เมื่อข่าวร้ายมาเยือน...
ไม่รู้จะเริ่มไงดี แบบว่าไม่คิดว่าตัวเองจะมีวัีนนี้ เพราะที่บ้านก็ไม่มีประวัติ ไม่มีอะไรเลย ก็เลยช็อคเล็กน้อย ตอนได้ยินว่าตัวเองเป็น "มะเร็งเต้านม"
เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าอกข้างขวาตอนท้องได้ประมาณ 8 เดือนละ แล้วก็บอกคุณหมอประมาณวันที่ 21 ธันวาคม 2552 ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นอะไร คาดว่าเป็นแค่ซีสต์ธรรมดา แต่ก็ได้ให้เราเอาจดหมายส่งต่อให้คุณหมอที่ห้องคลอดด้วยตอนไปทำคลอด...
14 มกราคม 2553 หมอใหญ่ขออัลตร้าซาวด์ดูก้อนเนื้อ เสร็จแล้วก็ขอเึจาะเนื้อเยื่อไปตรวจเลย ตกใจมากๆ ขอหมอไปเจาะเนื้อเยื่อเป็นวันรุ่งขึ้นแทน ขอเวลาทำใจหนึ่งคืนก่อน
15 มกราคม 2553 ประมาณเที่ยงคุณหมอมารับตัวไปเจาะเนื้อเยื่อ ไปนั่งรออยู่พักนึง รอให้หมอใหญ่มา ก็ทำการกรีดระหว่างรักแร้กับหน้าอกด้านขวาให้เล็กที่สุด ตอนนี้เจ็บมากๆ อ้ะ แล้วจึงทำการฉีดยาชา จากนั้นก็สอดเข็มเจาะเข้าไป หาเป้าหมายแล้วทำการเจาะ เราได้ยินเหมือนเสียงกดปากกาลูกลื่น กิ๊ก อยู่แค่นั้น หมอทำอยู่ประมาณ 5 ครั้งแล้วก็เสร็จ หมอปิดแผลแล้วก็บอกว่าผลจะมาประมาณเที่ยงวันจันทร์
18 มกราคม 2553 ไม่ได้คิดไรเลยวันนี้ เพราะไม่คิดว่าจะได้ข่าวร้าย...9โมงกว่า หมอใหญ่เดินนำเข้ามาในห้องเลย รู้ตัวเลยว่าตัวเองหน้าเสียนิดๆ พร้อมกับถามหมอไปตรงๆ ว่า ผลออกมาไม่ดีใช่มั้ย คุณหมอตอบว่าใช่ หมอถามว่าอยากให้สามีมาก่อนแล้วหมอค่อยพูดหรือจะให้หมอพูดเลย เราบอกให้หมอบอกเลย แล้วหมอก็บอกว่ามันเป็นเนื้อร้าย ระดับที่ 2 เพราะขนาดตอนนี้คือ 4 ซม. ซึ่งมีสองทางเลือกคือ
1. ผ่าออกแล้วค่อยทำคีโม
2. คีโม ให้เล็กลงก่อน แล้วค่อยผ่า (หมอแนะนำข้อนี้)
และหลังจากนี้เราต้องผ่านการตรวจร่างกายทั้งหมด ว่ามีอะไรแปลกปลอมอีกมั้ย แข็งแรงดีรึป่าว ก็ต้องทำการตรวจกระดูก ตรวจหัวใจ ตรวจปอด และต้องเลิกให้นมลูกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เท่่านั้นแหล่ะค่ะ เราร้องไห้โฮเลยแหล่ะ ก็วางแผนมาอย่างดีว่าจะให้นมลูกให้ได้เหมือนลูกคนแรก นี่เพิ่งให้เค้าได้ไม่กี่วัน น้ำนมก็เพิ่งจะมาเต็มที่เมื่อคืนนี้คืนแรก ก็ต้องมาหยุดให้แล้ว มันโหดร้ายมาก แล้วลูกเราจะเป็นไง
หลังจากบอกแล้วหมอก็ขอตัว แต่ก็ถามว่าจะให้โทรเรียกใครมั้ย จิตแพทย์ บาทหลวง เราบอกไม่เอา อารมณ์นี้ ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากเจอใครเลย แต่ก็กดมือถือหาสามี เค้าก็ตรงบึ่งมาหาเราเลย
ไม่ได้มีเวลาคุยกันเลย เพราะตอนสามีมาเราก็เพิ่งจะกลับมาจากทำ Mammographie ยังไม่ทันได้นั่งคุยกันก็โดนส่งตัวไปแผนกนิวเคลียร์ และแผนกอัลตร้าซาวน์ต่อเลย เกือบบ่ายสามแน่ะ กว่าจะเสร็จหมด ได้นั่ง และสามีเองได้ทานข้าวกลางวัน แล้วเราก็คุยกัน เราไม่ได้ร้องไห้มากมายอย่างที่คิด ส่วนสามีนั้นเรารับรู้ได้ถึงความเครียดของเค้าดี...แต่ในเมื่อมันมาแล้ว เราก็ต้องสู้ ตอนนั้น เรารู้แล้วว่าผู้ชายสามคนในชีวิตของเรา ขาดเราไม่ได้เป็นแน่ เราต้องสู้สิ แล้วเราก็ต้องชนะด้วย
Create Date : 25 มกราคม 2553 |
|
9 comments |
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2553 23:39:49 น. |
Counter : 877 Pageviews. |
|
|
|