง ดีนะเอาเข็มกะด้ายมาด้วย คืนนี้ไฟก็ยังดับเหมือนเดิม มาตราฐานดีจริงๆ55

วันที่ 5/1/2013วันที่ยี่สิบเอ็ดของการเดินทาง

วันนี้เรามีโปรแกรมอยากไปหลายที่มากๆแต่ก็ดันเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติเมื่อคืน เลยทำให้เราออกจากโรงแรมช้ากว่าทุกวัน โปรแกรมอื่นๆเลยต้องทิ้งไปโดยปริยาย เนื่องจากคืนที่ผ่านมา เราตื่นขึ้นมาช่วงกลางดึก(ประมาณช่วงเที่ยงคืน) ด้วยเสียงรบกวนบางอย่าง พอตั้งใจฟังดีๆ ก็รูว่าเป็นเสียงปืน เสียงปืนดังขึ้นทีละนัดๆ เสียงมาห่างๆกัน แต่สักพักก็ดังและถี่ขึ้นเรื่อยๆแล้วก็หยุดเงียบไป แล้วก็วนกลับมายิงใหม่ทั้งคืนจนเช้า นอกจากจะรบกวนการนอนของพวกเราแล้วยังทำให้พาลคิดไปว่า พวกเราจะมีชีวิตรอดกลับเมืองไทยกันมั๊ย มันเกิดไรขึ้นเนี่ยยยย แต่หลังจากนั้นพวกเราก็เผลอหลับกันต่อไปอีก และมาตื่นอีกที่เกือบๆ 11โมงเช้า กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็บ่ายโมง พอลงมาด้านล่างเจอเด็กในโรงแรม เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน เด็กก็บอกว่าเป็นเทศกาล แต่ก็อธิบายอะไรมากไม่ได้ เพราะเค้าไม่แข็งแรงภาษาอังกฤษ สักพักเจ้าของโรงแรมมาพอดีก็เลยถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเมื่อคืน เค้าก็ตอบว่าเป็นเทศกาลบูชาคุรู (โปรดนึกสำเนียงคนอินเดียตาม บู-ชา-คุ-รู) พวกเราก็คงต้องเข้าใจตามนั้น55 ได้แต่นึกในใจว่าแมร่งบูชาได้ดุเดือดดีนะ ยิงกันปุ้งปั้งทั้งคืนเลย555+++

อาหารเช้าฝากท้องร้านเดิม วันนี้ไม่ไปไหน แพลนทุกอย่างพังลงเพราะเสียงปืนเมื่อคืน ใครจะกล้าไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้ากลางเมือง ก็เลยตัดสินใจเดินเล่นละแวกนี้แทน แล้วก็ตั้งใจไปนำส่งไปรษณียบัตรของพี่อัญ (เพื่อนที่ทำงานของพี่ต่อ)ให้เพื่อนคนอินเดียของพี่อัญ จริงๆหาไปรษณีย์มาหลายที่แล้วแต่ก็ไม่เจอ วันนี้เราต้องทำภาระกิจให้สำเร็จให้ได้55+++




หลังจบมื้ออาหารเช้าพวกเราเดินเล่นกันไปสักพัก ก็ได้เจอคุณลุงคนนึงหน้าตาไม่ใช่คนอินเดีย เหมือนคนจีนแกเข้ามาทักพวกเรา แล้วถามว่าจะไปไหน ชวนพวกเราคุยแล้วก็พาเราไปส่งที่ไปรษณีย์ ลุงแกเล่าให้ฟังว่าแกเป็นคนเกาหลี (แต่ไหงมาอยู่ที่นี่ละ55) ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกัน แกก็ทักทายชาวบ้านคนขายของคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แทบทุกคนแถวนั้นเค้าน่าจะรู้จักแก คุณลุงเค้าก็ถามว่าพวกเรามาจากที่ไหน เพราะเค้าทายไม่ถูก(เหมือนเช่นเคย) พอเราบอกว่าพวกเราเป็นคนไทย แกทำหน้าตาตื่นเต้นพลางชี้ให้ดูเสื้อแจ๊กเก็ตที่แกใส่อยู่ว่าเป็นของปูนซิเมนต์ไทยมีตัวหนังสือไทยด้วยนะ ซึ่งเราก็สังเกตุเห็นแต่แรกแล้ว55 ลุงแกเล่าให้ฟังว่าแกมีน้องสาวทำงานที่เมืองไทยแถวภาคใต้ แต่ก็โดนเหตุการณ์ซึนามิครั้งประวัติศาสตร์คราวนั้นพรากชีวิตไป น่าสงสารมากๆ พอเดินไปถึงไปรษณีย์โดยการพาไปของคุณลุง แกก็รีบกุลีกุจอติดต่อเจ้าหน้าที่ และจัดแจงหาแสตมป์มาให้พวกเราติด และจะออกเงินให้ด้วย พวกเราก็บอกว่าไม่เป็นไร ขอบคุณมากๆ ก็เลยขอที่อยู่ลุงไว้กะว่าจะส่งโปสการ์ดไปขอบคุณคุณลุงเค้า คุยกันได้สักพักพวกเราก็ขอตัวไปก่อนเพราะจะไปเดินเล่นในตลาดและหาซื้อของฝาก แต่ก็ไม่ลืมถามคุณลุงว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันคืออะไร คุณลุงเค้าบอกว่าน่าจะเป็นเรืองทางการเมือง เพราะการเมืองที่นี่แรงมาก โอ้ตอบไม่เหมือนกันเชื่อใครดีเนี่ย วันนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปนักมัวแต่เดินซื้อของเลือกของฝากกันอยู่









สักบ่ายๆก็ชวนกันกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม และเตรียมเก็บของก่อนบางอย่างจะได้ไม่วุ่นวายมากนัก

ปากทางเข้าโรงแรม S.B. INN ของพวกเรา




พอเข้ามาถึงก็เจอเจ้าของโรงแรมพอดี เลยถามเค้าเรื่องรถแท็กซี่ที่จะรับเราไปสนามบิน เค้าเสนอหาแท๊กซี่ไปแบบส่วนตัวให้ ในราคา 350รูปีต่อสองคน ส่งถึงสนามบินก็เลยรับข้อเสนอนี้ ส่วนมื้อเย็นวันนี้ตั้งใจจะทำกินเอง

อากาศหนาวขนาดที่น้ำมันพืชวางไว้ในห้องนอนยังเป็นไขเลย55 ขณะที่เรากำลังเตรียมของทำกับข้าว ก็ให้พี่ต่อลงไปหาซื้อไก่ย่าง เพราะว่ายังเหลือเส้นขนมจีนอยู่เลยทำตำแตงปลาร้า แกงป่าไก่ย่าง แล้วก็ไข่เจียวแบบและๆ55++ กินกับขนมจีนและก็ไก่ย่างที่เหลือ ตบท้ายด้วยแตงคาบูหวานเจี๊ยบอร่อยมากๆอีก1ลูก อิ่มอร่อยเสร็จแล้ว ก็พักผ่อนเตรียมกลับเมืองไทยพรุ่งนี้







วันที่ 6/1/2013

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในอินเดียของพวกเราแล้ว หลังจากเก็บของคืนกุญแจห้องเรียบร้อย ก็ลงไปขึ้นแท๊กซี่ที่มารออยู่โดยคนขับเดินมารับที่โรงแรม หลังจากพ้นจากประตูโรงแรมพี่แกรีบบอกเลยว่าเนื่องจากเป็นบริการตอนเช้า ต้องให้เพิ่มอีก 30รูปี เราก็งงๆแต่ก็ไม่ว่าไรเพราะถ้าบริการดีก็อาจจะให้เพิ่มอยู่แล้ว พอเราเอาของใส่รถเสร็จ คนขับก็ยังไม่ยอมขึ้นรถ ก็งง ว่าทำไมสักพักเท่านั้นแหละ มีหนุ่มญี่ปุ่นอีกคนเดินมาขึ้นรถคันเดียวกับเรา พร้อมกระเป๋า1ใบทำให้เรางงมาก แต่ความงงงวยยังไม่หมด เพราะสักพักมีชายอินเดียอีกคน เดินมาพร้อมกับสัมภาระอีก1ใบแล้วคนขับก็บอกพวกเราว่า My Boss โอ้เล่นง่ายนะเมริง อย่างงี้อย่าหวังเงินเพิ่มซะให้ยาก ใครจะเชื่อว่าเป็นเจ้านายแก ถ้าเป็นเจ้านายแก ก็เอาไปส่งเองดิมานั่งเป็นติ่งส่วนเกินอะไรในรถละ นี่ชั้นจ่ายตังค์เพื่อนั่งแบบส่วนตัวนะ เราโมโหมาก พี่ต่อถามหนุ่มญี่ปุ่นว่าโดนหลอกเหมือนกันใช่ป่ะ แล้วโดนมาเท่าไรปรากฏว่าเค้าโดนคนเดียว 500รูปี แถมคนขับยังจะขอเพิ่มอีก 30รูปี พอถึงสนามบินเท่านั้นแหละ พิ่หนุ่มญี่ปุ่นฮีไวมากคร่าาาา รีบคว้ากระเป๋าโกยอ้าวหายวับไปทันที เหลือเราสองคนที่สัมภาระเยอะมาก กว่าจะออกมาจากรถได้ก็เหนื่อยละ อีตาคนขับรีบอย่างไวเลย รีบเดินตามมาทวงอีก 30รูปีกับพี่ต่อ พี่ต่อรีบโบ้ยแล้วชี้มาทางเรา พลางบอกว่า Ask her . She is my boss. เราหันควับไปหาคนขับ ส่งเสียงดังฟังชัดว่า โนวววววว์ พลางทำหน้าตาพร้อมเอาเรื่องระดับ 10 รู้สึกสะใจเล็กๆ แล้วก็เดินเข้าไปในสนามบินไปเลย555+++ (บุคคลภายนอกที่ไม่มีตั๋วเครื่องบิน จะไม่สามารถเข้าอาคารสนามบินได้ มีทหารเฝ้าอย่างเข้มงวดตรงหน้าประตู) อาหารมื้อสุดท้ายที่อินเดีย พวกเราเลือกกินเคเอฟซีกันไปพลางๆระหว่างรอเครื่องกลับเมืองไทย และถึงเมืองใทยอย่างสวัสดิภาพช่วงเย็นๆของวันนั้นเอง ช่างเป็นทริปที่เพิ่มรสชาติชีวิตได้ดีจริงๆ



Create Date : 15 กันยายน 2558
Last Update : 18 กันยายน 2558 0:28:08 น.
Counter : 4297 Pageviews.

2 comments
  
สุดท้ายที่เดลี แล้วเนอะ คิดถึงวันแรกที่ไปถึงเลยค่ะ
เดินแบกเป้ขึ้น เมโทร
แล้วไม่รู้ว่าเขามีตู้แยกสำหรับผู้หญิงให้
(คงเดาถูกว่าสภาพตอนนั้นเป็นไง) 555

ตกลงบูชาคุรุ หรือ ยิงกันเนี่ย
คนที่นี่บางครั้งถามแล้วตอบไม่ตรงกันเยอะค่ะ

สงสารลุงเกาหลีปูนซีเมนต์เล็กๆ
การรู้ว่าเรามาจากเมืองไทย ก็คงทำให้แกคิดถึงน้องสาวละเนอะ




ตลกตอนจบเรื่อง my boss นะ โอย ไม่กล้าขึ้นแท็กซี่ หรือรถที่ทางที่พักเสนอให้สักครั้งก็เพราะแบบนี้แหละ


โดย: กาบริเอล วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:18:29:33 น.
  
ถ้างั้นวันที่สายสะพายเป้ขาด เราน่าจะหลงเข้าไปตู้ของผู้ชายนั่นแหละค่ะ คุณกาบริเอล เพราะในตู้นั้น ไม่มีผู้หญิงเลยสักคน555++
โดย: gohachimitsu วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:20:23:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gohachimitsu
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



New Comments