|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
โมนาลิซ่า ยิ้ม เพราะ..
โมนา ลิซา" หญิงสาวที่มีผู้ต้องการค้นหามากที่สุดในโลก เพราะสีหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่ผู้คนพยายามตีความมาหลายร้อยปีว่ายิ้มแบบนี้สื่อถึงอะ
ไร นับเป็นผลงานชิ้นเอกของยอดศิลปินลีโอนาโด ดาวินชี
เอพี รอยยิ้มอันอันลือเลื่องที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของ โมนา ลิซา สร้างความฉงนให้แก่ผู้ชมภาพชิ้นเอกของดาวินชี ที่ยากจะวิเคราะห์ว่าสีหน้าของเธอบ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ นับเป็นสิ่งท้าทายและมีความพยายามหาคำตอบมานานหลายศตวรรษ แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชต์กลับเผยว่าการตีความรอยยิ้มของโมนาลิซานั้นไม่อยากอย่างที
่คิด
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงอัมสเตอร์ดัม (University of Amsterdam) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ออกมาฟันธงอย่างชัดเจนว่า ยิ้มที่ปรากฏอยู่บนภาพของโมนา ลิซา ผลงานชิ้นเอกของลีโอนาโด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) นั้นเป็นยิ้มที่เปี่ยมสุขถึง 83%
ผลวิเคราะห์อารมณ์บนใบหน้าของโมนา ลิซายังแสดงถึงอารมณ์อื่นๆ ออกมาอีกว่า ใบหน้าของเธออีก 9% แสดงถึงความชิงชัง, 6% สื่อถึงความหวาดกลัว และแสดงอารมณ์โกรธผ่านใบหน้าเดียวกันนี้ออกมา 2% แต่สีหน้าที่แสดงอาการเฉยๆ โปรแกรมตีความออกมาว่าน้อยกว่า 1% ซึ่งทั้งหมดนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์เผยว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ซอฟต์แวร์ การจดจำสภาพอารมณ์ (emotion recognition) เป็นโปรแกรมที่พวกเขาได้พัฒนาขึ้น โดยร่วมมือกับนักพัฒนาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) เพื่อใช้เทคโนโลยีอันสุดทันสมัย ตีความผลงานชิ้นเอกของดาวินชี ซึ่งงานวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่งานใหญ่สลักสำคัญอะไร แต่ต้องการแสดงให้เห็นถึงเหตุแห่งยิ้มของหญิงสาวที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดหลายศตวรรษ
ศ.ฮาร์โร สโตกแมน (Harro Stokman) ม.อัมสเตอร์ซึ่งร่วมทีมวิจัยครั้งนี้ เปิดเผยว่า บรรดาผู้ร่วมงานต่างรู้ดีว่าผลการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ซอฟต์แวร์ชิ้นดังกล่าวไม่ได้ออกแบบมาให้จดจำอารมณ์หรือสีหน้าที่แสดงออกมาเป็นเลศนัย
ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจจับร่องรอยแห่งชู้สาวและความรังเกียจที่หลายๆ คนอ่านได้ผ่านดวงตาของเธอ
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการวิเคราะห์อารมณ์นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับภาพดิจิตอลยุคใหม่ ซึ่งแรกสุดนั้นจะต้องมีการจดจำสภาวะไร้อารมณ์ หรือภาพใบหน้าที่ดูเฉยๆ ไม่ส่ออารมณ์ใดๆ ก่อน จึงจะสามารถจับสภาพอารมณ์อื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ
ทางด้าน นิกู เซเบ (Nicu Sebe) หัวหน้าทีมวิเคราะห์รอยยิ้มโมนา ลิซา ก็ได้พยายามหาภาพใบหน้าของหญิงสาวที่สืบทอดเชื้อสายจากชาวเมดิเตอร์เรเนียนจำนวน 10 หน้าเพื่อนำมาเป็นภาพต้นแบบที่แสดงอารมณ์นิ่งเฉย จากนั้นเขาได้เทียบภาพหญิงสาวทั้งหลายกับโมนา ลิซาด้วยอารมณ์พื้นฐาน 6 ชนิด คือ สุข ประหลาดใจ โกรธ รังเกียจ กลัว และเศร้า
ตัวโปรแกรมจะสำรวจดูริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า จากนั้นก็จะได้เห็นโพรงจมูกที่ขยายมากขึ้น หรือความลึกของรอยย่นบริเวณรอบๆ ดวงตา สโตกแมนกล่าวถึงใบหน้าที่แสดงถึงความสุข ซึ่งพบบนใบหน้าของโมนา ลิซา 83% นับเป็นอารมณ์หลักของผู้หญิงทั่วไป
นอกจากนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีวมิติ (biometrics) แม้ไม่ได้ร่วมการทดลองก็แสดงอาการสนใจผลการศึกษาใบหน้าของโมนาในครั้งนี้ โดยลาร์รี ฮอร์นัค (Larry Hornak) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีการพิสูจน์รูปพรรณ (Center for Identification Technology Research) มหาวิทยาลัยแห่งเวสต์ เวอร์จิเนีย (West Virginia University) กล่าวว่า เทคโนโลยีการจดจำใบหน้านั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่เรื่องการจดจำสภาพอารมณ์นั้นกลับคืบคลานไปอย่างต้วมเตี้ยม
"เหมือนว่าพวกเขาได้พยายามใช้ข้อมูลชุดหนึ่งมาวิเคราะห์ แม้ว่าขอบเขตของข้อมูลจะดูแคบ และตัวงานก็เหมือนๆ กับคนอื่นทั่วไปที่ใช้เทคนิคใหม่ในสาขานี้ แต่ผลที่ออกมาก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว" นักชีวมิติจากสหรัฐฯ แสดงความเห็น
อย่างไรก็ดี สโตกแมนเชื่อว่า ความพยายามของทีมนักวิจัยจากอัมสเตอร์ดัมคงไม่ใช่เพื่อพิสูจน์หรือหักล้างทฤษฎีที่เก
ี่ยวกับการวาดภาพ ซึ่งหนึ่งในคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีการกล่าวถึงภาพโมนา ลิซานั่นก็คือแท้จริงแล้วหญิงสาวผู้นี้เป็นภาพที่ดาวินชีวาดตัวเองขึ้นมาโดยต้องการใ
ห้เป็นผู้หญิง
"แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอีก 30, 40, หรือ 50 ปีพวกเขาอาจจะสามารถวิเคราะห์ได้ถึงขนาดว่าหญิงสาวในภาพกำลังคิดอะไรอยู่" สโตกแมนกล่าวติดตลก ขณะที่ฮอร์นัคหัวหน้าทีมวิจัยก็สนใจกับแนวคิดที่น่าสนุกเช่นกัน โดยเชื่อว่าถ้าทำได้จริงคงจะมีความกระจ่างถึงปริศนาต่างๆ ที่ผู้คนตั้งคำถามไว้มากมาย
ทางด้าน จิม เวย์แมน (Jim Wayman) นักวิจัยชีวิมิติจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐซานโฮเซ (San Jose State University) แสดงความเห็นต่อการศึกษาภาพโมนา ลิซาครั้งนี้ว่ามันเหมือนการเล่นกล ไม่ใช่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เคร่งเครียด แต่ก็นับเป็นผลงานที่สร้างสีสันและไม่ได้ทำร้ายใคร
ภาพ โมนาลิซา เป็นผลงานชิ้นเอกของดาวินชี จิตรกรชาวอิตาเลียน (และยังเป็นนักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์) ดาวินชีวาดภาพชิ้นนี้ในช่วงปี 1479 1528 โดยรู้กันดีว่าหญิงสาวในภาพคือ ลา จิโอกอนดา (La Gioconda) ภรรยาของฟรานเซสโก เดล จิโอกอนดา (Francesco del Giocondo) ขณะนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ (Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในนาม ลา โฌกงด์ (La Joconde)
ที่มา //xchange.teenee.com/index.php?showtopic=64642
Create Date : 05 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 5 สิงหาคม 2551 16:33:33 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2045 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คุณน้ำตาล วันที่: 8 สิงหาคม 2551 เวลา:15:51:52 น. |
|
|
|
โดย: โจ๊ก IP: 202.91.19.205 วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:16:23:40 น. |
|
|
|
โดย: อิ๊คคิว IP: 192.168.100.10, 58.8.102.135 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:44:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
คนที่รู้ดีที่สุด ก็ดาวินชี นั่นแหละ... เนอะ