|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
17 ธันวาคม 2552
|
|
|
|
เมื่อใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี ที่อ่างขาง
จากกรุงเทพฯ ผมใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงในการขับรถผ่านถนนสายเอเชีย มุ่งสู่ทางภาคเหนือ ผ่านนครสวรรค์ ตาก กำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน และ เชียงใหม่ เมื่อเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ผมหักเลี้ยวขวา เข้าสู่ถนนหมายเลข 107 มุ่งตรงสู่อำเภอฝาง อำเภอที่พยายามจะเรียกร้องขอตั้งตัวเอง เป็นจังหวัด สาเหตุนั้น ถ้าใครได้ขับรถไปน่าจะทราบได้ด้วยตัวเองดี เพราะระยะทางที่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างมาก ทำให้การติดต่อส่วนราชการค่อนข้างลำบาก เมื่อมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 137 ผมเลี้ยวซ้าย ขึ้นสู่ดอยอ่างขาง ระยะทางขึ้นดอยในช่วงนี้ เพียง 25 กิโลเมตรเท่านั้น และมีช่วง 11 กิโลเมตร ที่เป็นทางขึ้นสูงชัน ชวนให้หวาดเสียวกว่าทุกๆดอยที่เคยไปมา ถ้าใครที่ใจไม่กล้าพอ หรือควบคุมพวงมาลัยไม่คล่อง แนะนำให้ขึ้นดอยช่วงกิโลเมตรที่ 79 ระยะทางไกลกว่า แต่สบายใจกว่า เพราะเป็นเส้นทางเลาะเขามาตลอดทาง รวมถึงมีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นกัน แต่จะงามกว่าอีกด้านหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ เพราะตอนขับ ผมไม่มีเวลาที่จะมองข้างทาง เพราะกลัวตกเหว...
อากาศช่วงที่ผมไปนั้น ตัวเมืองเชียงใหม่ ยังค่อนข้างร้อน แต่ยอดดอย ประมาณ 4-9 องศา ซึ่งสำหรับคนเมืองคอนกรีตอย่างผม ถือว่าหนาวทีเดียว และด้วยความหนาวเย็นแบบนี้เอง ทำให้ผมได้สัมผัสกับฤดูใบไม้ร่วงแบบเดียวกับประเทศในเขตหนาวอื่นๆ เช่นกัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูนี้ ที่พบเห็นได้คือ ใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปนั่นเอง ^_^
ผมเลือกพักทีจุดกางเต้นท์ก่อนถึงสถานีเกษตรอ่างขางเพียงเล็กน้อย และก่อนถึงแยกทางขึ้นบ้านนอแล ซึ่งเป็นจุดชมวิวในยามเช้า ค่าที่พักกางเต้นท์รวมถึงถุงนอน ผ้ารองนอนเพียง 200 เศษๆ เท่านั้นเองสำหรับสองคน
หมู่ต้นสนที่โอบล้อมเต้นท์นักท่องเที่ยวในยามเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ผมเลือกพักทีจุดกางเต้นท์ก่อนถึงสถานีเกษตรอ่างขางเพียงเล็กน้อย และก่อนถึงแยกทางขึ้นบ้านนอแล ซึ่งเป็นจุดชมวิวในยามเช้า ค่าที่พักกางเต้นท์รวมถึงถุงนอน ผ้ารองนอนเพียง 200 เศษๆ เท่านั้นเองสำหรับสองคน
เมื่อเสร็จภาระกิจในยามเช้า หลังดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมแวะลงไปทางสถานีเกษตรอ่างขาง เพื่อเยี่ยมชมการเพราะปลูกไม้ดอกไม้ผลเมืองหนาว ซึ่งสถานที่แห่งนี้เองที่ให้ผมได้พบเห็นกับใบเมเปิ้ล ที่ถูกปลูกขึ้นที่เมืองไทย ความสวยงามตอนมันเปลี่ยนสี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศในแถบหนาว มันจะสู้ไม่ได้แค่เพียงปริมาณที่น้อยกว่าเท่านั้น
ใบเมเปิ้ลที่พบเห็นที่นี้ มีอยู่หลายแบบ ตั้งแต่ 3 แฉก 5 แฉกแบบใบ Momiji ของญี่ปุ่น หรือ 5 แฉกแบบทางที่เคยเจอในยุโรปและอเมริกา
หลายคนสงสัยว่าทำไม ใบไม้มันถึงเปลี่ยนสีได้ พูดกันง่ายๆคือ สีเขียวหรือที่เราเรียกว่าคลอโรฟิลด์ที่เห็นในใบไม้นั้น มันไม่เสถียร หรือไม่คงทนนั้นเอง แต่จะถูกสร้างอยู่ตลอดเวลาด้วยแสงแดดและอากาศที่อบอุ่นพอ ดังนั้นคนในเขตร้อนอย่างพวกเราจึงมักเห็นใบไม้มีแต่สีเขียวตลอดเวลา แต่ในบริเวณหรือเขตที่มีอากาศหนาวที่ยาวนานนั้น พืชไม่สามารถสร้างสารสีเขียวขึ้นมาได้ จึงปรากฎสารสีอื่นๆที่อยู่ในใบไม้อยู่แล้ว แต่มีน้อยกว่าสีเขียว เช่นสีแดง และสีเหลืองปรากฎขึ้นมาแทน ก่อนที่จะแห้งเหี่ยวและร่วงหล่นไป
ใบที่มีสีเหลือง เหลือเพียงแคโรทีนให้เราได้เห็น ความหนาวในดอยอ่างขางยามเช้าเช่นนี้ แม้แต่สุนัขยังมีไอออกจากปากขณะเคี้ยวอาหารเลย
ใบเมเปิ้ลยามร่วงหล่นสู่เก้าอี้นั่ง
ใบที่เริ่มแห้ง รอเวลาร่วงหล่นสู่พื้นดิน
ใบไม้ใบเดียว.....
ยังมีบางใบที่ยังคงเหลือสีเขียวอยู่
เริ่มที่จะเหลืองเมื่อต้องลมหนาว
แอบซ่อนการเปลี่ยนสีใต้ร่มเงา
ความหนาวก่อเกิดสีสันแห่งธรรมชาติ
เมื่อสายลมพริ้วไหวพัดผ่านใบไม้แต่ละใบ เหมือนเครื่องดนตรีทีบรรเลงบทเพลงขับกล่อมได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย..อยากนั่งทำงานอยู่ที่นี่แทนกรุงเทพฯได้ไหมเนี้ย
เมื่อฟ้าและแดงมาบรรจบกัน
ใบเล็กหรือใบใหญ่ไม่ได้เป็นตัวการันตีถึงการคงอยู่บนต้นได้นานที่สุด เหมือนมนุษย์เราที่คนตัวเล็กกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่อ่อนแอกว่าเสมอไป
นอกจากนี้ภายในสถานีฯ ยังกำลังเพาะปลูกต้นบ๊วย ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับพญาเสือโคร่ง ผมเคยเห็นสีขาวและชมพูตอนไปที่ญี่ปุ่น ถ้ามันออกดอกเต็มต้นเมื่อไหร่ ที่นี้ก็น่าจะสวยงามเช่นกัน
ขาลงจากดอยอ่างขาง ผมได้รับของแถมอย่างหนึ่ง ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ เพราะยังไม่ใช่ช่วงที่มันจะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว นั่นคือพญาเสือโคร่งที่เริ่มออกดอกให้เห็นประปรายตามทางลงจากดอยอ่างขาง ช่วงก่อนแยกเข้าทางไปอำเภอเชียงดาว
ชูยอดทะยานสู่ท้องฟ้า อีกสาเหตุหนึ่งที่มันชื่อพญาเสือโคร่ง เพราะความที่ไม่ยอมอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใดๆ ของมันนั่นเอง
ดูดอกมันกันใกล้ๆอีกสักนิด
border=0>
การร่วมกันสร้างสีสันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ มนุษย์ใช่เพียงแต่จะคอยทำลายธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว
คืนที่สองผมกลับไปพักบนดอยปุย ซึ่งอยู่ก่อนถึงหมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน อากาศเย็นสบายประมาณ 9-13 องศา ที่นี่เอง ที่ผมชอบมาก เพราะหลังสามทุ่มไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ทำให้ผมพบกับทะเลดวงดาวที่ผมเคยเห็นยามไปใช้บริการท้องฟ้าจำลองสมัยเด็กๆ แต่ที่นี้ ไม่มีเครื่องสร้างท้องฟ้าจำลองขวางกั้น นั่งดูนานเท่าไหร่ก็ได้
หน้ากล้องที่เปิดนาน 30 นาที ทำให้เห็นเส้นทางเดินของดวงดาว (จริงๆ เราต่างหากที่หมุนรอบตัวเอง เอ๊ะ หรือเธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ)
มืดไปหมด มีเพียงแต่ดวงดาว นั่งดูแล้วนึกถึงเพลง ก้อนหินละเมอขึ้นมาเลย "มองไปไกล ที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล อยากจะไป ไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ ดวงดารา เหมือนไม่มีวันจะพบเธอ อยากให้เธอ ส่องแสงลงมาพื้นดิน"
ตัวเมืองเชียงใหม่ ยามต้องแสง Twilight ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เตรียมบอกลาความหนาวเย็น กลับสู่โลกความเป็นจริงซะที บางครั้งทุกสิ่งที่มีสองด้าน มันก็ทำให้รู้คุณค่าของกันและกัน เหมือนอากาศร้อนและอากาศเย็น
พระอาทิตย์ปรากฎกายเหนือขอบฟ้า เมืองเชียงใหม่ ได้เวลาเก็บเต้นท์กลับบ้านแล้วสินะเรา..
บอกลาเมืองเชียงใหม่ ด้วยภาพดวงอาทิตย์น้อยๆ หลายดวงที่เกิดจากดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว.... แล้วพบกันใหม่นะครับ :D
Create Date : 17 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 21:58:21 น. |
|
13 comments
|
Counter : 6535 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ลมลวง วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:22:31:59 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:1:26:02 น. |
|
|
|
โดย: sillyeeyore วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:9:39:47 น. |
|
|
|
โดย: สิบโท (สิบโท ) วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:15:50:32 น. |
|
|
|
โดย: j a r n i k วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:0:49:41 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:16:52:06 น. |
|
|
|
โดย: ขึ้นเป้ วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:16:24:01 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:15:32:35 น. |
|
|
|
โดย: ไอฟายน้อย (Ces ) วันที่: 23 ธันวาคม 2552 เวลา:19:28:31 น. |
|
|
|
โดย: poongie วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:20:37:03 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 30 ตุลาคม 2554 เวลา:13:50:10 น. |
|
|
|
| |
|
|
หมีหุหุ |
|
|
|
|
MY VIP Friends
|
|
|