14 มี.ค.52 สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เช้าวันนี้ขณะที่ผมส่องกระจกอยู่ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้ตกตะลึง!!! (@_@)เงาในกระจกบ่งบอกว่ามันมีสีขาว มีลักษณะเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ ตำแหน่งที่มันล่องลอยอยู่น่ะหรือ...อยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของผมซะด้วย ที่สำคัญคือมันกำลังหลอกให้ผมรู้สึกสยองอยู่...บรื๋อออออ (o_o) นี่จะเวอร์ไปถึงไหน?...มันก็แค่ผมหงอกเส้นหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผมหงอกของตนเอง แต่...เอ่อออ...ผมไม่หลอกตัวเองหรอกนะว่าไม่เคยมีผมหงอกน่ะ เพราะน้องสาวชอบ ถอนหงอก (ที่ไม่ใช่สำนวน) ให้ผมอยู่บ่อย ๆ (ขอแก้คำผิดนีดส์ส์ส์นึง เป็น อยู่บ้าง ดีกว่า)สมัยผมยังเด็ก ๆ มีเพลงดัง (หรือเปล่า?) อยู่เพลงหนึ่งชื่อเพลง ทุยใจดำ พอโตขึ้นมาหน่อยมีหนังไทยสุดฮิต (หรือเปล่า?) เรื่อง ครูไหวใจร้าย แต่ผมว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรใจร้ายหรือใจดำมากไปกว่า ผมหงอก อีกแล้วเพราะมันปรากฏตัวเพื่อบอกเราสั้น ๆ เพียงแค่...เอ็งแก่แล้วแต่ในความใจร้ายยิ่งกว่าครูไหว ใจดำยิ่งกว่าทุยของมันก็ยังมีแง่มุมใจดีเหมือนกันนะ (อืม! เป็นการวางแคแรคเตอร์ตัวละครที่ดีมากเพราะดูไม่แบน มีแง่มุมหลากหลายให้คนดูได้รู้จัก) เพราะมันมักจะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มผม (คล้าย ๆ พุ่มไม้) แล้วก็บริเวณส่วนข้างหลังของหัวด้วย เพื่อเราจะได้ไม่เห็น (เร็ว ๆ) และไม่ต้องตกใจ (จนกว่าคนอื่นจะบอกเรา) เพราะฉะนั้นผมหงอกเส้นนี้จึงเป็นเส้นแรกที่หาญกล้าปรากฏกายให้ผมเห็นแบบจะจะเขาว่ากันว่าคนแก่มักชอบนึกถึงความหลัง ^^!...วันนี้ผมก็มีเรื่องต้องนึกถึงความหลัง เมื่อตัดสินใจเข้าไปเชียร์จุฬาฯ ยูไนเต็ดปะทะแข้งกับบางกอก กลาส เอฟ.ซี.ที่สนามจุ๊บจะว่าไปแล้วนี่เป็นสนามแข่งขันในฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกที่ผมเดินทางง่ายที่สุด ชินกับเส้นทางที่สุด...โดยผมตัดสินใจเลือกเดินทางด้วยการล่องเรือข้ามฟากจากท่าเรือคลองสานไปโผล่ที่ท่าเรือสี่พระยา จากนั้นก็นั่งรถตู้ไปลงบริเวณอุโมงค์ (เค้าว่ากันว่าเป็นอุโมงค์คนมุดลอดใต้ถนนแห่งเดียวในประเทศไทย) ตามแบบที่ผมเคยเดินทางไปมหาลัยสมัยเรียนอยู่เปี๊ยบ (เพียงแต่ยุคนั้นรถตู้ยังไม่มี ต้องนั่งรถเมล์สาย 36) จากนั้นก็ต่อรถเมล์สาย 2 และสาย 9 เพื่อไปยังสนาม (2 เท้า 9 เดินน่ะ)
บนเส้นทางที่ผมผ่าน...บางอย่างก็ดูเหมือนเดิม แต่บางอย่างก็ดูเปลี่ยนไปที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือสังเวียนแข้งในวันนี้นี่แหละที่โมดิฟายใหม่ซะจนจำไม่ได้ ทั้งป้ายชื่อสนาม, ประตูทางเข้า, พื้นสนามหญ้า ฯลฯ แต่มีอยู่อย่างนึงที่ดันไม่เปลี่ยนคืออัฒจันทร์ที่เก้าอี้ดูเก่า ๆ เขลอะ ๆ แต่ดีนะที่ผมเป็นคนอยู่ง่าย กินง่ายจึงไม่รังเกียจที่จะหย่อนก้นลงนั่งแล้วผมก็คิดถึงวันเก่า ๆ
สมัยเรียนผมเคยลงเตะในสนามจุ๊บหลายนัด แต่นัดที่ผมจำได้แม่นที่สุดคือตอนเรียนปี 2 ในศึกฟุตบอลระหว่างคณะเรา (นิเทด) เจอกับ สินกำ ที่ยืมตัวจุฬาฯมาเล่นครบโควต้า (นักฟุตบอลส่วนใหญ่เรียนครุฯ แล้วถ้าขนลงหมด คณะอื่นก็คงสู้ไม่ได้ เขาจึงกำหนดให้ลงได้แค่ 3 คน แล้วคนที่ไม่ได้ลงให้ครุฯล่ะจะทำยังไง?... ก็ให้คณะอื่นมีสิทธิ์ยืมตัวได้คณะละ 3 คนน่ะสิ) หนึ่งในนั้นคือ ไอ้จ้อน จีรพงศ์ เพ็ชรโชติ อดีตนักฟุตบอลสวนกุหลาบ (เรียนรุ่นเดียวกับผมด้วย) และจังหวัดสงขลาที่ว่ากันว่าน่าจะเป็น แก๊ซซ่าเมืองไทย ได้ไม่ยากเลยส่วนคณะเราไม่ใช้สิทธิ์นั้นแค่นาทีแรกผมก็คลึงบอลหลบกองหลัง พลิกตัวเข้าไปในเขตโทษ แล้วก็โดนรวบ...ปรี๊ด!!!...จุดโทษน่าเสียดายที่ลุงรหัสของผมสังหารพลาด แต่ถึงกระนั้นคณะที่มีผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชายอย่างพวกเราก็สู้ได้สูสีจนเสมอ 2-2 จนกระทั่งนาทีสุดท้ายไอ้จ้อนจับบอลได้นอกเขตโทษ ดูแล้วไม่น่ามีอันตรายเลย แต่หมอนี่กลับสร้างความมหัศจรรย์ได้ โดยการยิงลูกใบไม้ร่วงเข้าไป...และมันเป็นประตูชัย!!! T_Tแล้ววันนี้จีรพงศ์หายไปไหน? ผมตอบไม่ได้ รู้เพียงว่าถ้าเขามุ่งมั่นบนถนนสายลูกหนัง วันนี้ก็น่าจะเป็น 1 ในขุนพลทีมจุฬาฯ ยูไนเต็ดแน่นอนทีมลูกพระเกี้ยวงัดเอานักเตะที่รับใช้ทีมมานานและแน่นอนว่า อายุเยอะ ลงสนามหลายคนอย่างวรชัย สุรินทร์ศิริรัฐและจตุพงษ์ ทองสุข เป็นต้น ในขณะที่นักเตะรุ่นใหม่ฟอร์มแจ๋ว ๆ กลับย้ายไปหาความสำเร็จกับทีมอื่นหมด จึงไม่น่าแปลกที่ถูกยกให้เป็นทีมเต็งตกชั้น
นักเตะที่สร้างความเซอร์ไพร้ส์มากที่สุดที่จุฬาฯดึงตัวมาเล่นในฤดูกาลนี้ก็คือวรวุธ ศรีมาฆะในวัย 38 ปี ตอนที่ผมเรียนอยู่ม.2 พี่โย่งเรียนม.6 แล้วผมก็คิดถึงวันเก่า ๆ (อีกครั้ง)ฟุตบอลแกรนด์สปอร์ต ซัมเมอร์คัพครั้งที่ 2 เมื่อปี 2532 แม้โรงเรียนวชิราวุธจากสงขลาจะไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่นักเตะที่แจ้งเกิดได้คือนักเตะรูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างวรวุธ ศรีมาฆะ ด้วยส่วนสูงแบบนี้จึงเป็นใบเบิกทางให้เขาติดทีมนักเรียนไทย รวมทั้งได้มาเรียนที่สวนกุหลาบด้วยปีนั้นทีมชมพู-ฟ้าฟอร์มแจ่มมาก ได้เข้าชิงจตุรมิตรกับอัสสัมชัญ ทุกคนในโรงเรียนมั่นใจว่าเราจะเป็นแชมป์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด เมื่อทีมอินทรีแดงยิงขึ้นนำก่อนช่วงท้ายเกมด้วยสกอร์ที่เป็นรอง นักเตะสวนกุหลาบทุกคนเกิดหมดไอเดียขึ้นมา สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ คือมองหานักเตะหมายเลข 12 ที่มีรูปร่างสูง ๆ คนนั้น แล้วส่งบอลให้ เพื่อให้สตาร์ร่างโย่งขับเคลื่อนเกมเพียงลำพัง...แน่นอนว่ามันไม่เป็นผลแม้จะไม่ได้ส่งบอลให้วรวุธทำเกมเพียงคนเดียว แต่สิ่งที่นักเตะลูกพระเกี้ยวทำเป็นส่วนใหญ่คือการฝากบอลให้พี่โย่งใช้ความใหญ่พักบอลในแดนหน้า ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่ทีม เต็งตกชั้น อย่างจุฬาฯกลับสู้ทีม ม้ามืด อย่างบางกอก กลาสได้อย่างสูสี ถ้าจะมีอะไรที่ไม่สูสีเห็นจะเป็นกองเชียร์นั่นแหละ ที่ทางฝั่งสีเขียว-ขาวดูหนาแน่นตั้งแต่ก่อนเกม ส่วนฝั่งเจ้าบ้าน กองเชียร์ค่อยทยอย ๆ กันเข้ามาเชียร์กันเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่เสียง บีจี ๆ ๆ ดังกระหึ่มตั้งแต่เริ่มเกมและไม่มีช่วงเวลาที่เงียบเลย ในขณะที่เสียง จุฬาฯ ๆ ๆ กลับดังแล้วก็เงียบเป็นระยะ ๆ จนเวลาผ่านไปเกือบ 20 นาทีที่กองเชียร์สีชมพู (แซมสีอื่น ๆ ด้วย) เริ่มรวมตัวกันติดก็เชียร์แบบไม่หยุดเช่นกัน บางครั้งมีย้อนกองเชียร์ทีมเยือนกลับไปด้วย เช่นเมื่อผู้เล่นจุฬาฯถูกเตะลงไปนอน กองเชียร์ทีมเยือนส่งเสียงแซวเป็นการนับ 1-10 แล้วก็เฮกองเชียร์เจ้าถิ่นย้อนกลับไปว่า บอลไทยไม่ได้ไปมวยโลกนะเว้ย หรือในบางครั้งก็เบิ้ลกลับด้วยการนับ 11-20 มันซะเลย (o)(-)แต่ตัวเลขที่ทำให้กองเชียร์จุฬาฯนับอย่างเบิกบานมากกว่านั้นคือตัวเลข 1-0 ที่ปรากฏขึ้นบนสกอร์บอร์ด เมื่อหัวหอกแคเมอรูน เอริก แกมเดม โฟตูยิงให้ทีมนำไปก่อนและรักษาสกอร์ไว้ได้จนจบครึ่งแรก
เกมครึ่งหลังกลายเป็นทีมเยือนที่พับสนามบุกมากกว่าท่ามกลางเสียงเชียร์ของฝั่งสีเขียว-ขาว กลุ่มกองเชียร์ที่คุณศุภสิน ลีละฤทธิ์ ผู้จัดการทีมบีจีบอกว่าเป็นคนท้องถิ่นแถบ ๆ คลองสามซะ 60% แล้ว ในขณะที่กลุ่มพนักงานเหลือเพียงแค่ 40% เท่านั้น และในอนาคตจะขยายฐานกองเชียร์ที่เป็นคนนอกบริษัทให้มากขึ้นไปอีกทีมเจ้าถิ่นตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดต้องอาศัยอดีตดาวซัลโวไทยลีกอย่างวรวุธประคับประคองในแดนหน้า แต่ด้วยวัยขนาดนี้ แรงขนาดนี้ แผนการเล่นนี้จึงไม่ได้ผลมากกว่าได้ผล บางครั้งพี่โย่งก็โดน ถอนหงอก (อันนี้เป็นสำนวน) เอาด้วยซ้ำ เช่น พยายามบังบอลกะว่าคู่แข่งจะสะกิดแล้วได้ฟาลว์ แต่กองหลังบีจีรู้ทันจึงตั๊น ๆ เอาไว้ทำให้จอมเก๋าจากสงขลาทำอะไรไม่ได้...ก็เลยล้มลงไป นอกจากไม่ได้ฟาวล์แล้วยังเสียบอลไปซะอีก (*^_^*)ไม่กี่นาทีต่อมากรรมการสำรองถือป้ายเปลี่ยนตัวมาชูที่ข้างสนาม แต่ป้ายของที่นี่มีตัวเลขข้างเดียวและหันเข้าไปในสนามขอดูหน่อยว่าเบอร์อะไร? เสียงกองเชียร์จุฬาฯ ยูไนเต็ดร้องขอจัดไป สิงห์เชิ้ตดำที่ 4 ว่าแล้วก็หันป้ายกลับมาโชว์เบอร์ 34 ของวรวุธ ศรีมาฆะหรา นี่คือวินาทีสุดท้ายในเกมนี้ของพี่โย่ง...แต่ไม่ใช่แอคชันสุดท้ายเพราะหลังจากนั้นวรวุธจะเดินมาติว น้อง ๆ ที่ข้างสนามอยู่บ่อย ๆ ดูเขามีความมุ่งมั่นไม่น้อย
ช่วงท้ายเกมมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย เริ่มจากความโลเลของกรรมการที่ตอนแรกเป่าฟาลว์ แต่วินาทีต่อมาก็เปลี่ยนมาให้ทีมกระต่ายแก้วได้เตะมุมแทน...และนันทวัฒน์ แทนโสภาก็โหม่งตีเสมอได้ นั่นเป็นนาทีที่ 86นาทีต่อมาโกเน กาสซิมตัวสำรองของทีมเยือนก็มาทำสกอร์ให้ทีมพลิกกลับมานำ 2-1 ได้อย่างเหลือเชื่อ ลูกนี้วัชรพงษ์ กล้าหาญ นายทวารของลูกพระเกี้ยวพยายามปัดอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่กลับเอาไม่อยู่ก่อนจบเกมนักเตะทั้งสองทีมมีปัญหากันเล็กน้อยแต่ลงท้ายก็เคลียร์กันได้...แต่จะยังคาใจหรือเปล่า?...ไม่รู้ จบเกมแล้ว ผมเดินออกมาทางประตูข้างของสนาม ขณะที่เดินอยู่ก็คิดไปเองว่าตัวเองเป็น โคโกโรนิทรา (ในการ์ตูนเรื่องโคนัน นักสืบจิ๋ว) ที่ไปถึงไหน ที่นั่นมีเรื่องหมด แต่พอคิดอีกที...คงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมเพิ่งดูแค่ 2 เกมเอง...ยังเรียกว่า บังเอิญ ได้อยู่น่า
ถึงปากซอยจุฬาฯ 9 ผมนั่งกินบะหมี่ร้าน ไฮเช็ง ลูกชิ้นปลา ที่จริงไม่ได้หิวอะไรหรอก แค่อยากนั่งกินระลึกความหลังเท่านั้น เพราะตอนที่เรียนจบใหม่ ๆ ผมแวะมาเตะบอลที่คณะบ่อย ๆ เตะเสร็จก็ออกมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ตบท้ายผมสั่งเส้นเป๊าะแห้ง (เส้นคล้ายบะหมี่แต่ดูหนากว่า) พิเศษ (ไม่ใช่แห้งเป็นพิเศษ แต่เป็นก๋วยเตี๋ยวแห้ง ปริมาณพิเศษ) มานั่งกินกำลังคิดว่าจะ แล้วผมก็คิดถึงวันเก่า ๆ อีกครั้งเพื่อทำแฮท-ทริกซะเลย แต่คิดว่าไม่เอาดีกว่าเพราะรู้สึกเสียดายขึ้นมาว่าน่าจะสัมภาษณ์พี่โย่งสักหน่อยว่าอะไรบันดาลใจให้กลับมาเล่นฟุตบอลระดับอาชีพอีกครั้งผมคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก 18 เส้น ซดน้ำซุป (สั่งเพิ่ม) อีก 1 อึก ตบด้วยลูกชิ้นอีก 2 ลูก ^o^ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ไม่ถามแหละดีแล้ว เหตุผลจริง ๆ ของพี่โย่งจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ผมเข้าใจของผมเองดีกว่า (โดยนำสิ่งที่วรวุธทำในสนามมาประกอบการคำนวณ) ว่าเหตุผลที่คนวัย 38 ปีกลับมาเล่นอีกครั้งก็คือเพื่อกลับมาดื่มด่ำกับความทรงจำดี ๆ ได้คิดถึงวันเก่า ๆ ไปกับเกมลูกหนังที่เขารัก ก็เท่านั้นเอง