My name is Luka คือนามแฝงแชทของคนที่เรียก private chat เข้ามา ผมคลิกตรงชื่อนั้น เพื่อจะอ่านโพรไฟล์ด้วยความเคยชิน หากแต่ข้อมูลตรงนั้นว่างเปล่า รูปก็ไม่มี ช่างเถอะ ผมเองก็ไม่ได้ใส่รูปไว้เหมือนกัน
"Can I chat with you ? I am bored to death. ขอผมแชทกับคุณได้ไหม ผมเบื่อจะตายแล้ว" คือประโยคทักทายแรกจากหนุ่มคนนั้น ทำไมผมถึงมั่นใจว่าเป็นหนุ่มล่ะ ก็เพราะคงไม่มีสาวคนไหนจะอุตริมาแชทในเวบเฉพาะกิจของชาวเกย์น่ะสิ
ํYes, sure. ได้สิครับ แน่นอน ผมตอบเค้าไป ใครจะรู้บ้างว่าผมนั่งเหี่ยวแห้งมาตลอดชั่วโมงจนแทบจะกลับบ้านแล้วนะ ขณะที่รอเค้าพิมพ์ข้อความกลับมา ผมก็ครุ่นคิดถึงนามแฝง My name is Luka ของเขา อืม เป็นคนอิตาเลียนหรือเปล่านะ ชื่อแบบนี้ ถ้าเป็นจริงก็ดี คนอิตาเลียนส่วนใหญ่หน้าตาหล่อเหลาจะตายไป และได้ยินว่าเป็นนักรักที่เยี่ยมยอดอีกด้วย
What is your name ? and what do you do in Bangkok ? หนุ่มคนนั้นถามชื่อ และอาชีพของผม
ผมชื่อ......เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผมตอบไป และกลับเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเองต่อ ถึงที่มาอันน่าจะเป็นไปได้ของ My name is Luka ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เหตุไฉนชื่อนามแฝงนี้ถึงกระตุ้นความสนใจอย่างมาก ...เค้าอาจจะเป็นคาธอลิคนะ ผมนึกไปถึงชื่อพระคริสตธรรมคัมภีร์บทนักบุญลูกาที่เคยอ่าน My name is Kenji. I am a Japanese. Nice to meet you .What do you study ? อ้าวเป็นคนญีปุ่นหรอกเหรอ ผมแปลกใจ ที่การคาดคะเนของตนเองผิดพลาดหมด และปกติหนุ่มญี่ปุ่นก็แทบจะไม่เข้ามาในห้องแชทของไทยเลย
็How old are you ? May I ask ? I am 20 years old. เขาถามอายุผมอย่างสุภาพ และบอกอายุของตัวเองมาก่อน
I am 19 ผมตอบ และไม่รู้คิดยังไง ผมก็ถามอีเมล์ของเขากลับไปตอนนั้นด้วย
kenji4you@......... เขาตอบกลับมา
ชื่อ My name is Luka หมายถึงอะไรเหรอ เฮ้อ โล่งใจ ในที่สุดก็ถามคำถามนี้ออกไปจนได้ ผมคิด
It is the name of a song . Have you ever heard this song ? It is about an abused child. มันมาจากชื่อเพลงน่ะ คุณเคยฟังหรือเปล่า เป็นเพลงเกี่ยวกับเด็กที่ถูกล่วงละเมิด(ทางเพศ ??) อ่านคำอธิบายของนายเคนจิแล้ว ก็ให้ประหลาดใจรอบสอง ถึงที่มาของนามแฝงแสนยาวของเขา
My name is Luka I live on the second floor I live upstairs from you Yes I think you've seen me before
พลันที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตต่อติด ผมก็วิ่งกลับไปชั้นบน ร้อนรนล็อคอินเข้าไปในห้องแชท หากแต่ไม่พบ My name is Luka อยู่ที่นั่นแล้ว ด้วยความผิดหวัง ผมไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่า ส่งอีเมล์ไปขอโทษเคนจิ และเลิกเล่นอินเตอร์เน็ตเดินกลับบ้านอย่างเซ็ง ๆ ตอนใกล้ตีสอง
แต่ถึงจะคิดหาเหตุผลร้อยแปด ผมก็ไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้ผมโกรธเคนจิได้ "Sure I will not get angry at you. Do not worry. Go on" ไม่หรอกผมจะโกรธคุณทำไมกันล่ะ อย่ากังวลไปเลย จะบอกอะไรก็ว่ามา เคนจิเงียบไปสามสี่นาที จนผมต้องพิมพ์ถามว่า "Are you Ok ?" เป็นอะไรรึเปล่า
" I LOVE YOU..... CAN YOU BE MY BOYFRIEND? .....DARLING" ประโยคตอบจากเคนจิ ที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่า โลกนี้เป็นของผมคนเดียว และผมกำลังลอยอยู่ในอากาศ ผมตอบเขาด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบโรมาจิ (romaji) คำเดียวสั้น ๆ ว่า "HAI"
เคนจิพิมพ์คำว่า YEAHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHH !! THANK YOU DARLINGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGGG !!!
"อะไรน่ะ เคนจิ จะโอนเงินมาหรือไง อย่ามาเล่นตลกนะ เราไม่เคยเห็นหน้ากันนะ" ผมแย้งเขา "Just tell me your bank account, do not be so serious, darling." เขาตอบมาง่าย ๆ ผมถอนใจ แต่ก็ไม่คิดว่าหนุ่มเลือดบูชิโดจะกล้าโอนเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาจริง ๆ จึงบอกหมายเลขบัญชีไป
If I wont transfer you money, will you be angry ? ถ้าผมไม่โอนเงินให้ คุณจะโกรธผมไหม ผมหัวเราะลั่น ก่อนจะบอกเคนจิว่า You are silly , how can I be angry ? I always tell you not to send it. จะบ้าเหรอ ผมจะโกรธคุณได้ไง ผมเองเป็นฝ่ายบอกตลอดว่าอย่าโอนเงินมานะ เคนจิพิมพ์ตอบกลับมาว่า Thank you darling. I love you. จากนั้นผมก็ชวนเคนจิคุยเรื่องอื่น เพราะผมกลัวว่า เรื่องนี้จะทำให้คนที่ผมรักไม่สบายใจ
ผมบอกเค้าว่า เห็นไหม คุณมาหาผมง่ายกว่าตั้งเยอะ แล้วก็พิมพ์สัญลักษณ์ XOXOXOXOXO ไปยาวเหยียด ความหมายของอักษรดังกล่าว คือเรา make love กันทางภาษาครับ อิอิ เคนจิพิมพ์ตัวอีโมหัวกลมหน้าแดงกลับมา น่ารักซ้าาาาาาาาาาาาา วันรุ่งขึ้น ผมอยู่ที่มหาวิทยาลัย ขณะกำลังจะเดินไปตลาดนัดวันศุกร์เพื่อซื้อข้าวเหนียวหมูทอดของโปรด โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น.....
ผมนึกถึงหน้าตาเกลี้ยงเกลา ผิวขาวอมชมพู คิ้วหนาเข้ม และริมฝีปากบางได้รูปของเขา ขณะนั่งรถ ปอ. 7 กลับบ้านที่ปิ่นเกล้า ระหว่างที่รถติดสัญญาณไฟแดงอยู่ที่แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น ผมก็ส่ง sms บอกเคนจิว่า Thank you Papa, I will go to buy a lot of candies at the Japanese embassy on Monday. เขาส่งข้อความกลับมาแทบจะในทันทีว่า Good, my son !! 5 5 5 5
"It is the cheapest ticket I can find."........ ตั๋วเนี่ย ราคาถูกที่สุดเลยนะ ผมบอกอย่างภูมิใจ "In Japan we say, if you want to pay more, then buy the cheap thing. " ในญี่ปุ่น เรามีภาษิตว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย .......เคนจิพิมพ์กลับมา "อยากจะจ่ายเงินเพิ่ม ก็จงซื้อของถูกว่างั้นเถอะ"
It's such a sweet story. I like your point of veiw of love. it's very positive, and I really like this sentence' Thank you Papa, I will go to buy a lot of candies at the Japanese embassy on Monday.' Take care na ja
ผมชอบจัง เวลาอ่านเหมือนผมอยู่ในเหตการณ์ด้วย ผมมองเห้นภาพอะ ได้แต่อิจฉานะ อิจฉาคับ..เกย่า อิจฉาจิงๆ