ออกกำลังกาย ลด อ้วนลงพุง


ขึ้นขื่อว่า “พุง” ใครๆก็ไม่อยากมี แต่ก็มีกันเกือบแทบทุกคน ยิ่งพนักงานออฟฟิตหรือนักธุรกิจทั้งหลาย ลองก้มดูที่หน้าท้องสักนิดซิว่า … ตอนนี้เรามีพุงแล้วหรือยัง? พุงหรือหน้าท้องที่ยื่นล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา อ้วนลงพุงเป็นสิ่งที่สะดุดสายตาก็จริง แต่เชื่อว่าหลายคนคงไม่อยากต้อนรับเจ้าพุงนี้สักเท่าไหร่ทั้งทำให้ขาดความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าสวยตามเทรนแฟชั่นต่างๆสูญเสียบุคลิกภาพที่ดี ร่างกายเคลื่อนไหว ไม่คล่องตัวแถมยังก่อให้เกิดโรคต่างๆนาๆ ตามมา


อ้วนลงพุง วัดรอบเอว รู้เลย
คุณรู้หรือไม่ว่าหากใครที่มีรอบเอว สำหรับผู้หญิงเกิน 33 นิ้วและผู้ชายเกิน 36 นิ้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome ) เป็นภาวะที่อ้วนโดยเฉพาะส่วนเอวและทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ อาจจะเกิดจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติส่งผลทำให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในที่สุดจะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงและเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ดังนั้นเราควรตระหนักและหันกลับมาเอาใจใส่สุขภาพกันให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ตามมาด้วยการ “ลดพุง ลดโรค” กันนะ

อย่างไรก็ตามมีวิธีตรวจสอบคร่าวๆว่าเราอ้วนลงพุง มี ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) มากน้อยเกินไปหรือไม่ สามารถวัดได้จาก เครื่องวัดไขมันในร่างกาย (Body Fat Scale) สามารถตรวจวิเคราะห์ปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกาย ตรวจวิเคราะห์ มวลไขมัน (Body Fat) ได้แล้วยังวิเคราะห์มวลกล้ามเนื้อ (Muscle Mass) และมวลกระดูก (Bone Mass) ในร่างกายได้อีกด้วย สามารถคำนวนได้เองว่าเราอ้วนลงพุงหรือเปล่า ดูรายละเอียดได้จากตารางด้านล่าง

ออกกำลังกาย ลด อ้วนลงพุง


อีกวิธีที่วัดว่าเราอ้วนลงพุงหรือเปล่า วิธีนี้เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement วิธีนี้ง่ายมาก มีเพียงสายวัดอันเดียวก็ทำได้แล้ว ให้หยิบสายวัดตัวขึ้นมา จุดแรกให้วัดที่ เอว โดยห้ามแขม่วท้อง จุดที่สองให้วัดที่ส่วนที่กว้างที่สุดของสะโพก หลังจากนั้นนำค่าที่ได้มาหารกันดังนี้


ค่า Waist-to-Hip Ratio = รอบเอว / รอบสะโพก


ในผู้ชาย ถ้าค่าที่ได้ มากกว่า 0.95 แสดงว่ามี ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) มากเกินไป
ในผู้หญิง ถ้าค่าที่ได้ มากกว่า 0.80 แสดงว่ามี ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) มากเกินไป


ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
ใช่แล้ว ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เกิดจากการที่เราไม่ได้ออกกำลังกาย และทำให้หายไปด้วยการออกกำลังกาย! อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (CARDIO)เป็นเวลา 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถช่วยลด ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ในผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรืออ้วนลงพุงที่มีอายุระหว่าง 50-75 ปี ได้ 3.4-6.9% ด้วยกัน มันไม่เหมือนกับไขมันใต้ผิวหนัง ไขมันใต้ผิวหนังเกิดจากการที่เรารับแคลอรี่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะใช้หมด ร่างกายจึงนำไปเก็บสะสมไว้ แต่ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เกิดจากการที่เรามีไลฟ์สไตล์ที่มีการเคลื่อนไหวน้อยในแต่ละวัน


มวลไขมัน & มวลกล้ามเนื้อ
หลายๆ คนที่เป็นโรคอ้วนหรืออ้วนลงพุง เมื่อเริ่มออกกำลังกายไปสักพักจะพบว่ากางเกงหลวมขึ้นทั้งๆที่น้ำหนักยังคง ที่เท่าเดิม คำอธิบายโดยทั่วไปก็จะบอกว่าเพราะมวลกล้ามเนื้อมีมากขึ้นและมวลไขมันมีน้อยลงจึงทำ ให้น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง(ประมาณว่าน้ำหนักไขมันลดลงแต่มีน้ำหนักกล้ามเนื้อ มาแทน) แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นมวลไขมันชนิดแรกที่ถูกเบิร์นจากการออกกำลังกาย ดังนั้นเมื่อ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งแข็งและอยู่บริเวณช่องท้องหายไป เราจึงรู้สึกว่าพุงเรายุบลง


ลดพุง ลดโรค จริงไหม
แต่ไขมันตัวร้ายจริงๆอยู่อีกที่หนึ่ง ไขมันชนิดนี้เรียกว่า ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งอาศัยอยู่ภายในบริเวณช่องท้อง มันอยู่ลึกลงไปในท้องของเรา มันเป็นไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน ไขมันชนิดนี้จะแข็งกว่า มันเป็นไขมันที่ทำให้พุงของเราแข็งเสมือนกับกินลูกบอลลงไปเลยยังไงยังงั้น ทุกๆคนมีเจ้านี่เป็นจำนวนที่แตกต่างกันไป มวลไขมันชนิดนี้ยิ่งมีเยอะยิ่งอันตราย อ้วนลงพุงมันเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงหลายชนิดทีเดียว เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันสูง และโรคอื่นๆอีกมากมาย


อ้วนลงพุง มาจากไหน
อย่างที่บอกข้างต้นอ้วนลงพุง ที่มีไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ถูกสะสมหลักๆจากการที่เรามีไลฟ์สไตล์ที่อยู่นิ่งเป็นเวลานาน แม้ว่าคุณจะผอมคุณก็สามารถมีไขมันชนิดนี้สูงจนเป็นอันตรายได้ คนผอมที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจส่วนหนึ่งก็เพราะสาเหตุนี้แหละ ลดอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ช่วย ไปดูดไขมันออกตามคลินิกก็ไม่ช่วยอะไร ไขมันที่ถูกดูดออกเป็นมวลไขมันใต้ผิวหนังเท่านั้น มีวิธีเดียวที่จะกำจัดไขมันอันตรายนี้ได้คือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเท่านั้น


คาร์ดิโอ (CARDIO) & หุ่นฟิตเฟิร์ม
ข้อมูลอ้างอิงจากสถาบัน ACSM ของประเทศสหรัฐบอกไว้ว่า การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (CARDIO) เป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยทำให้มีสุขภาพดีหุ่นฟิตเฟิร์มอีกด้วย การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (CARDIO) เป็นวิธีการบริหารร่างกายเพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตมีการสูบฉีด และเผาผลาญมวลไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรูปแบบการออกกำลังกายจะมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ ตีเทนนิส ตีแบต เต้นแอโรบิก เป็นต้น เพียงแค่ทำคาร์ดิโอโดยการ เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น วันละ 30 นาที 5 วัน) ก็สามารถที่จะลด ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ลงได้อย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว ดังนั้นถ้าคุณอ้วนลงพุง ก็ควรได้เริ่ม มาขยับตัวเพื่อสุขภาพของตัวเราเองกันนะ


คาร์ดิโอ (CARDIO) & ไขมันรอบเอว
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยลดไขมันรอบเอวได้อย่างไร เมื่อคุณรับประทานแป้งเข้าไป แป้งจะถูกเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นน้ำตาล ซึ่งถ้าหากเหลือใช้ก็จะถูกนำไปเก็บไว้เป็นไกลโคเจนตามกล้ามเนื้อ หรือตามตับ เมื่อไกลโคเจนมีมากจนล้นที่เก็บ ร่างกายก็จะนำไปเก็บไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น รอบเอว เป็นต้น ในรูปแบบของไขมันแทน แต่เมื่อมีการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้เซลล์มีความต้องการใช้ออกซิเจนที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายต้องการน้ำตาลมากขึ้น ซึ่งน้ำตาลที่สามารถเบิกมาใช้ง่ายที่สุดก็คือ ไกลโตรเจน ตามกล้ามเนื้อนั่นเอง เมื่อถูกนำมาใช้ที่เก็บก็จะว่างลง ดังนั้นจึงไม่เกิดการล้นไปสะสมเป็นไขมันในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง


Cr.DooDeeDai,Kapook,Beauty24