"แล้วเธอจะหิ้วกระเป๋าขึ้นลงกระไดไหวเหรอ" เสียงแม่ถาม ภาพในหัวหายแว้บ กลายเป็นภาพกะเหรี่ยงหน้าตาเหยเกยักแย่ยักยันฉุดกระเป๋าขึ้นรถไฟ ขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ เพราะเสื้อสวยรัดขาเหมือนใส่ผ้าถุง
"อ้าว นี่จะไปแบ็คแพ็กเหรอ" คนขายถาม ..ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง ไม่รู้จะต้องลุยประมาณไหน น่าจะเรียกตัวเองว่าแบ็คแพ็กเกอร์ได้ละมั้ง
เราเห็นด้วย ประเดี๋ยวจะล่อตาพวกขโมยเสียเปล่าๆ อีกอย่าง ความยาวที่คลุมถึงครึ่งเข่าอาจทำให้อุ่นจริง แต่ก็เห็นด้วยกับแม่ว่าท่าทางมันจะทำให้ชีวิตลำบากพิกล ณ จุดนี้ต้องยอมให้ฝันสลาย เลือกชีวิตและทรัพย์สินก่อนเลือกผู้ชาย (แหม ทำยังกะว่าจะมีผู้ชายมาเลือกหล่อนงั้นแหละย่ะ) เลยเลือกแบบที่สองดีกว่า เป็นเสื้อสีครีมธรรมดา ยาวถึงแค่สะโพกดูธรรมดากว่ามาก ราคาก็ถูกกว่า ใส่แล้วดูจืดมาก พี่คนขายยิ้มบอกว่า แบบนี้แหละ ไม่มีใครสนใจน้องแน่ (ตึง!!!) เขาบอกด้านในเป็นขนเป็ด ซึ่งกลับถึงบ้านก็พอจะรู้ว่ามันน่าจะเป็ดจริง เพราะเห็นไอ้เจ้าแมวสองตัวที่บ้านทำท่าจะทะเลาะกะเสื้อขนเป็ด แสดงว่าได้กลิ่นเป็ดจริง
เรื่องรองเท้า ที่ร้านนั้นไม่มี คนขายก็แนะนำให้ไปซื้อบูตส์ยาวถึงครึ่งน่อง แบบหนังนะ อย่าซื้อหนังกลับ เดี๋ยวหิมะซึมเข้าไปแล้วจะหนาวกว่าเดิม ทีนี้เราไปดูร้านรองเท้า ไอ้แบบหนังกลับกลับดูใส่อุ่นสบาย เพราะข้างในมีบุด้วยขนนุ่มๆ แต่อันที่เป็นหนังข้างในกลับแข็งๆ ไม่ได้บุด้วยอะไรนอกจากผ้ากำมะหยี่บางๆ ชั่งใจอยู่สามที ปรึกษาแม่อยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเลือกคู่ที่เป็นหนังมา แล้วค่อยไปหุ้มเท้าตัวเองด้วยถุงเท้าวูลส์แล้วกัน
จัดการยัดเสื้อผ้า (ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าใส่เต้น) ลงกระเป๋า กระเป๋าที่ซื้อมาเป็นกระเป๋าน้ำหนักเบารุ่นเบาเป็นพิเศษของ American Tourister ใบเล็ก (37x22x55 เซนติเมตร) พี่เขยแนะนำว่าใบขนาดนี้แหละโอเคแล้ว เพราะจะใส่ล็อคเกอร์ตาม Hostel ได้พอดี จัดของลงกระเป๋าได้น้ำหนัก 13 กิโลกรัม กำลังหิ้วสบายเลยสำหรับผู้หญิงตัวไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างเรา แต่จิตตกเอง กลัวเอาของไปไม่พอ เลยไปซื้อของเพิ่ม ถุงเท้ามั่ง ลองจอนมั่ง ทำไปทำมากลายเป็น 17 กิโลกรัม หนักสมใจอยากเลย สรุปหมดค่าเสื้อกันหนาว รองเท้าบูตส์ และกระเป๋าไปราวๆ สองหมื่นบาท
แต่สิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ คือผ้าพันคอสีเขียวที่ถักเอาไว้เพื่อให้เป็นของขวัญแก่คนคนนึงเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่มีโอกาสให้ เก็บไว้มาหลายปี จนวันนี้ได้มีโอกาสไปรื้อเอามาใช้เอง เป็นผ้าที่ถักจากไหมอย่างดี ทำอย่างสุดฝีมือ กล้าเข้าข้างตัวเองเลยว่ามันสวยมาก แล้วเลยคิดขึ้นมาได้เอง
แล้วเราจะไปทุ่มเททำอะไรเพื่อคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ทำเพื่อตัวเองสิ ดีที่สุดแล้ว เพราะตัวเรานี่แหละ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเราเอง ..คิดเพลินเลย มารู้ตัวอีกที เราก็เผลออมยิ้มซะแล้ว..## กฎสามข้อ ##ข้อแรก ต้องให้พาสเวิร์ด iTunes ให้พ่อ (พ่อจะอาศัยระบบของ iPhone เพื่อบอกพิกัดของเครื่อง) เพราะพ่อจะเอาไว้ติดตามตัวลูกสาวว่าไปถึงเมืองไหนแล้ว แม่โวยตามประสาผู้หญิง ..เฮ้ย พาสเวิร์ดไปขอกันได้ง่ายๆ ได้ยังไง แค่นั้นพ่อก็หน้าบูด ไอ้เราก็เอาน่ะ ไม่ได้เก็บอะไรไว้ใน iTunes อยู่แล้ว ให้ไปแล้วกันจะได้สบายใจ ไว้กลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ค่อยกลับไปเปลี่ยนพาสเวิร์ดแล้วกัน
ข้อสอง ต้องรายงานตัวกับพ่อทาง Whats app ทุกวัน ไป 38 วัน ก็ต้องรายงานตัวอย่างต่ำ 38 ที ต้องอัพเดทสถานการณ์ ที่พัก และเมืองที่อยู่โดยตลอด ห้ามหายตัว ทั้งหมดเพราะพ่อห่วงจัดนั่นเอง ถึงขนาดยอมหัดเล่น Whats app เลยทีเดียว นับเป็นเรื่องซีเรียสจริงจังมาก
ข้อสาม ทำให้แต่ละวันมีเรื่อง สุขมาก ให้ได้อย่างน้อยวันละเรื่อง
ข้อสี่ ข้อนี้สำคัญที่สุด นั่นคือ
จำไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดทริปนี้คือการเรียนรู้ ต้องหาบทเรียนจากทุกๆ สิ่ง ทุกๆ เหตุการณ์ ทุกๆ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้ได้ จำไว้ว่าแม้ในยามที่รู้สึกแย่ที่สุด และทุกสิ่งดูจะผิดพลาดไปเสียหมด (ซึ่งเราเองก็อาจจะต้องเจอ) เราก็ต้องหาให้เจอให้ได้ว่า เราจะเรียนรู้จากช่วงเวลาที่ตกต่ำเหล่านั้นได้อย่างไร แล้ว 38 วันจะไม่เสียเปล่า เราจะเติบโต ..ไปอีกขั้น
...
ก่อนเดินทางฉันอาบน้ำแต่งตัว ยัดเสื้อกันหนาวทั้งหมดลงในเป้ รูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แล้วมุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิ
ตื่นเต้น..
พ่อ แม่ พี่สาว และพี่เขยยืนยิ้มให้อยู่ข้างล่าง ตัวเราสิใจหาย
ตกลงเราพร้อมแล้วแน่ๆ ใช่ไหม
ไปคนเดียว ลุยคนเดียว
แก้ปัญหาทั้งหมดคนเดียว
เอาเว้ย
ลุย!