YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
2.. หนึ่งวันก่อนเดินทาง ยังคุยกับตัวเองไม่จบ

ถามตัวเอง, พร้อมแค่ไหน..?

พร้อมแล้วหรือยังที่จะออกเดินทาง ที่ไม่ได้หมายความเพียงแค่การย้ายร่างตัวเองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเท่านั้น แต่มันคือการอนุญาตให้ความรู้สึกเดินทางไปยังพื้นที่ของอารมณ์ที่มันไม่เคยไปหรือกลัวที่จะไป โดยการปล่อยความคาดหวังทั้งหมดให้ลอยตัว พร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอด


## ความลังเล ##
จวนเจียนจะเดินทางเข้าไปทุกที เวลาแบบนี้ คือช่วงเวลาที่อารมณ์ด้านอ่อนและอารมณ์ด้านแข็งที่เรามีอยู่ตีกันรุนแรงที่สุด ความโหยหาอาวรณ์ในความอบอุ่นปลอดภัย และความตื่นใจที่จะได้เจอกับสิ่งใหม่ ความก้าวหน้า สนุกสนาน กำลังถกเถียงกันรุนแรงอยู่ภายใน

ได้ยินเสียงใจตัวเองบอก ..ฉันอยากหยุด อยากอยู่กับที่ อยากตกแต่งบ้าน อยากอยู่กับครอบครัว อยากนอนคุยกับแมว.. แต่มันมีแรงบางอย่างที่คอยผลักให้เราต้องออกเดินทาง ให้ก้าวขาออกจากฐานที่มั่นที่แสนสบาย

แรงอะไรกันนะ?

อยากหลับตาแล้วถึงเบอร์ลินเลยตอนนี้เลย เพราะเวลาอย่างนี้แหละที่เราจะเริ่มฝ่อ เริ่มกลัวสิ่งใหม่ๆ แอบคิดถึงสิงคโปร์ขึ้นมานิดๆ หนึ่งปีที่ผ่านมาที่ได้ไปอยู่ที่นั่น อาจขลุกขลักไม่สบายตัวไม่สบายใจ แต่สัญชาตญาณการปรับตัวและการเอาตัวรอดของมนุษย์เอาชนะความขัดข้องเหล่านั้นได้ในที่สุด ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนกับสิงคโปร์เป็นบ้านเราไปแล้ว ที่ทางที่คุ้นเคย ถนนหนทางที่รู้จัก และ Employment pass ที่ยังไม่หมดอายุที่มีอยู่ในมือทำให้รู้สึกผูกพันอย่างช่วยไม่ได้ บางทีเราควรจะต้องกลับไป เพราะสุดท้ายแล้วเราอาจจะไม่ได้อะไรกลับมาจากทริปนี้เลยก็ได้ หาเรื่องไปทำไมนะ เหนื่อยจัง

คำว่าบ้านทำให้สมอของเรือหนัก แม้จะตั้งใจไว้ตั้งแต่วันที่ถอนสมอกลับมาจากสิงคโปร์แล้วว่าจะไม่ยอมให้สมอจมปลัก แต่น้ำหนักของความอุ่นสบายที่รั้งมันไว้ก็ทำให้การออกเดินทางอีกครั้งมันออกจะยาก

มันเลย ทั้งอยากอยู่ ทั้งอยากไป

ถ้าเพียงแค่ไม่ได้เกิดมาเป็นนักเต้นเราคงจะมีชีวิตเป็นปกติ เราอาจจะหยุดแล้ว หรือไม่ก็กลับไปทำงานที่สิงคโปร์ต่ออีกสักปี แล้วเริ่มเรียนปริญญาโทเหมือนอย่างที่เพื่อนร่วมรุ่นเขาเรียนกันจนจบไปเกือบหมดแล้ว อาจจะหาเวลากลับไปอินเดียจัดปรับความรู้ทางโยคะอีกสักเดือน กลับมาทำงานที่โรงเรียนอนุบาลต่อ ดูแลสวนแก้วมังกร หาแฟนสักคน ถึงเวลาก็แต่งงาน สร้างครอบครัว

แต่ก็เพราะทางชีวิตมันไม่ปกติเสียแล้ว ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเดินไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาที่ห้องพักครูชั้น 10 ตึกคณะอักษรฯ จุฬาฯ ว่ายังไม่พร้อมจะเรียนโทตอนนี้ ..หนูยังอยากเต้นในวันที่ยังเต้นไหวค่ะอาจารย์ อยากไปให้สุดก่อน แล้วค่อยกลับมาเรียน.. ตัวเราในวัย 24 บอกอาจารย์ไปแบบนั้น หลังจากที่โดดเรียนวิชาตรรกศาสตร์ และวิชาสัมมนา เพื่อไปเข้า company ballet class ที่บางกอกซิตี้บัลเล่ต์จนเวลาเรียนแทบจะไม่ครบ

อาจารย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ (แน่ล่ะ อาจารย์ภาควิชาปรัชญาย่อมเข้าใจว่านิสิตที่เลือกเรียนต่อปริญญาโททางด้านปรัชญาย่อมจะมีความคิดอะไรที่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้ว โชคดีที่อาจารย์ไม่ใช่คนทั่วไป) เซ็นต์ใบอนุมัติให้ลาออกให้ แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า

“โชคดีในชีวิตนะจ๊ะ ขอให้พบกับสิ่งที่ชีวิตต้องการ อายุและเวลาผ่านแล้วผ่านเลย อยากทำอะไร ไปทำเสียก่อน การเรียนที่นี่ กลับมาเมื่อไหร่ก็ได้เรียน”

อาจารย์ยิ้มหวานให้หนึ่งที เรายกมือไหว้อาจารย์หนึ่งครั้ง แล้วทางเดินชีวิตก็เปลี่ยนไปอีกหนึ่งทาง และเมื่อเลือกทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้มันสุดทาง ซึ่งถึงตอนนี้มันก็มาไกลเกินจะถอยกลับแล้วล่ะ และก็เชื่อว่า มันใกล้จุดที่อยากจะไปให้ถึงแล้วเหมือนกัน จุดที่ไกลพอที่จะทำให้เรามั่นใจในตัวเอง และเพียงพอที่จะทำให้เรากล้าบอกกับใครๆ ว่า ..ฉันได้ไปถึงมันมาแล้ว..


## สิ่งซึ่งหวัง ##
ความรู้, ทักษะใหม่ๆ, แรงบันดาลใจ, โลกทัศน์ที่เปิดออก, ความชัดเจนในชีวิต, ความมั่นใจในตัวเอง, ประสบการณ์ทั้งจาก class, workshop, และ audition คือสิ่งที่เราตั้งใจจะเก็บมันมาใส่ตัว เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ส่งมันต่อให้คนอื่นๆ ต่อไป อย่างน้อยๆ ในวันที่เราจะไปเป็นครูในชีวิตใคร ตัวเราเองนี่แหละ ควรจะเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกศิษย์ของเราเองได้ อยากให้เขามองครูของเขาว่า ..ครูทำได้ ตัวเขาก็ต้องทำได้เช่นกัน และต้องทำให้ดีกว่าด้วย ครูไปถึงได้ ตัวเขาก็ย่อมไปได้เช่นกัน และต้องไปให้ไกลกว่าด้วย

ส่วนหลังจากทริปนี้ เราจะกลับไปสิงคโปร์ หรืออยู่ที่ประเทศไทย หรืออาจจะโชคดีได้งานทำที่นั่น ก็สุดรู้ แต่บางทีตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาคิดถึงแผนการในอนาคต เนินเขาเตี้ยๆ ที่เรากำลังจะก้าวข้ามมันไปในเดือนสองเดือนนี้ คงจะพาเราไปยังจุดที่จะสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น เสียเวลาเปล่ากับการคาดเดาถึงอนาคตที่มองอะไรยังไม่เห็นในตอนนี้ ในวันเวลาที่เนินเขาลูกนี้ยังบังหน้า เราเก็บเกี่ยวความสุขกับปัจจุบันน่าจะดีกว่า


## ทำตัวเป็นยาจกเข้าไว้ ##
ยอมรับว่าตื่นเต้นนะ ถึงขนาดต้องถอยรองเท้าบูตส์คู่ใหม่เอี่ยมออกมาใส่ก่อนวันนี้ เพราะว่ากลัวว่ามันจะใหม่ไปแล้วจะเดินลำบาก เสื้อผ้าที่เตรียมไปก็ไม่รู้ว่าจะพอรึเปล่ากับอากาศหนาวติดลบ ก็ซื้อเสื้อหนาวเมืองไทยไว้ใจได้ที่ไหน คนขายก็ยืนยันว่ากันอยู่ๆ แต่คนซื้อจะไปพิสูจน์ได้อย่างไร เพราะอยู่เมืองไทยจะใส่อะไรมันก็อุ่นทั้งนั้นแหละ จนกว่าจะไปถึงที่นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าคนขายหลอกเรารึเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าทุนไม่หนาพอจะซื้อของยี่ห้อแพงๆ อย่าง Camel หรือ Northface ก็ต้องยอมเสี่ยงดวงกันหน่อยล่ะ

ตอนเลือกเสื้อกันหนาว คนขายก็หยิบออกมาให้ดู 2 แบบ แบบแรกเป็นแบบผู้ดีฝรั่งเศสเชียว ยาวถึงเข่า สวย เหมือนพวกเซเลบเมืองนอกเขาใส่กัน รับมาลองใส่ดู มองกระจกแล้วตาลอยฝันกลางวันเห็นตัวเองเดินสวยๆ ควงหนุ่มฝรั่งเศสหล่อๆ อยู่ที่กรุงปารีส โอ้วววว..พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก.. 

"แล้วเธอจะหิ้วกระเป๋าขึ้นลงกระไดไหวเหรอ" เสียงแม่ถาม ภาพในหัวหายแว้บ กลายเป็นภาพกะเหรี่ยงหน้าตาเหยเกยักแย่ยักยันฉุดกระเป๋าขึ้นรถไฟ ขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ เพราะเสื้อสวยรัดขาเหมือนใส่ผ้าถุง

"อ้าว นี่จะไปแบ็คแพ็กเหรอ" คนขายถาม ..ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง ไม่รู้จะต้องลุยประมาณไหน น่าจะเรียกตัวเองว่าแบ็คแพ็กเกอร์ได้ละมั้ง 

"งั้นอย่าๆๆ" พี่คนขายพูดต่อ "มันดูเป็นผู้ดีไป เดี๋ยวคนอื่นคิดว่าเรามีตังค์"

เราเห็นด้วย ประเดี๋ยวจะล่อตาพวกขโมยเสียเปล่าๆ อีกอย่าง ความยาวที่คลุมถึงครึ่งเข่าอาจทำให้อุ่นจริง แต่ก็เห็นด้วยกับแม่ว่าท่าทางมันจะทำให้ชีวิตลำบากพิกล ณ จุดนี้ต้องยอมให้ฝันสลาย เลือกชีวิตและทรัพย์สินก่อนเลือกผู้ชาย (แหม ทำยังกะว่าจะมีผู้ชายมาเลือกหล่อนงั้นแหละย่ะ) เลยเลือกแบบที่สองดีกว่า เป็นเสื้อสีครีมธรรมดา ยาวถึงแค่สะโพกดูธรรมดากว่ามาก ราคาก็ถูกกว่า ใส่แล้วดูจืดมาก พี่คนขายยิ้มบอกว่า แบบนี้แหละ ไม่มีใครสนใจน้องแน่ (ตึง!!!) เขาบอกด้านในเป็นขนเป็ด ซึ่งกลับถึงบ้านก็พอจะรู้ว่ามันน่าจะเป็ดจริง เพราะเห็นไอ้เจ้าแมวสองตัวที่บ้านทำท่าจะทะเลาะกะเสื้อขนเป็ด แสดงว่าได้กลิ่นเป็ดจริง

เรื่องรองเท้า ที่ร้านนั้นไม่มี คนขายก็แนะนำให้ไปซื้อบูตส์ยาวถึงครึ่งน่อง แบบหนังนะ อย่าซื้อหนังกลับ เดี๋ยวหิมะซึมเข้าไปแล้วจะหนาวกว่าเดิม ทีนี้เราไปดูร้านรองเท้า ไอ้แบบหนังกลับกลับดูใส่อุ่นสบาย เพราะข้างในมีบุด้วยขนนุ่มๆ แต่อันที่เป็นหนังข้างในกลับแข็งๆ ไม่ได้บุด้วยอะไรนอกจากผ้ากำมะหยี่บางๆ ชั่งใจอยู่สามที ปรึกษาแม่อยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเลือกคู่ที่เป็นหนังมา แล้วค่อยไปหุ้มเท้าตัวเองด้วยถุงเท้าวูลส์แล้วกัน

จัดการยัดเสื้อผ้า (ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าใส่เต้น) ลงกระเป๋า กระเป๋าที่ซื้อมาเป็นกระเป๋าน้ำหนักเบารุ่นเบาเป็นพิเศษของ American Tourister ใบเล็ก (37x22x55 เซนติเมตร) พี่เขยแนะนำว่าใบขนาดนี้แหละโอเคแล้ว เพราะจะใส่ล็อคเกอร์ตาม Hostel ได้พอดี จัดของลงกระเป๋าได้น้ำหนัก 13 กิโลกรัม กำลังหิ้วสบายเลยสำหรับผู้หญิงตัวไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างเรา แต่จิตตกเอง กลัวเอาของไปไม่พอ เลยไปซื้อของเพิ่ม ถุงเท้ามั่ง ลองจอนมั่ง ทำไปทำมากลายเป็น 17 กิโลกรัม หนักสมใจอยากเลย สรุปหมดค่าเสื้อกันหนาว รองเท้าบูตส์ และกระเป๋าไปราวๆ สองหมื่นบาท

แต่สิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ คือผ้าพันคอสีเขียวที่ถักเอาไว้เพื่อให้เป็นของขวัญแก่คนคนนึงเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่มีโอกาสให้ เก็บไว้มาหลายปี จนวันนี้ได้มีโอกาสไปรื้อเอามาใช้เอง เป็นผ้าที่ถักจากไหมอย่างดี ทำอย่างสุดฝีมือ กล้าเข้าข้างตัวเองเลยว่ามันสวยมาก แล้วเลยคิดขึ้นมาได้เอง แล้วเราจะไปทุ่มเททำอะไรเพื่อคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ทำเพื่อตัวเองสิ ดีที่สุดแล้ว เพราะตัวเรานี่แหละ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเราเอง

..คิดเพลินเลย มารู้ตัวอีกที เราก็เผลออมยิ้มซะแล้ว..


## กฎสามข้อ ##
ข้อแรก ต้องให้พาสเวิร์ด iTunes ให้พ่อ (พ่อจะอาศัยระบบของ iPhone เพื่อบอกพิกัดของเครื่อง) เพราะพ่อจะเอาไว้ติดตามตัวลูกสาวว่าไปถึงเมืองไหนแล้ว แม่โวยตามประสาผู้หญิง ..เฮ้ย พาสเวิร์ดไปขอกันได้ง่ายๆ ได้ยังไง แค่นั้นพ่อก็หน้าบูด ไอ้เราก็เอาน่ะ ไม่ได้เก็บอะไรไว้ใน iTunes อยู่แล้ว ให้ไปแล้วกันจะได้สบายใจ ไว้กลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ค่อยกลับไปเปลี่ยนพาสเวิร์ดแล้วกัน

ข้อสอง ต้องรายงานตัวกับพ่อทาง What’s app ทุกวัน ไป 38 วัน ก็ต้องรายงานตัวอย่างต่ำ 38 ที ต้องอัพเดทสถานการณ์ ที่พัก และเมืองที่อยู่โดยตลอด ห้ามหายตัว ทั้งหมดเพราะพ่อห่วงจัดนั่นเอง ถึงขนาดยอมหัดเล่น What’s app เลยทีเดียว นับเป็นเรื่องซีเรียสจริงจังมาก

ข้อสาม ทำให้แต่ละวันมีเรื่อง “สุขมาก” ให้ได้อย่างน้อยวันละเรื่อง

ข้อสี่ ข้อนี้สำคัญที่สุด นั่นคือ จำไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดทริปนี้คือการเรียนรู้ ต้องหาบทเรียนจากทุกๆ สิ่ง ทุกๆ เหตุการณ์ ทุกๆ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้ได้ จำไว้ว่าแม้ในยามที่รู้สึกแย่ที่สุด และทุกสิ่งดูจะผิดพลาดไปเสียหมด (ซึ่งเราเองก็อาจจะต้องเจอ) เราก็ต้องหาให้เจอให้ได้ว่า เราจะเรียนรู้จากช่วงเวลาที่ตกต่ำเหล่านั้นได้อย่างไร แล้ว 38 วันจะไม่เสียเปล่า เราจะเติบโต ..ไปอีกขั้น

...


ก่อนเดินทางฉันอาบน้ำแต่งตัว ยัดเสื้อกันหนาวทั้งหมดลงในเป้ รูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แล้วมุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิ

ตื่นเต้น..






พ่อ แม่ พี่สาว และพี่เขยยืนยิ้มให้อยู่ข้างล่าง ตัวเราสิใจหาย
ตกลงเราพร้อมแล้วแน่ๆ ใช่ไหม
ไปคนเดียว ลุยคนเดียว
แก้ปัญหาทั้งหมดคนเดียว
เอาเว้ย
ลุย!




Create Date : 01 มีนาคม 2556
Last Update : 1 มีนาคม 2556 9:50:34 น. 4 comments
Counter : 1009 Pageviews.

 
ลุย!! :)


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:9:06:15 น.  

 
เคี้ยกๆ
ตามมาหาเสี้ยวจัง

คิดถึงค้าฟ
และดีใจที่มีคนอ่านเรื่องส้มม่ะ

ปรัชญาไม่แฝงนะ
แค่พี่บ่นตามประสา

ฮ่าๆ

จะมีอีกหลายตอน
ตามมานะ


โดย: ตากลมกลมคู่นั้น วันที่: 2 มีนาคม 2556 เวลา:15:13:31 น.  

 
สอง,

น้องจะทำอะไรก็ตาม
เมื่อเราตัดสินใจแล้ว
และเรามีความสุข

ไปเถอะ
และดูแลตัวเอง,,,

เที่ยว และเก็บเกี่ยวทุกอย่างมาเผื่อด้วยนะจ๊ะคนดี


*tc


โดย: ตากลมกลมคู่นั้น วันที่: 2 มีนาคม 2556 เวลา:15:30:09 น.  

 
สนุกดีนะ


โดย: ks IP: 58.64.63.229 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:22:26:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.