|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชร
ตั้งแต่ผมอายุ ๕ ขวบ มาจนถึง ๒๓ ปี พี่สาวผมขอเตี่ยแม่บวชชีไปตลอดชีวิตอยู่หลายครั้ง แต่เพราะว่าความสวย ความสาว และขาวตามแบบลูกคนจีน เตี่ยกลัวว่าจะมีอันตรายเลยไม่ยอมให้บวชมาตลอด เจ๊ก็ได้แต่วนเวียนเป็นคนเร่ร่อนไปเรื่อยตามวัดต่าง ๆ ส่วนผมตอนอายุได้ ๑๘ ปี ก็ขอเตี่ยบวชเพราะอ่านหนังสือธรรมะของเจ๊เยอะ รวมทั้งหนังสือโลกทิพย์ เห็นครูบาอาจารย์ท่านสละโลก ก็อยากทำบ้าง
มีวันหนึ่งก็เลยขอเตี่ยบวช
" เตี่ย ๆ อั๊วอยากบวชนะ" เตี่ยหันมามองหน้าแล้วก็ยิ้ม เพราะเตี่ยโดนแม่พาเข้าวัดบ่อย เตี่ยชอบทำบุญ และชอบช่วยเหลือคน
"เออดีนะ ลื้อจะบวชให้อั๊วเหรอ เอาไว้ลื้ออายุ ๒๐ ก่อนนะ ดีจริง ๆ" เตี่ยยิ้มอย่างมีความสุขแต่พอฟังผมพูดต่อก็ชะงักตาค้าง
"ไม่ใช่เตี่ย อั๊วจะบวชให้ลื้อตอนนี้เลย และจะขอบวชไปตลอดชีวิตด้วย" ผมพูดออกไป ด้วยคำพูดที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เตี่ยได้แต่ตกใจ
"ไอ๊หย่า ลื้อนี่จะทิ้งอั๊วเหมือนพี่สาวลื้ออีกคนแล้ว พี่น้องคู่นี้ ไม่ไหว ตั้งท่าจะบวชตลอดชีวิตลูกเดียวเลย ไม่เอาอั๊วไม่ให้ลื้อบวชแล้ว กลัวใจลื้อเลย"
ครับ ผลก็เลยอดได้บวชกัน เวลาผ่านมาจนผมอายุได้ ๒๓ ปี เจ๊ผมโดนส่งไปเรียนที่อินเดียจบโทแล้วและกำลังต่อเอกอยู่ เจ๊ผมตอนนี้เป็นนางหมูไปแล้ว ไม่ใช่นางฟ้าอีกต่อไป
ตอนนี้เตี่ยยุให้บวชเจ๊ก็ส่ายหน้าแล้ว เพราะมีความรักเข้าให้ ส่วนผมก็มาอยู่กลับพี่สาวคนโตอีกคน ทำของกิ๊ฟชอปส่งขายเป็นพวกตุ๊กตาเซรามิก
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงอายุ ๒๓ ปี ๆ หนึ่งผมจะเข้าไปในโลกส่วนตัวของผมไม่เกิน ๑๐ ครั้ง และในโลกของจิตทำให้ผมกับต้องเจอสภาวะของวิญญาณที่เป็นเทพ และพระภูมิเจ้าที่อยู่เสมอ ไม่ว่าไปนอนที่ไหนเป็นได้เจอในช่วงที่หลับไปพร้อมกับสมาธิ
บางครั้งจะได้ยินเป็นเสียงเรียก บางครั้งก็เหมือนให้ลืมตาตื่นขึ้นมาดู แต่ละที่เจ้าที่ไม่เคยเหมือนกันซักเท่าไหร่ บางที่ก็เป็นชายผิวขาวผิวพรรณดี ใส่ชุดขาว หมวกทรงสูง
บางที่ก็เป็นลักษณะพราหมณ์ บางที่ก็ไทยแท้ ๆ เหมือนคนโบราณ แต่ส่วนมากจะมาดีและมายิ้มให้เสมอ จะมีก็แต่บ้านเจ๊คนโตนี่หละมาอยู่ได้หลายเดือนละ ยังไม่เคยได้เจอเลย ช่วงนี้มีหนังสือพิมพ์ออกข่าวครึกโครมเรื่องของนายทหารท่านหนึ่ง
ชื่อพลเอกเสนาะ จินดารัตน์ ท่านมาเล่าเรื่องตายและฟื้นมา ๒ ครั้งและมาเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ
รวมทั้งเรื่องพระคาถาชินบัญชรด้วย ตัวผมเองเกิดจิตศรัทธาก็เลยไล่ท่อง ๓ วันจนคล่องอยู่ในใจ และสวดก่อนนอนเป็นประจำ
ทุกอย่างก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มีอยู่คืนหนึ่งก็ได้เรื่อง เวลาตอนนั้นก็ปาไปประมาณเกือบ ๕ ทุ่มแล้ว ในขณะที่ผมก้ม ๆ เงย ๆ วาดรูป และงานเขียนตุ๊กตาของผมอยู่
ผมก็ได้เห็นเงาลาง ๆ มาวนรอบตัวของผม บางทีหางตาเห็นเหมือนคนมายืนอยู่ข้าง ๆ แต่มองไปก็ไม่เจอใครหรอกครับ
เลยเวลาไป ๕ ทุ่มกว่าผมต้องไปนอนแล้ว บ้านพี่สาวที่อยู่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ด้านบนเป็นไม้นะครับ ผมเดินขึ้นไปที่บันไดบ้านและไหว้ไปที่หัวบันไดบ้าน เป็นการให้อนุญาต
ผมพูดออกไปว่า ถ้ามีอะไรให้ผมได้ช่วยบ้างก็ยินดี แต่ขอให้มาดี ๆ นะครับ ผมขึ้นไปนอนจน ๖ โมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ผมตื่นแล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวอากาศที่พิษณุโลกยังหนาวเย็นอยู่เลย
ผมเองตอนนี้กำลังนอนขดตัวในผ้าห่ม ในขณะที่ฟ้าข้างนอกก็ยังครึ้มอยู่ ผมนอนห้องด้านหน้าติดริมหน้าต่างหน้าบ้าน เตียงของผมเป็นเตียงใหญ่ แต่ตอนนี้ผมนอนอยู่ที่ริมเตียงห่างจากหน้าต่างออกมาหน่อยเพราะช่วงนี้อากาศค่อนข้างจะเย็น ผมคิดในใจว่า เออ ไม่มีอะไรแฮะ หลับสบายเลย
จากท่านอนตะแคงผมหันมานอนหงาย ทันใดนั้นเองผมมีความรู้สึกว่ามีคนมาทับหน้าอกผมอย่างแรงจนแน่น
หายใจไม่ออกเอาเลย แล้วเขาก็ใช้จิต กดผมจนกระดิกตัวไม่ได้เลย เวลานี้ผมไม่ได้ฝันแน่นอนผมตื่นอยู่แล้ว ผมคิดในใจว่า
"เอาเข้าแล้ว เจอเข้าจนได้ ก็บอกให้มาหาดี ๆ นี่นา ไม่ใช่แล้ว" แค่คิดในใจ แค่นี้เอง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมาจนแทบตั้งตัวไม่ทัน บทสวดของพระคาถาชินบัญชรบทที่ ๑ ออกมาจากปลายนิ้วชี้ของผม
"ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวามารังสะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภังระสัง เยปิวิงสุนะราสะภา"
แต่ไม่ใช่เป็นการท่องออกมา เป็นเหมือนพระคาถาทำการปกป้องโดยผมไม่ได้ไปนึกถึงเลย ผมรู้แต่ว่าจิตมันสัมผัสได้นี่คือคาถาชินบัญชร
ในขณะที่นิ้วชี้ของผมยกชูขึ้นมาผมก็ได้เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรบทที่ ๑ ครับ
ผมเห็นเป็นเม็ดแสงพรูออกมาจากปลายนิ้วชี้เป็นสีสันต่าง ๆ กัน ไปกระทบเอากับจิตที่กดผมอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ อทิสสมานกายของผมโดนผลักออกมาจากกายเนื้อ
เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ไม่ได้ไปภูมิอื่น
แต่นี่คือห้องของผมเลยทีเดียว ตัวผมโดนผลักเลื่อนมาอยู่ติดกับริมหน้าต่าง เวลานั้น ผมมีสติเต็มร้อยแน่นอน เพราะผมเห็นตัวผม กายเนื้อ นอนห่างออกไปไม่เกินเมตร และที่บนหน้าอกของกายเนื้อของผม ๆ เห็นสภาพของกายวิญญาณ
ที่พร่า ๆ เลือน ๆ เป็นลักษณะโปร่ง ๆ ใส ๆ และด้วยเพราะโดนพระคาถาปัดออกไปเต็มแรง
กำลังบิดกายด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าของผมนั้นเอง ผมได้แต่ตะลึงเมื่อมองเห็นจิตวิญญาณนั้นชัดเจนขึ้น ครับของจริงเลยทีนี้ ตัวผอมกระหร่องจนเห็นซี่โครงเลย หัวก็โตกว่าคนปกติซักเท่าหนึ่ง ผมบนหัวแทบมองไม่เห็นเลย ผิวกายก็ดำคล้ำ
เวลานั้นผมขนหัวลุกตั้งชันเลย คาถาชินบัญชรบทที่ ๒ ออกมาโดยไม่ได้นึกถึงอีกแล้ว "ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตามัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา"
คราวนี้ไม่ใช่การท่องอีกแล้ว แต่ผมมีความรู้สึกถึงแรงดันที่ท้องจนต้องเป่าเป็นลมออกมา เหมือนหมอผีเลยผมตอนนั้น เป่าพรวด
ผีตนนั้นร้องอย่างเจ็บปวดเลย จะว่าใจร้ายก็ใจร้ายละ ความตกใจขอให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้หายไปซะก่อนเถอะ
เรื่องอื่นค่อยว่าทีหลัง คาถาชินบัญชรบทที่ ๓ ออกมาอีกจนได้ "สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโมทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโตมัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร" ครับได้เรื่องเลย บทนี้เป็นอัญเชิญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาที่ศรีษะ ดวงตาทั้งสอง และหน้าอก ครับ
ผลก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผีตนนั้นเลย แต่ตัวผมเองซิ มันหายกลัวและเกิดเมตตาขึ้นมาทันที
จิตบอกว่าเขามาขอร้องให้ช่วยนะ ผมเลื่อนตัวเข้าไปจับมือที่ซูบกรังทันที
"ขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ ผมตกใจ และไม่คิดว่าพระคาถาชินบัญชรจะออกมาปกป้องผมเช่นนี้" ผมมองไปที่หน้าเขาเหมือนคนที่สำนึกในสิ่งที่ผิดพลาดอย่างแรง "เป็นไรมากไหมครับ" ผมมองไปที่หน้าของเขา ตาที่ลึกดวงตาที่ขาวขุ่น จมูกบี้แทบจะมองไม่เห็นรูจมูก
ผิวกายก็หยาบกระด้างและแข็ง หน้าตาเต็มไปด้วยคราบน้ำตาจนผมรู้สึกผิดมาก ๆ จริง ๆ
"ผมขอโทษอีกทีเป็นเพราะผมตกใจ และผมก็บอกพระภูมิเจ้าบ้านแล้วให้มาดี ๆ คุณเข้าหาผมไม่เป็นก็เลยกลายเป็นเรื่องเลย" ผมจำได้ตอนที่ไหว้หัวบันไดเมื่อคืน
"ไม่เป็นไรครับ ผมขอร้องท่านเองเมื่อคืน ว่าให้อนุเคราะห์ผมด้วย เพราะมีแต่ท่านที่จะช่วยให้ผมพ้นทุกข์จากตรงนี้ได้ และผมกับพระภูมิ เคยเป็นญาติกันมาแต่อดีตท่านก็เลยอนุเคราะห์ผม
แต่ไม่ให้รบกวนคุณตอนนอน ให้มาช่วงเช้า เวลาที่คุณตื่นนะครับ" เสียงของผีเปรตตนนี้ทั้งแหบพร่าและสั่น "คุณชื่ออะไรล่ะ แล้วเพราะกรรมอันใดจึงได้มาทุกข์ทรมานอย่างนี้" ผมถามเขาไปเพราะอยากจะรู้
"ผมชื่อ ณัฐพล ครับ ผมเป็นคนขี้เหล้า ตลอดชีวิตไม่เคยเชื่อเรื่องบุญกุศล แถมไปขโมยของวัด
ทั้งเงินและข้าวของใช้ เลยทำให้ผมเจอวิบากหนัก ผมตายมานานมากแล้วไปตกนรกมาอยู่ช่วงหนึ่ง และกรรมก็ซัดให้มาเป็นเปรตเที่ยวขอส่วนบุญแต่ไม่มีใครเห็นผมและช่วยผมได้เลย
ผมได้แต่กินน้ำหนองของตัวเอง หิวเหลือเกินไม่มีอะไรกินเลย ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าของใช้ นั่นเพราะกรรมชั่วของผมเองแท้ ๆ
ผมมองเขาด้วยความรู้สึกที่ประกอบไปด้วยเมตตา ก็เลยตัดสินใจจะทำอะไรให้เขาบ้างเลยพูดออกไปว่า "เอาอย่างนี้นะคุณณัฐพล เช้านี้ผมจะไปทำสังฆทานที่วัดใหญ่ให้แก่คุณเลย อานิสงส์คงมากพอที่จะทำให้คุณพ้นจากสภาวะทุกข์ไปได้ และบุญที่ผมได้ปฏิบัติขอจงบังเกิดกับคุณโดยบัดนี้เถิด"
ผมอธิษฐานและจับมือเขาไปด้วย สิ่งที่ผมเห็นก็คือประกายตาเขาเกิดแจ่มใสขึ้นมาทันที ผมรู้ว่าเขาได้บุญในขณะนั้นแล้ว รอที่จะถวายให้พระสงฆ์ และกรวดน้ำให้เท่านั้น
" ขอบคุณมากครับ ผมจะไม่มารบกวนให้คุณตกใจอีก ผมขอบคุณในน้ำใจของคุณด้วยนะครับ" เขายกมือจบหัวและหายไปต่อหน้าของผม ส่วนตัวผมเองกะว่าจะดูอะไรที่มากกว่านี้ ไม่ได้แล้วครับ ไม่ได้ออกมาด้วยสมาธิ ออกมาด้วยฤทธิ์คุณอันศักดิ์สิทธิ์
ตัวผมโดนใยเล็ก ๆ เหมือนเส้นผม (สายใยของตัณหาที่ยึดติดกายนะครับ) ดึงกลับเข้าไปที่ร่างกายทันที ในขณะที่ผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมาเหมือนจะบอกว่าอย่าพึ่ง
โอ๊ย
หมดกัน ผมเล่าเรื่องที่เจอให้พี่สาวของผม
เจ๊ก็จัดอาหารและให้ผมไปซื้อของมาทำบุญให้แก่เขาครับ คาถาชินบัญชรที่ออกมาปกป้องจริง ๆ แล้วคืนนั้นผมไม่ได้สวดเลย เพราะองค์พระคาถาจะคลุมตัวเราไว้
อะไรก็เข้าไม่ได้นะครับ แต่จิตที่เต็มไปด้วยศรัทธาเป็นสิ่งที่แนบแน่นไปแล้ว และที่สำคัญ ผมว่าใครสวด องค์พระคาถา จะเป็นการเรียกวิญญาณแถวนั้น เพื่อรอจังหวะมาขออานิสงส์ แหะ ๆ อยากเจออะไรแปลก ๆ ก็ตั้งใจเอาไว้ละกัน ลองทำอย่างผมนะ
เชิญเขาเข้ามา แต่ให้พระภูมิ เจ้าที่ท่านเลือกมาให้ด้วยนะ ไม่งั้นขืนเจอพวกแสบ ๆ ละก็แย่เลย ไม่ใช่คุณแย่นะ เจ้าพวกแสบ ๆ น่ะ เพราะถ้าลองผ่านบทที่ ๓ แล้ว จิตจะบอกเราเองเลยว่ามาดีหรือมาร้าย ถ้ามาร้ายบทที่ ๔ สงสัยวิญญาณธรรมดาก็ กระเด็นแน่
แล้วถ้าคุณลุยแบบไม่บันยะบันยังเลย ผมว่าจิตวิญญาณนั้นต้องได้รับผลแห่งความร่มเย็น อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับจิตของเขาที่ยังเสวยอยู่กับความคับแคบอันเป็นสิ่งร้อนอยู่ครับ ความทรมานไม่ได้เกิดขึ้นจากพระคาถานะครับ พระคาถาไม่ได้ทำร้ายใครเลย เปรียบเหมือนหม้อต้มน้ำที่ร้อน ๆ ที่อยู่บนเตาไฟเฉย ๆ แต่กลับไปเอามือไปแตะเอง
เพียงแต่แตกต่างในเรื่องของใจที่ร้อนและเย็น จิตที่สวดพระคาถาประกอบไปด้วยศรัทธา มีศีลรักษาใจ ซึ่งเป็นความปกติของจิตที่ไม่เบียดเบียนผู้ใด
จิตจึงเป็นลักษณะที่ปลอดโปร่งโล่งเย็น กระจายปกคลุมสภาวะแห่งกายและจิต ด้วยกำลังแห่งคุณของพระรัตนตรัยที่รักษาในส่วนที่เรานำเอาความดีเป็นที่ตั้ง จิตประกอบไปด้วยคุณธรรมต่าง ๆ ที่รักษา
จึงมีสภาพของความเย็น ปลอดโปร่ง ซึ่งตรงข้ามกับจิตวิญญาณที่ยังรับสภาวะกรรม
จิตประกอบไปด้วยนิวรณ์ และกรรมไม่ดีต่าง ๆ อันเป็นสิ่งคับแคบเปรียบเสมือนของร้อน
จิตที่ปราศจากคุณธรรม ปราศจากศีล ปราศจากศรัทธา ย่อมเป็นธรรมดาเหลือเกินที่กำลังย่อมแตกต่างกันอย่างมากมาย ความร้อนที่มีกำลังน้อยเมื่อมากระทบความเย็นแห่งจิตที่มีกำลังมาก ผลก็คือต้องรับกรรมอันที่ตนได้กระทำนั่นเอง ขอให้เข้าใจกันด้วยว่าพระคาถาแห่งพระอริยะเจ้านั้นทำหน้าที่ปกป้องกายและจิตเท่านั้นนะครับ
ไม่ได้เอาไว้ใช้ทำลายสรรพสัตว์ให้พินาศ
ผลของพระคาถาชินบัญชรบทที่ ๑ นะ ทำเอาปลายนิ้วชี้ของผมร้อนอยู่ช่วงขณะที่ลำแสงปรากฏ และต่อมาปลายนิ้วชี้ที่ปกติเป็นวงขดธรรมดาเหมือนคนทั่วไป แต่ตรงปลายนิ้วชี้ตั้งแต่ตอนนั้น กลายเป็น เม็ด ๆ เล็ก ๆ ซักครึ่งเซ็นต์ เป็นของจารึกนะครับ ไม่รู้ว่าดีไหม (ดอกพิกุล)
ฤทธิ์อำนาจเฉพาะบท ผมแจงไว้ที่รู้และเจอมา แต่ถ้าสวดหมดจะคลุมตัวเราเอง
ลองอ่านดูอาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นมาได้นะครับ ท่านใดที่สวดพระคาถาชินบัญชร แล้วมีจิตที่ศรัทธา
พระคาถาจะแนบกับจิตของเรา ไปทั้งกายเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นการอัญเชิญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มาประดับไว้ในฐานของกายทั่วไปหมด และที่สำคัญหากท่านมีจิตที่ตั้งมั่น
ในการสวด (สมาธิที่ดี) กายของท่านในส่วนที่ประดับด้วยของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จะสว่างโพลงออกมา มีแต่ตาของอทิสสมานกาย กายวิญญาณเท่านั้น ที่จะสัมผัสและเห็นได้ หรือคนที่มีทิพย์อำนาจ
จะรับรู้ด้วยความรู้สึกของการขนลุก เพราะไปรับพลังที่แปลก ๆ ออกจากกายของคนนั้นที่สวดองค์พระคาถาเอาไว้ บางครั้งแม้แต่คนสวดเอง ก็จะรับรู้ถึงสิ่งที่แปลก ๆ มักออกมาจากจิตของเขาเอง
จึงทำให้ผู้ที่สวดและมีจิตศรัทธา มักจะมีอะไรมาดลใจ แปลก ๆ เพราะไปรับเอาสื่อวิญญาณต่าง ๆ ที่ต้องการมาขอความช่วยเหลือนั่นเอง จริง ๆ แล้วองค์พระคาถามีประโยชน์อยู่ที่วิธีที่เราใช้ ฤทธิ์อำนาจความศักดิ์สิทธิ์ก็แปลก ๆ รัศมีของจิตแต่ละบทก็ไม่เห็นจะเหมือนกัน บางครั้งแสงก็อ่อนโยน
บางครั้งก็กระจายออกไปวงกว้าง สีต่าง ๆ ที่กระจายและห่อหุ้มอยู่ที่แต่ละบท ตรงบารมีของพระบริสุทธิคุณแต่ละองค์แต่ละท่านไม่เหมือนกันเลย หลวงพ่อโตเก่งจังไปนำมาได้ สุด ๆ เลยอภิญญาของท่านนะ
ขอแนะนำเพิ่มอีกนิดนะครับ กลัวจะใช้กันไม่เป็น ยามใดที่เกิดความสับสน ให้ สวดบทที่ ๑ นะครับ ยามใดที่จิตเกิดเมตตาจิต กระจายออก ให้สวดบทที่ ๓ นะครับ (พระสมเด็จไปกับตัวอีกด้วยนะครับ) ยามใดที่ต้องการให้เกิดความยินดีน้อมนำจิตให้เขาเกิดความสบายใจ ให้สวดบทที่ ๗
(ตรงนี้ใช้กับ นักพูด นักแสดง นักเขียน) หรือเวลาต้องการทำให้คนตรงหน้าเรามีความร่มเย็นและสบายใจในการที่ได้พูดคุยกับเรา ยามใดต้องการสิริมงคล กันคุณไสย ให้สวดบทที่ ๘ แล้วเอาแป้งมาปะ ๆ ไม่ต้องทาให้หน้าขาวละครับ
ผมเอาแป้งกำที่มือนิดหนึ่งเวลาเดินทางตั้งจิตเสร็จก็เป่าไปเลยที่มือนะครับ และก็โปะ ๆ หน่อย ยามใดที่เจอภัยต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้า ให้ตั้งจิตไว้ที่บทที่ ๙จะคลาดแคล้วจากอันตรายนะครับ ยามใดที่มีโรคภัยแปลก ๆ หาเหตุไม่ได้ มึนหัวมาเฉย ๆ ให้สวดบทที่ ๑๓
ยามใดต้องการช่วยเหลือใคร เพราะต้องเคราะห์ภัย ให้สวดบทที่ ๑๔ นะครับ แล้วจับที่มือหรือเป่าไปที่หน้าผากเขา (ถ้าเขายอมนะ) เพราะบทนี้เป็นบทขอให้คุณพระคุ้มครอง จะใช้กับตัวเองก็ได้นะครับ
Source : mail
Create Date : 31 มีนาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 31 มีนาคม 2552 15:32:42 น. |
Counter : 11056 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|