บอกเล่าเรื่องเที่ยว โครเอเชีย อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ และเมืองซาดาร์






 
 
อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ และเมืองซาดาร์

6 พฤษภาคม 2558

คลิกก่อนหน้านี้ ซาเกร็บ


วันนี้พวกเราไม่ต้องตื่นเช้ามาก เพราะอุทยานอยู่ใกล้กับโรงแรมที่เราพัก พวกเราจึงเริ่มออกเดินทาง 08.30 น. เมื่อถึงเวลาพวกเราก็เดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ “Plitvice Lakes National Park” ระยะทาง 33 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที

อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ ปัจจุบันมีพื้นที่ประมาณ 300 ตาราง กิโลเมตร ล้อมรอบทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ 16 แห่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ทะเลสาบตอนบน ( The Upper Lakes ) และทะเลสาบตอนล่าง ( The Lower Lakes ) ทะเลสาบเหล่านี้เชือมต่อกันด้วยธารน้ำตกและโขดหินที่ลดหลั่นต่อเนื่องกันลง มาเป็นทอดๆมีสะพานไม้เป็นทางเท้าให้เดินลัดเลาะชมธรรมชาติอันงดงามของ ทะเลสาบ ลำธาร เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร



เป็นอุทยานแห่งแรกของประเทศ ที่รัฐสภาโครเอเชียได้ผ่านกฎหมายเพื่อให้มีการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่าของโครเอเชีย เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ 1949 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ 1979



ช่วงที่ยืนรอตั๋วแอบถ่ายบรรยากาศรอบๆซะหน่อย



ยืนรอสักพักเราก็ได้ตั๋วจากไกด์ ค่าเข้าชมคนละ 100 คูนาสำหรับตั๋วกลุ่มและราคา 110 คูนาสำหรับคนทั่วไป



พวกเราเดินชม The Lower Lake โดยเข้าทางประตูที่ 1 เดินตามเส้นสีแดงผ่านน้ำตกเดินจนถึงจุดที่2 จากนั้นพวกเราก็นั่งเรือข้ามมายังจุดที่ 3 ดูเหมือนจะไกลแต่จริงๆเดินสบายๆ



พอเดินมาได้สักพักเราก็เจอกับจุดชมวิวที่มีน้ำตกที่สวยงาม ชวนให้อยากถ่ายรูปเกือบทุกมุม



ซูมเข้ามาใกล้หน่อย



นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าทะเลสาบพลิตวิเซ่เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เมื่อโลกยังอยู่ในช่วงยุคน้ำแข็งตอนปลาย ( The Lasrt inter-glacial period) น้ำแข็งบางส่วนที่ละลายได้ไหลซึมผ่านชั้นหินใต้ดินไปจนถึงชั้นหินปูน น้ำที่ซึมผ่านชั้นดินเหนียวและทรายจนกระทั่งซึมต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเกิดแรงดันพุ่งขึ้นสู่ผิวชั้นบนกลายเป็นบ่อน้ำพุ ต่อมากลายเป็นแม่น้ำที่เรียกกันว่า Black River ( Crna Rijeka) และ white River ( Bijela Rijeka) เมื่อไหล่มารวมกันในบริเวณที่มากขึ้นเรื่อยๆก็จะล้นทะลักไหลออกไปตามซอกเขา หุบเหว และ ช่องเขาดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

พอเดินไปได้สักพักเราก็เห็นภาพที่สวยอยู่ข้างหน้า เป็นภาพที่เราอยากมาเห็นด้วยตาสักครั้ง..น้ำตกที่ยิ่งใหญ่ตัดกับน้ำสีเทอคอยส์ ช่างสวยงามจริง





มองลงไปเห็นสะพานไม้ที่มีคนเดินข้ามน้ำตก ซึ่งอีกเดี๋ยวเราก็ต้องเดินข้ามไปด้วยเช่นกัน



ทางที่พวกเเราเดินนอกจากมีป่าไม้แล้ว ยังมีถ้ำให้เราเดินไต่บันไดลงไปด้วย



ออกมาเจอสะพานไม้รูปโค้ง ก็สวยอีก



จากนั้นพวกเราเดินผ่านทะเลสาบขนาดใหญ่สีเทอคอยส์ ช่างร่มรื่นเสียจริง..ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย



เดินไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อย เราไม่เหนื่อย



ธรรมชาติที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก มีปลามากมายแหวกว่ายอยู่ในน้ำ







ขอบอกว่าของจริงสวยกว่าในรูปมากมาย





ดอกอะไรไม่รู้ แต่สวยดี





พวกเราเดินชมธรรมชาติอันงดงามประมาณ 8 กิโลเมตรก็เดินทางมาขึ้นเรือข้ามฟากต่อ

เรือข้ามทะเลสาบ JEZERO KOZJAK ซ่ึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็น ทะเลสาบที่เชื่อมระหว่างอุทยานตอนล่างขึ้นสู่ทะเลสาบชั้นบนของอุทยาน LOWER & UPPER LAKE

พวกเราขึ้นเรือข้ามฟาก โดยใช้ตั๋วใบเดียวกันกับที่ใช้เข้ามาในอุทยาน เรือจะออกทุกๆ 20 นาที



ทะเลสาบ KOZJAK เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร กว้าง 135 เมตร มีเกาะ รูปไข่อยู่ตรงกลาง มีชื่อว่า Stefanija Island ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงออสเตรีย เมื่อครั้งเสด็จประพาสอุทยานนี้ในปี ค.ศ 1888

นั่งชมวิวไปเรื่อยๆประมาณ 20 นาทีก็ถึงอีกฝั่ง





เก็บบรรยากาศที่งดงาม



ต้นสนที่นี่ใหญ่โตและสมบูรณ์มาก



พวกเรามารับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารนี้



เมนูนี้เป็นปลาเทร้า ว่ากันว่าปลาที่เรารับประทานกันเป็นปลาจากทะเลสาบที่เราเดินผ่านมา ..ขอบอกว่าสดมาก



หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพวกเราก็เดินทางกันต่อไป

วิวข้างทางก็สวยงามจนไม่ได้หลับเลย ต้องคอยถ่ายรูปตลอด





โปรแกรมต่อไปเราไปเที่ยวเมือง Zadar ระยะทาง 149 กิโลเมตร เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที

Zadar เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 5 ของประเทศ และเป็นเมืองท่าสําคัญริม ทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” ใน แคว้นดลัเมเชีย (Dalmatia) เป็นเมืองเก่าแก่มีอายุกว่า 3,000 ปี ตั้งอยู่บนแหลมแคบๆ กว้างเพียง 500 เมตร ยาว 4 กิโลเมตร แยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่โดยมีช่องแคบ Zadarshi กั้นไว้ทางทิศตะวันตก



ถนนหนทางดูสวยดี



วันนี้แดดแรงมาก อากาศก็ร้อนด้วยอุณหภูมิประมาณ 38 องศาเซ็นเซียส อุตสาห์หนีอากาศร้อนจากเมืองไทยที่ไหนได้พอๆกันเลย ดีนะที่เราเตรียมร่มและหมวกมาไม่งั้นคงเที่ยวไม่สนุกแน่

พวกเราเดินเลียบชายทะเลเพื่อเดินไปยังเขตเมืองเก่า ซึ่งอยู่ทางทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของแหลม



เมื่อประมาณ 900 ปีก่อคริสตกาล ชาวกรีก Lllyrian ได้อาศัยอยู่ที่เมืองซาดาร์มาก่อน ต่อมาตอนปลายศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล โรมันก็เข้ามาปกครองเมือง มีการสร้างถนนและสร้างเมืองตามรูปแบบของโรมัน มีการตัดถนนสร้าง Forun และ Roman Bath เป็นเมืองท่าที่สำคัญ การค้าไม้ซุง และไวน์ เป็นสินค้าส่งออก

ต่อมาเมื่ออาณาจักรโรมันแยกเป็นสองอาณาจักร ซาดาร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเมืองหลวงของแคว้นไบแซนไทน์ดัลมาเย (The Capital of Byzantine Dalmatia) และเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญของอาณาจักรไบแซนไทน์

เป็นสถาปัตยกรรม ไบเซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้น สร้างในศตวรรษที่ 9 และเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง



ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ St. Donatus' Church ด้านหน้าของโบสถ์มีซากเมืองเก่าโรมัน ( Roman Forum) ด้านหลังมีหอระฆังที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และ 19



โรมัน ฟอรัมที่ซาดาร์นี้ถูกค้นพบในปี 1930 แล้วอาณาบริเวณทั้งหมดได้ถูกขุดสำรวจเสร็จสิ้นในปี 1960

ซากเมืองเก่าโรมัน ( Roman Forum) อยู่ด้านหน้าของโบสถ์



เสาประจานลงโทษผู้กระทำความผิด ผู้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดจะถูกล่ามโซ่จองจำกับเสาต้นนี้

เสามีความสูง 15 ม. บนยอดเสาเป็นรูปปั้น Lion of St. Mark (สัญลักษณ์เวนิส) ที่ต่อยอดขึ้นมาในสมัยเวนิสปกครอง และได้รับความเสียหายเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง

Pillar of Shame



ซากกำแพงเมืองยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่



ก้อนหินที่เรียงราย ก็เคยเป็นซากเมืองเก่าโรมัน ( Roman Forum)มาก่อน



และก็เป็นที่เล่นให้เด็กๆได้ปีนป่ายด้วย



เดินมาอีกนิดก็เจอกับโบสถ์ St.Anastasia's Cathedral

เดิมเป็นวิหารโรมันคริสเตียน Christian basilica ในศตวรรษที่ 4 และ 5 และต่อเติมเสริมสร้างเป็นสไตล์โรมาเนสค์ในศตวรรษที่ 12 และ 13 ช่วงที่ซาดาร์ถูกพวกครูเสดโจมตีในปี 1202 วิหารได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องใช้เวลาในการบูรณะตลอดศตวรรษที่ 13



เราเดินชมบรรยากาศรอบๆเมืองเก่าต่อ มีตอกซอยเล็กๆดูน่าสนใจให้เดินเล่น



เราเดินเล่นพอสมควรแล้วก็เดินออกมาริมทะเลอีกครั้ง

เมื่อเราเดินมาก็สะดุดกับวงกลมใหญ่สีฟ้่านี้
Greeting to Sun เป็นแผงโซล่าเซลล์ทำจากกระจกหนาซ้อนกันหลายชั้นจำนวน 300 แผ่นเรียงตัวเป็นพื้นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 22 เมตร ออกแบบโดยสถาปนิกชาวโครเอเชียชื่อ Nikola Basic

Greeting to Sun ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้แสงสีในยามค่ำคืน พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า มันก็จะมีแสงสีที่สวยงาม



เดินถัดมาเราจะเห็น Sea Organ งานสถาปัตยกรรมติดทะเลของ Nikola Basic คนเดียวกัน

โดยการสร้างเป็นขั้นบันได เจาะช่องไว้ แกะสลักในหินขาว บริเวณท่าเทียบเรือ ภายในมีท่อที่ถูกตั้งเสียงไว้จำนวน 35 ท่อ มีความยาว 75 เมตร

เมื่อคลื่นทะเลดันอากาศผ่านเข้าไปกระทบเข้าออกกับ Sea Organ จะทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ โดยเสียงที่เกิดนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดและความเร็วของคลื่นลม...ให้อารมณ์ของเสียงที่แตกต่างกัน



ไม่รู้ว่านกตัวนี้มาฟังเสียงคลื่นของ Sea Organ ด้วยหรือเปล่า



ท่าจอดเรือเฟอรี่



ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินทางไปยังโรงแรมที่เมืองโวดิเซ่ ( Vodice ) ระยะทาง 62 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

เราพักที่ Punta hotel เขาบอกว่าเป็นโรงแรม 4 ดาวแต่หน้าตาตึกดูเหมือนโรงพยาบาลบ้านเราอย่างไรก็ไม่รู้



มื้อเย็นทานอาหารบุฟเฟ่ที่โรงแรม

อาหารที่โครเอเชียจะคล้ายคลึงกับอาหารอิตาลี่ คงเพราะอยู่แถบเมดิเตอร์เรเนียนก็เป็นได้ แต่ที่ประเทศนี้ดีหน่อย เกือบทุกร้านอาหารและภัตตาคารจะมีซอสมะเขือเทศให้ แต่ที่ประเทศอิตาลี่หายากมากต้องเสียเงินซื้อ



พวกเรารีบ check in จากนั้นก็ไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ

เมืองโวดิเซ่ ( Vodice ) เป็นเมืองริมชายฝั่งทะเลเอเดรียติก " Adriatic Sea " ทางตอนกลางของแคว้นดัลเมเชีย

เป็นเมืองที่น่ารักอีกเมืองหนึ่ง น่าเดินเล่นมาก



คนที่นี่อัทยาศัยดีมาก พอเราเดินผ่าน พวกเขายิ้มและส่งเสียงทักทายเราเป็นอย่างดี



พวกเราเดินถ่ายรูปไปอย่างเพลิดเพลิน กว่าจะแวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านก็เกือบปิดพอดี เมืองนี้ร้านปิด 21.00 น




วันนี้เป็นวันที่เดินมากแต่เราไม่รู้สึกเหนื่อยเลย..และในที่สุดก็เผลอหลับโดยไม่รู้ตัว


อุทยานแห่งชาติครึกคา

 


 


Create Date : 18 พฤษภาคม 2558
Last Update : 4 กันยายน 2562 1:03:12 น. 0 comments
Counter : 3304 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

goffymew
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Flag Counter Welcome to Goffymew Blog
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 พฤษภาคม 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add goffymew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.