YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
8.. เหตุเกิด ณ วันออดิชั่น

ก่อนวันขึ้นเขียงออดิชั่นหนึ่งวัน เปิดดูเมล์ที่ทางคณะส่งมาอีกครั้ง ข้อความที่เราอ่านซ้ำอีกครั้ง ..การออดิชั่นเริ่มตั้งแต่ 10.00 น. ไปจนถึง 18.00 น. แต่ผู้เข้าร่วมอาจถูกคัดออกระหว่างวัน.. เราจะถูกคัดออกตอนไหนนะ แต่เอาเถอะ จะถูกคัดออกตอนไหนก็ไม่สำคัญหรอก เพราะแค่นี้มันก็ไกลเกินกว่าที่เราฝันไว้แล้ว ใครจะเชื่อว่าเราจะได้รับ invitation จากคณะอย่าง Emico Greco | PC Company ที่มีชื่อเสียงไม่น้อย มีงานเป็นที่รู้จัก และนักเต้นที่เป็นและเคยเป็นสมาชิกก็ฝีมือไม่เบาเลย แค่นี้ก็อวดตัวเองเมื่อสองสามปีก่อนได้แล้วล่ะ ตอนนั้นเราคงไม่คิดว่าเราจะได้โอกาสนี้ และเราในวันนั้นก็คงจะไม่กล้าเดินหน้าเข้าหามันอย่างในวันนี้แน่นอน


การย้ายห้องไป single room ทำให้จิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น ความตื่นเต้นถ้าบอกว่าไม่มีก็คงโกหกแล้วล่ะ จัดของใส่กระเป๋าช้าๆ ตั้งแต่ตอนกลางคืน ควรเอาอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ เกิดมาเคยออดิชั่นที่ไหน สุดท้ายแลยแบกเสื้อผ้าหน้าผมไปครบทุกสไตล แถมด้วยถั่วแบกไปเติมพลัง แอปเปิ้ลกับส้มอย่างละสองลูก และแครกเกอร์สองห่อ .. กลัวหิว


ตื่นมาตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอีกเช่นเคย ลงไปกินอาหารเช้าอย่างเอื่อยเฉื่อยเพื่อดับความตื่นเต้นที่มันร้อนฉ่าอยู่ข้างใน หิมะข้างนอกแทบจะไม่ช่วยทำให้มันเย็นลงได้เลย เลยพยายามทำตัวนิ่งๆ ในใจนึกภาวนา (เริ่มเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ก็ขอให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ นำมาซึ่งความรู้สึกดีๆ พลังผลักดัน และแรงบันดาลใจ ให้เกิดกับชีวิตเราด้วยเถอะ จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ ขอแค่ให้มันเป็นผลที่เหมาะสมกับชีวิตเราที่สุดก็แล้วกัน ขอให้วันนี้เราเต้นอย่างมีความสุข ไม่กลัว ไม่ลน ไม่ตื่นเต้น แล้วในขณะที่พยายามบอกตัวเองให้ไม่คาดหวังนั้น ใจมันก็นึกวาดภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ยังจำได้ถึงเรื่องที่ครูเรโกะ ครูสอนเต้นชาวญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังเมื่อสมัยเขาไปออดิชั่นที่ฝรั่งเศส ว่าแค่ยื่นมือไปแตะบาร์ ยังไม่ทันจะได้เริ่มเต้นเลย เขาก็มาสะกิดให้ออกไป บอก thank you หนึ่งคำ แล้วเซย์บ๊ายบาย มันจะเกิดขึ้นกับเราในวันนี้ไหมนะ .. there will be cuts during the day .. เราจะถูกตัดออกตอนไหนนะ มันคิดๆๆ แต่มันไม่ใช่ความกังวล มันเป็นแค่ความคิดเฉยๆ



ฟ้าเช้านี้สวยจัง



รถ Metro มาแล้ว

ใน Metro


อีเมล์บอกมาอีกว่า การออดิชั่นนั้นจะเริ่มจากการทำ class (เดาว่าเป็นบัลเล่ต์นะ เขาไม่ได้บอกมา) เสร็จแล้วก็ต่อด้วย repertoire คือ ท่าที่เขาจะใช้แสดงนั่นแหละ อันนี้แหละที่อยากทำ แล้วหลังจากนั้นถึงจะเป็นท่า solo ที่เราเตรียมมา ก็แค่หวังว่าเราจะได้อยู่จนจบช่วง repertoire ถือว่าได้เข้า master class กับเขาก็ยังดี ไม่สิ ... ก็นับว่าดีเกินพอต่างหาก


จริงๆ แล้ววันนี้เรารู้สึกดีตั้งแต่เช้าเลยนะ ได้แต่บอกตัวเองว่าให้รักษาความรู้สึกดีๆ นี้เอาไว้ให้ได้ตลอดวัน ตามอีเมล์บอกว่าประตูจะเปิดเวลา 9.15 น. เพื่อให้เราเข้าไปเตรียมตัวได้ และคลาสจะเริ่มตอน 10 โมงตรง เราตื่นเร็วเลยออกเร็ว ไม่ถึงแปดโมงครึ่งก็ออกแล้ว ทั้งๆ ที่โอ้เอ้ในห้องอาหารนานมากๆ แล้วนะ เลยไปโอ้เอ้ต่อข้างนอก แวะซื้อ energy drink ไปกินตอนออดิชั่นเผื่อจะเท่ แล้วก็แวะซื้อพลาสเตอร์ยามาปิดแผลจากอีกร้านหนึ่ง เปล่าๆๆ ไม่ใช่บูตส์ บูตส์ยังไม่กัด เล็บเรานี่แหละกัดตัวเอง มีที่ไหน ไม่รู้จักตัดเล็บเท้า ปล่อยให้เล็บนิ้วโป้งยาวมาทิ่มนิ้วชี้ หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ



Artist Entrance


ไปถึง Artist Entrance ตั้งแต่ยังไม่ 9 โมง เลยต้องโอ้เอ้อยู่ข้างนอกต่ออีก จนได้เวลา 9 โมง 15 นาทีเป๊ะ เราก็ผลักประตูเข้าไป พนักงานผู้ชายตัวอ้วนที่เฝ้าประตูถามว่าเรามาทำอะไร เลยบอกไปว่ามาออดิชั่น เขาเลยเปิดประตูให้เราเข้าไปข้างใน เจอกับ Charlotte คนที่ส่งเมล์โต้ตอบกับเราตลอดมา เธอถามชื่อเรา .. ดูง่ายๆ นะ แต่เราเองก็มึนๆ เพราะไม่แน่ใจว่าใช้ชื่ออะไรส่งมากันแน่ อะแฮ่ม..แบบว่าคนมันมีชื่อไว้ใช้ในวงการน่ะ Charlotte ดูงงๆ กับความงงๆ ของเรานิดๆ แต่สุดท้ายเธอก็หาชื่อเราเจอจนได้


เธอบอกทาง (อันวกวนและสับสน) ไปสู่ห้องแต่งตัว และสตูดิโอที่เราจะทำการออดิชั่นกัน แล้วกำชับว่า อย่าเดินมั่วไปที่อื่น อย่าใส่รองเท้าเดินถนนเข้าไปในสตูดิโอ และห้ามเอาของกินและเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปในสตูดิโอ ขอให้ทำตามกฎโดยเคร่งครัด เพราะเราแค่มาขอใช้สถานที่เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วเธอก็บอกเรามาแล้วล่ะทางอีเมล์ แต่คงย้ำอีกที


ที่สตูดิโอของ Het Muziektheater นี้ แน่นอนว่าคณะนักเต้นที่เป็นเจ้าของสถานที่อย่างแท้จริงก็คือ Het Nationale Ballet คณะบัลเล่ต์ที่เลอเลิศในยุคนี้ ตอนนั้นคิดในใจอย่างเดียวว่า แค่ได้มาเต้นในนี้ ที่เดียวกับที่คณะนี้เต้นอยู่ทุกวัน แค่นี้ก็คุ้มค่าตั๋วเครื่องบินแล้วล่ะ



เต้นที่เดียวกับพวกเขาเหล่านี้



ห้องเต้นสีขาว ได้เต้นที่นี่ก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว


เราเดินไปถึงห้องแต่งตัว ก็พบว่า เรามาถึงเป็นคนเกือบสุดท้าย! คนอื่นเขามาถึงกันตั้งนานแล้ว ’ไรว้า อุตส่าห์เดินวนอยู่ข้างนอกตั้งนาน การมาถึงเป็นคนท้ายๆ นี่มันไม่สนุกเลย แต่เอาน่ะ ไม่เป็นไร เราไม่ได้สายซักหน่อย ก็แต่งตัว แอ่.. ใส่อะไรดีล่ะ เกิดมาไม่เคยออดิชั่นจัดเต็มขนาดนี้ มองซ้ายขวากะลอกข้อสอบซะหน่อย แต่ละคนดูคล่องเชียว ลากกระเป๋าเดินทางมาเลย ตัวเรานี่สิ พยายามจะยัดทุกย่างลงไปในเป้ แล้วตกลงนี่จะใส่อะไรดี ก็กางเกงกับถุงเท้าตามสไตล์คอนเทมละกัน ไม่ต้องถุงน่องบัลเล่ต์หรอกมั้ง ถึงเขาจะบอกว่ามันเป็นคลาสบัลเล่ต์ แต่นี่มันคอนเทมโพรารีแดนซ์คอมพานีนี่นา


เขียนว่า บันได้นี้ไม่ได้ทางหนีไฟ



มันคือเขาวงกต



ถึงแล้ว ห้องแต่งตัว


เท่าที่เห็น ทุกคนที่นี่จะมีรองเท้าหนาๆ คล้ายๆ รองเท้าผ้าใบ แต่เป็นแบบสำหรับใส่ในบ้านและบุวัสดุกันหนาวอย่างดีไว้ด้วย นักเต้นบ้านเราบางคนก็มีใช้เก๋ๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาต้องไปแสดงในโรงละคร หรือในศูนย์วัฒนธรรมที่แอร์เย็นเจี๊ยบ เท่าที่สัมผัสมา ที่ที่แอร์เย็นที่สุดก็เห็นจะเป็นอักษราเธียร์เตอร์ที่คิงพาวเวอร์เนี่ยแหละ หนาวสุดใจ แต่กระนั้นเราเองก็ไม่เคยคิดจะถอยรองเท้าแบบนี้มาใส่เลยสักครั้ง เพราะต้องอิมพอร์ทเข้ามาแสนแพง ดูแล้วออกจะเกินความจำเป็น พอมาตอนนี้เลยมีแค่ถุงเท้าหนาๆ มาใส่แค่นั้นเอง ดูแล้วแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านเขาจริงๆ


ข้าวของจะเก็บไว้ที่ไหนดีล่ะเนี่ย โดยเฉพาะเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวเบ้อเริ่ม ตู้ลอคเกอร์ที่เรียงรายเขาไม่ได้มีไว้ให้ใช้ เพราะมีเจ้าของอยู่แล้ว แต่เราโชคดีตรงที่ลอคเกอร์ตู้ที่อยู่ตรงหน้าเราเผอิญประตูมันไม่ได้ล็อคและมันแง้มอยู่ พอเปิดออกมาดูกลับเป็นตู้เปล่าๆ เลยสวมวิญญาณนักเต้นของ Het Nationale Ballet อันเป็นความฝันที่เราไม่มีทางไปถึง ยึดลอคเกอร์มาใช้เนียนๆ ของเก็บไว้เป็นบรรยากาศก็ยังดี



ล็อคเกอร์


เนื่องจากมาถึงเป็นคนท้ายๆ พอเข้าไปในสตูดิโอก็ไม่แปลกใจนักที่พื้นที่ที่บาร์ถูกจับจองไว้เกือบหมดแล้ว แต่ตรงมุมห้องมีที่ว่างพอแทรกตัวเข้าไปได้พอดี ตามความเคยชินที่ชอบเต้นอยู่ในมุมๆ หลบๆ แบบอยู่ในโลกส่วนตั๊วส่วนตัว เราก็ตรงดิ่งไปยังตำแหน่งนั้นพอดี แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่ได้นี่หว่า มาออดิชั่นนะ (เว้ย) ต้องพยายามทำตัวให้เขาเห็นเราสิ .. ย้ายที่ด่วนค่ะ


ตื่นเต้นวุ้ย


ตกลงหรือเราหวังว่าจะได้เหรอเนี่ย .. สับสนกับตัวเองมาก ยังคงบอกตัวเองอยู่ว่าอย่าหวังๆ มาเก็บประสบการณ์เฉยๆ แต่การบอกตัวเองให้ไม่คาดหวังนั้น ใครจะเชื่อว่าเอาเข้าจริงแล้ว มันยากเหลือเกิน


ฮือ.. นี่เราจะหลุดออกไปเป็นคนแรกเลยรึเปล่านะ


และแล้วในที่สุด director และทีมงานคัดเลือกก็เดินเข้ามา พูดออกมาเป็นประโยคแรกว่า “Sorry to make it this formal” (ขอโทษที่ต้องทำให้มันเป็นทางการขนาดนี้) มันช่างเป็นประโยคที่ดีลดความตึงเครียดได้อย่างดี เสียงหัวเราะดังขึ้นในหมู่นักเต้น แล้วการออดิชั่นก็เริ่มขึ้น


ชีวิตของคนที่คิดจะทำงานด้านการแสดงมันมีการเติบโตจากข้างในตลอดเวลานะ เราจะเข้าใจมันเมื่อเรารู้สึกถึงการเติบโตนั้นด้วยตัวเอง สำหรับเรา เราวัดมันจากความ “สั่น” จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่การออดิชั่นจะเริ่มขึ้น เราตื่นเต้นมาก และไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ ยิ่งเห็นคนอื่นๆ วอร์มร่างกายกันเอาเป็นเอาตายเราก็ยิ่งกลัวและฝ่อ เขาจะชอบเราไหมนะ เราจะสู้คนอื่นได้ไหมนะ เป้าหมายอยู่ที่ความพอใจของคนอื่น อยู่นอกตัวเราตลอดเวลา


แต่ในเวลานี้ ที่การออดิชั่นเริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ เสียงเพลงบัลเล่ต์คลาสที่เราคุ้นเคยดึงเรากลับมาที่ความรู้สึกของ “บ้าน” ความกลัว ความสั่น จนคอแห้ง จนลืมท่า แบบที่เคยเกิดขึ้นในห้องสอบบัลเล่ต์เมื่อสมัยยังเป็นนักเรียนเต้นอยู่นั้น ตอนนี้มันไม่มีแล้ว แค่เริ่มเต้นเท่านั้น เราก็รู้สึกว่าเราปลอดภัยอยู่ในการเต้นของเรา เป้าหมายมันกลับเข้าสู่ข้างใน เรามีความสุข เราเต้นเพราะมันทำให้เรามีความสุข ยิ่งได้มาเต้นในบ้านของ Het Nationale Ballet เชียวนะ เราก็สุขเกินจะพอแล้ว นี่สินะคือสิ่งที่ควรจะรู้สึก เราควรจะทำในสิ่งที่เรารักอย่างมีความสุข


Dance to express not to impress. (เต้นเพื่อสื่อสิ่งที่เรามี ไม่ใช่เต้นเพื่อให้ใครประทับใจ) ที่ได้ยินมานาน เพิ่งจะเข้าใจวันนี้เอง


จบจากบาร์ ยังไม่มีใครถูกตัดออก มาต่อกันที่กลางห้อง เราเลือกที่ยืนตรงกลางด้านหน้าให้เขาเห็นเราชัดๆ ตอนนี้เรามั่นใจมากขึ้นมาแล้ว เพราะเห็นแล้วว่ามาตรฐานการเรียนการสอนที่ Dance Centre และ Bangkok City Ballet ที่เราเรียนและทำงานจากเมืองไทยนั้น สร้างเทคนิคที่แข็งแรงให้เราพอประมาณ พอที่จะสู้คนอื่นๆ ที่เขาเรียนมาในโรงเรียน fulltime dance school ได้เหมือนกัน ตอนเต้นก็มีพลาดนิดพลาดหน่อย หมุนไม่ครบรอบบ้าง ยืนไม่ค่อยอยู่บ้าง บางทีก็เกือบจะล้ม เต้นผิดท่า จำท่าไม่ได้ก็มี ถ้าเป็นแต่ก่อนคงอารมณ์เสียตัวเอง แต่ตอนนี้ทำไมก็ไม่รู้สิ อาจจะโตพอที่จะคิดได้แล้วมั้ง มันมีความสุขจัง


เนื่องจากคนเยอะกว่าความจุของห้อง ทำให้แต่ละท่าต้องแบ่งกลุ่มเต้น พอกลุ่มเราเต้นเสร็จ เราก็เดินวนไปยืนรอด้านหลังห้อง ตอนนั้นเองที่หนึ่งในทีมกรรมการเดินเข้ามาชี้หน้าเราแล้วกระซิบ .. You, maybe! (อาจจะเป็นคุณ!) ก่อนจะเดินไปกระซิบคนญี่ปุ่นที่ยืนใกล้ๆ เราอีกคนที่ชื่อโทโมมิ โอ้โฮเฮะ.. ความสำเร็จอีกขึ้นหนึ่งใช่ไหม เราไม่ได้ถูกตัดออกเป็นคนแรกๆ แน่แล้ว เลยออกไปเต้นในท่าชุดต่อไปอย่างมั่นใจมากขึ้น มีความสุขขึ้น ชีวิตนักเต้นจะเอาอะไรมากล่ะ แค่ได้ทำในสิ่งที่รัก และมีคนชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราทำ มันคือความสุขน่ะ เข้าใจมั้ย ความสุข!!!


ราวๆ เกือบสองชั่วโมง คลาสบัลเล่ต์ในช่วงเช้าก็จบลง ถึงตอนนี้เขาก็แจ้งว่า จะมีการตัดออกเป็นครั้งแรกในช่วงนี้ ตอนนี้ไปนั่งพักก่อนสัก 15 นาทีระหว่างที่คณะกรรมการปรึกษากัน ตอนนั้นเราก็ลากกระเป๋า (เป้เนี่ยแหละ ไม่ได้มีล้องอกมาตั้งแต่ตอนไหน ถูลู่ถูกังไปกับพื้นเลย หนักเกินจะหยิบขึ้นมาให้พ้นพื้น) ออกมานั่งนิ่งๆ รู้สึกไม่ผิดปกติที่จะไม่คุยอะไรกับใคร ก็คนมันไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะคุย ควักถั่วออกจากกระเป๋ามาใส่ปากแก้ปากว่างแทน หูก็ฟังคนอื่นเขาคุยกันเก็บข้อมูล อ้อคนนั้นมาจากอเมริกา อีกคนตาโตบอกอยากไปอเมริกาบ้าง สาวยุโรปคนเล่าถึงความยากลำบากในการเดินทางมาที่นี่ ต้องขึ้นรถไฟหลายเที่ยวมาก อีกคนก็แสดงความชื่นชมถึงความทุ่มเทที่เธออุตส่าห์เดินทางมา หลายคนออดิชั่นมาแล้วหลายงาน บางคนก็รอเรียกตัวกลับ เลยมาออดิชั่นอีกที่กันเหนียว บางคนก็พลาดมาแล้วหลายครั้งยังไม่เคยได้แต่ก็ยังไม่เลิกพยายาม บางคนหมดสัญญากับคอมพานีแล้วและก็กำลังมองหาที่ใหม่ให้ความสามารถตัวเองแผ่ขยายออกไปจากสไตล์เดิมๆ (นี่ก็เหมือนกับเรานี่) ฟังแล้วก็คิด เออเนอะ สังคมการเต้นของฝรั่งนี่มันมีตัวตนอยู่จริงๆ มันก่อร่างสร้างฐานตัวเองจนมั่นคง มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมอยู่จริงๆ


ทักทาย พูดคุย สุดท้ายก็รู้จักกันเกือบหมด


“ขอเชิญนักเต้นด้านในเลยค่ะ” Charlotte เดินออกมาตาม ใจเต้นโครมครามมากๆ เลย ทั้งๆ ที่ออกจะแน่ใจว่าเราน่าจะผ่านรอบนี้ได้ แต่ก็อีกแล้ว ความรู้สึกเวลาหักห้ามตัวเองว่าห้ามหวังเนี่ย .. มันยากจัง


รอบนี้จะคัดออกจากทั้งหมดราว 30 คน ให้เหลือเพียง 12 คน เขาขานเรียกชื่อคนที่ผ่านเข้ารอบทีละชื่อๆ เราเองก็นับ ตั้งแต่ 1, 2, 3.. ไปเรื่อยๆ คนที่ 8, 9 ก็ยังไม่มีชื่อเรา ตอนนั้นเริ่มจะคิด (แบบเร็วมากๆ) ว่าเดี๋ยวจะไปไหนต่อดี ไปร้านหนังสือ ไปร้านกาแฟ บลาๆๆๆ แต่คิดยังไม่ทันจบก็ได้ชื่อเราก็มาเป็นลำดับที่ 11 คนรองสุดท้าย โอ้..รอด!


ได้เรียน Repertoire สมใจอยาก ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำได้ ท่าไม่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นเรื่องสไตล์ต้องยอมรับว่าเราใช้เวลามากกว่าเพื่อนในการทำให้ท่าสไตล์นั้นๆ มาอยู่ในตัว เพราะเราเสียเปรียบเขาตรงนี้ เพราะฝรั่งเขามีประสบการณ์ในการเรียนอะไรใหม่ๆ กับคนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการรับท่าใหม่ๆ เขาจึงเร็วมากๆ ของไทยเรา เวลามีงานเต้นที่ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ท่าเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมา รู้จักกันในชื่อว่า ท่าหากิน เราเลยต้องพยายามสุดตัว ยอมรับว่าเครียดทีเดียว รับท่าไปเสร็จ ต้องเต้นให้เขาดูทีละสามคน ทีมนึงก็สองสามรอบ ก็ดูจนกว่าเขาพอใจนั่นแหละ แล้วก็พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ประกาศผลหลังพัก


จาก 12 จะเหลือแค่ 8 ..แล้วใครจะไปกินลงเล่า..



กลิ้งช่วงพัก


ระหว่างกินข้าวก็ถามคนอื่นๆ มาจากไหน ทำอะไรกันมาบ้าง เรากลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ได้เข้าเรียนที่ไหนเป็นเรื่องเป็นราว แต่ละคนก็งงว่าเด็กเรียน Political Science มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เราเองยังงงตัวเองเลย เมื่อถูกเรียกตัวเข้าไปอีกครั้ง การไม่หวังกับความคาดหวังตีกันรุนแรงกว่าเดิม ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่าพอแล้วล่ะ แค่นี้พอใจแล้ว แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกอย่างดื้อดึงว่า .. ผ่านสิ, เราต้องผ่าน


... แล้วก็


ผ่าน!


สี่คนที่ถูกคัดออกกลับบ้านไปก่อน ตอนนี้เหลืออยู่แปด เอาจริงๆ นะ ตอนนั้นหมดแรงแล้วล่ะ ขาสั่นไปหมด เต้นมาตั้งแต่สิบโมงจนบ่ายสาม ได้พักอยู่ไม่ถึงชั่วโมง แต่ความตื่นเต้นชนะได้ทุกสิ่ง ถึงจุดนี้แล้ว เดินหน้าเต็มที่อย่างเดียว จะถอยกลับในวินาทีนี้ได้อย่างไร ความเหนื่อยเป็นแค่เรื่องร่ายกาย ใจสู้ซะอย่าง อะไรก็ฝ่าฟันไปได้ เหนื่อยหนักเข้า อย่างมากก็ล้มทั้งยืน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตนักเต้นของเรามาก่อนเลย มีแค่เกือบๆ ฮ่าๆ


ต่อ Repertoire อีก คราวนี้ยากเลยล่ะ เราพยายามจะทำให้ได้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถ และประสบการณ์จะเอื้ออำนวย เขาชอบแค่ไหนเราไม่รู้ แต่ถามว่าทำดีกว่านั้นได้ไหม มันก็ไม่ได้แล้วล่ะ สุดๆ แล้ว


และแล้วก็ผ่านไปด้วยดี เราเองก็พอจะเกาะกลุ่มไปกับอีกเจ็ดคนได้อยู่ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นครูสอนเต้นและการอยู่ในแวดวงนักเต้นอาชีพที่สิงคโปร์ทำให้เราพอจะประเมินพวกเราทั้งแปดคนนี้ได้ว่า .. ฝีมือและเทคนิคไม่ได้แย่กว่ากันเท่าไหร่เลย ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเขาจะชอบสไตล์การเต้นของใครแล้วล่ะ และก็จะมาตัดสินกันที่โซโล่ที่แต่ละคนเตรียมมาแสดงนั่นเอง



Het Nationale Ballet @ Het Muziektheater 


เราเองอาสาไปเป็นคนแรก เพราะตัวเปียกเหงื่อเสียขนาดนี้ นั่งนานเดี๋ยวจะหนาวเสียเปล่าๆ และถ้าเห็นคนอื่นเต้นแล้วก็อาจจะใจฝ่อไปอีกก็เป็นได้ ไดเร็คเตอร์ถามเราว่า เราจะโชว์รำไทยให้เขาดูรึเปล่า เราส่ายหัวบอกไม่ใช่ แต่ก็บอกเขาไปว่า ถ้าหากว่าอยากดูเดี๋ยวรำให้ดูก็ได้ เขาก็ไม่ปฏิเสธ ตอนนั้นเรานึกเสียใจที่พื้นฐานรำไทยในตัวมีน้อยนิดเสียเหลือเกิน ก็แค่รำวงมาตรฐานตามหลักสูตรประถมศึกษา กับฟ้อนเล็บเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยแสดงงานโรงเรียนมาบ้าง ก็น่าจะพอโชว์ฝรั่งได้บ้างไม่น่าเกลียดละมั้ง


โซโล่ที่เราจะเต้นนั้น มาจากโซโล่ที่เราใช้ออดิชั่นมาตั้งแต่สองปีก่อน แต่ดัดแปลงเรื่อยๆ ตามความสามารถและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น มันจึงเป็นชุดการแสดงที่เรามั่นใจมาก เราไม่ต้องคิดถึงท่าเต้นอีกต่อไป มันเข้าไปอยู่ตัวเราเรียบร้อยแล้ว และเมื่อกำจัดความกังวลของท่าเต้นออกไปได้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่เนื้อแท้ของอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ในนั้นเท่านั้น


เสร็จสิ้นก็เป็นคิวของรำไทย ไม่มีเพลงให้เรารำ ก็รำแบบไม่มีเพลงไปนั่นแหละ ที่แย่ที่สุดคือเขาอัดวิดีโอไว้ด้วย เราไม่มั่นใจในการรำไทยของเราเลย เพราะไม่ได้เรียนมาอย่างจริงๆ จังๆ หมายมั่นปั้นมือไว้ว่า กลับไปคราวนี้จะต้องเรียนให้ได้สักที ผลัดมาหลายหนแล้ว และขนาดเรารำไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้น แค่รำวงมาตรฐาน จีบบ้าง ตั้งวงบ้าง ฟ้อนเล็บบ้าง ฝรั่งยังทึ่ง บอกว่าสวยจังเลย เธอทำมือโค้งๆ แอ่นๆ อย่างนั้นได้ยังไง นั่นยิ่งทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าเราต้องหันกลับมามองที่ศิลปะไทยอย่างจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ


เราว่าคนไทยเราขาดตรงนี้ล่ะ คือการปลูกฝังความซาบซึ้งในศิลปะวัฒนธรรมประจำชาติ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เรารู้สึกว่ารำไทยเป็นเรื่องง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ แถมยังเก่า คร่ำครึ ไม่มีใครเขาอยากจะดูหรอก สู้เรียนบัลเล่ต์ก็ไม่ได้ ยากกว่า ท้าทายกว่า แล้วก็สวยกว่าตั้งเยอะ จนเราโตขึ้นมาหน่อยและได้รู้จักกับพี่เชษฐ์ (พิเชษฐ์ กลั่นชื่น) แล้วนั่นแหละ เขาไม่ได้สอนเราหรอกว่าเราควรจะมองศิลปะไทยอย่างไร แต่ความภูมิใจที่เขามีต่อโขนที่เขาร่ำเรียนมาทำให้เราต้องหันกลับมามองมันด้วยมุมมองแบบใหม่ และก็แปลกดี คนที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิกับวัฒนธรรมประจำชาติอย่างพี่เชษฐ์นั้น กลับเป็นคนที่โดนสังคมตั้งคำถาม และต้องต่อสู้อย่างหนักหนากว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงวัฒนธรรม


บางทีอาจจะเหมือนวรรณกรรมเรื่อง Alchemist (ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน) ของ Paulo Coelho ที่ตอนสุดท้าย ซานดิเอโกได้เดินทางดั้นด้นไปตามล่าสมบัติจนถึงพีระมิดเพื่อที่จะพบว่าแท้จริงแล้วสมบัติถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้ที่เขาเคยนอนอยู่ทุกวันนั่นเอง


เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปพีระมิด และอย่าเพิ่งกลับประเทศไทย เอาใจกลับมาอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ก่อน แต่ละคนก็มีสไตล์ไม่ซ้ำกันเลย คนญี่ปุ่นเต้นสวยมาก เพราะโซโล่ของเขาดูจะมีกลิ่นของญี่ปุ่นๆ อยู่บอกไม่ถูก อย่างที่บอกว่านี่แหละคือสิ่งที่มันขาดหายไปจากตัวเรา ของคนอื่นๆ อีกหลายคนก็น่าสนใจ นี่แหละนะ เขาถึงบอกว่าแค่ได้เข้าออดิชั่น เราก็ได้ประสบการณ์ ได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ มากมายแล้ว ไม่ต้องผ่านออดิชั่นก็ได้


แต่.. มาถึงจุดนี้แล้วใครเล่าจะไม่หวัง จากที่คิดว่าจะถูกตัดออกเป็นคนแรกๆ เรากลับได้อยู่จนจบหมดวันแบบนี้ ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่าพอแล้วเอ็ง หยุดคิดได้แล้ว เขาไม่เลือกเอ็งหรอก แค่นี้ก็ได้เกินที่ฝันมาเยอะแล้ว แต่โมเมนตัมของความหวังดูจะไม่มีอะไรสามารถฉุดมันได้อยู่จริงๆ รู้ทัน..ที่เราไม่อยากหวัง เพราะเรากลัวจะผิดหวัง แต่ในเมื่อมันหวังไปเสียแล้ว ก็เตรียมรับมือกับความผิดหวังก็แล้วกัน ในสายตาเขาเราจะทำได้ดีแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว


ผลการออดิชั่นยังไม่ประกาศ Charlotte แจ้งว่าจะติดต่อกลับมาภายในสัปดาห์หน้า เราพากันเดินออกจาก Het Muziektheater ยังไม่มีใครคอตก หลายคนคงชินกับการออดิชั่น มันก็แค่ได้หรือไม่ได้งานเท่านั้นเอง แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป การเต้นของเขาก็ยังดำเนินต่อไป แล้วเราจะไปคิดอะไรกับมันมากมายล่ะ ก็แค่ประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งที่ผ่านชีวิตเข้ามา เก็บเกี่ยวจากมัน แล้วก็เต้นมันต่อไป


Dance to express.

Dance for myself.

Mission Complete!


ก่อนแยกย้ายเราต่างแลก facebook อีเมล์ติดต่อกัน โลกการเต้นเล็กกว่าโลกทางภูมิศาสตร์มากมายนัก แต่ก่อนเคยคิดว่าโลกการเต้นในเมืองไทยมันแคบ ไปสิงคโปร์เลยรู้สึกว่าจริงๆ โลกการเต้นในเอเชียมันก็แคบเหมือนกัน จนถึงตอนนี้รู้แล้วว่า โลกการเต้นของทั้งโลกนั่นแหละ มันไม่กว้างใหญ่เลย

แวะเก็บรูปอีกเล็กน้อยก่อนกลับโรงแรม เมืองอัมสเตอร์ดัมในแสงสลัวของยามเย็นๆ ดูสวยงามบอกไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยกภูเขาออดิชั่นออกจากอกไปได้แล้ว นับแต่พรุ่งนี้ไปอีกเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เราจะได้ใช้เวลาเข้าคลาสและพัฒนาตัวเอง เก็บที่เที่ยวที่อยากจะไป รู้สึกชีวิตเป็นอิสระและมีความสุขจริงๆ .. ถ้าออดิชั่นได้ขึ้นมาจริงๆ ละก็ ..​ แค่คิดก็มีความสุขแล้ว (หยุดๆๆๆๆๆ หยุดคิด ห้ามคิด!)



ตึกตรงข้าม อย่างกับบ้านตุ๊กตา


เดินเล่น


โบสถ์ข้างๆ Het Muziektheater


โบสถ์ข้างๆ Het Muziektheater

ยิ้มสักหนึ่งหวาน


หิมะหน้าสถานี Sloterdijk

แวะ Albert Heijn ที่สถานีรถไฟ ได้ซีซาร์สลัดของโปรดมานั่งกินที่ห้อง กลับมาถึงเหนื่อยแบบมากมาย รื้อของในกระเป๋าออกมากอง แล้วเริ่มต้นกินสลัด ระหว่างกินก็รายงานตัวกับที่บ้านผ่านทาง what's app พ่อถามว่าเป็นไง เราเลยบอกไปว่าสนุกดี ประสบการณ์เต็มๆ แต่คงไม่ได้หรอก (พยายามมากๆ ที่จะคิดอย่างนี้ >_<) 

กินเสร็จถึงมีแรงซักเสื้อผ้า ตอนนี้เริ่มคิดงอแงไม่อยากจะย้ายกลับไป Dorm แล้ว เลยนั่งนับเงินกระเป๋า ขอคิดก่อน



อาหารเย็น

ซูมใกล้ๆ อร่อยเลยแหละ ราคาประมาณ 4 ยูโร แต่ถ้าใกล้หมดอายุก็ลดราคาลงมาอีก


กอง!


ประตูห้องน้ำที่ตากผ้า


โต๊ะนับตังค์



Create Date : 06 เมษายน 2556
Last Update : 6 เมษายน 2556 11:13:25 น. 3 comments
Counter : 1847 Pageviews.

 
เต้นเพื่อสื่อสิ่งที่เรามี ไม่ใช่เต้นเพื่อให้ใครประทับใจ

.
.


พี่ก๋าประทับใจประโยคนี้จังเลยครับ

อีก 10 ปีน้องเสี้ยวลองมานั่งอ่านบล็อกนี้ดูสิครับ
แล้วจะัรู้ว่าทุกประโยคในบล็อกนี้
มันเต็มไปด้วยความฝัน ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ
และความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

เรื่องรำไทยพี่ก๋าอาจจะมองต่างมุมนะครับ
ส่วนที่ต้องรักษารูปแบบดั้งเดิมก็ทำไป
แต่ "ความเป็นไทย" ที่แท้จริง
คงไม่จำเป็นต้องแสดงผ่านโขนและการรำแบบอนุรักษ์เพียงเท่านั้น

มันอยู่ในความรู้สึกของเรา
ถ้าไม่ไทย ก็ไประดับโลกเลยนะครับพี่ก๋าว่า

เหมือนกับเวลาเราดูภาพวาด
แล้วก็รู้สึกเลยว่านี่ไม่ใช่ ไทย ตะวันตก หรือตะวันออก
แต่มันคือศิลปะน่ะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:19:38:06 น.  

 
จริงๆจะแวะเข้ามาบอกว่า จขบ. เท่มาก

..
..

มีฝันและไล่ตามความฝัน
มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

..
..

บอกตรงๆว่าิอิจฉาค่ะ


โดย: หมาป่าเสรี วันที่: 15 เมษายน 2556 เวลา:18:36:27 น.  

 
อ่านแล้วลุ้นค่ะ ตอนออดิชั่นเนี่ย สู้ๆๆๆๆนะคะ


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:0:12:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
6 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.