Coming Home (Thai food)
วันนี้อยากจะเล่าเรื่อง "กิน กิน กิน" อาหารไทยขึ้นมาติดหมัด ลงว่าอยากเล่าแล้ว คงไม่จบกันง่าย ๆ เชิญเพื่อน ๆ สำราญไปกับอาหารไทย อาหารประจำชาติของเราได้เลย ณ บัดนี้ แอ่น แอ้น แอ๊นท์....เปิดม่าน....
ฉันเป็นคนไทยโดยชาติกำเนิด เพราะถือว่าเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ฉะนั้นอาหารที่ถูกปากคุ้นเคยที่สุด ก็ย่อมไม่พ้นอาหารไทย เป็นอะไรที่กินได้ทุกวัน วันละ 3 มื้อ หากไม่นับโต้รุ่งด้วย ซึ่งผิดกับอาหารชาติอื่น ต่อให้แสนอร่อยแค่ไหน หากต้องกินติดต่อกันเป็นประจำทุกวัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งฉันคงต้องทำหน้า ใส่เป็นแน่
ทุกครั้งที่มีโอกาสกลับเมืองไทย สิ่งแรกที่ต้องทำคือ กิน กิน และกิน เพราะความเคยชินกับเศรษฐกิจแบบประทังตัวของครอบครัว ฉันจึงมักคิดว่าค่าครองชีพบ้านเราต้อง "ถูก" แบบกำแบงค์ 20 บาทไว้ในมือ ท้องฉันก็อิ่มไปได้ 1 มื้อ แต่ครั้งล่าสุด ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป๋ ข้าวของแพงขึ้น ร้านอาหารปรับราคาสูงขึ้น ฉันไปนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา (ไม่ได้อยู่อยุธยาหรอก แต่ร้านเค้าชื่อนั้น) ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือแถวบ้านที่ฉันกินมา 15 ปี มีระยะหลัง ๆ ที่ไม่ได้กิน เพราะลิ้นเริ่มมีระดับขึ้น มีอยู่วันหนึ่ง พ่อให้ฉันเลือกระหว่างก๋วยเตี๋ยวเรือ "หนูใหญ่" กับ "หนูเล็ก" เอ๊ะ...พ่อมามุขไหน หรือว่าเป็นชื่อของคนชงก๋วยเตี๋ยว....ฉันไม่รู้หรอก นึกว่าเป็นร้านใหม่ในละแวกแถวบ้าน เพราะสภาพแวดล้อมอะไร ๆ เปลี่ยนไป ร้านเก่าล้มหาย ร้านใหม่ผุดขึ้น....
ฉันเลือกร้านหนูตัวเล็ก เพราะฟังดูกระจุ๋มกระจิ๋ม...น่ารักน่าเอ็นดู น่าเสียดาย ร้านหยุดขายวันนั้น ไม่มีทางเลือก เออ...ไปร้านหนูตัวใหญ่ของพ่อก็ได้...ขับรถไปจอดริมฟุตบาธ "เอ๊ะ คุณแด๊ด..นี่มันเตี๋ยวเรืออยุธยานี่" (ไม่ใช่ร้านใหม่อะไรอย่างที่คิดไว้เลย) แล้วก็ถึงบางอ้อ....เพราะร้านนี้เป็นร้านไม่มีห้องหับ ใช้ผ้าใบขึงเป็นเพิง และมีหนูตัวขนาดลูกแมววิ่งให้เห็นในระยะเผาขนเป็นประจำ.....อ๋อย...พ่อหลอกฉันมากินร้านเดิม แต่ฝีมือพัฒนาขึ้น....ที่ซึ่งราคาก็แพงขึ้นด้วย แต่ก่อนชามละ 5 บาท 10 บาท เดี๋ยวนี้เป็น 15 บาท 20 บาทแล้ว....ไม่ธรรมดาเลย เศรษฐกิจบ้านเราดีขึ้นนะเนี่ย....ต่อไปจะมีแต่คนรวย ไม่มีคนจน ว๊าว ๆ ..... เพราะคนจนตายหมด
เมื่อเดือนสิงหาที่ผ่านมา ฉันและคนข้างตัวมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย 5 วัน เนื่องจากวันลามีน้อย จึงพยายามเก็บสแปร์ของกินให้ได้มากที่สุด เริ่มจากซื้อตั๋วการบินไทย สายการบินแห่งชาติ....เพราะเที่ยวนี้มีโปรโมชั่นราคาถูก....ปกติคนข้างตัวของฉันจะไม่ทานอาหารในเครื่อง เพราะต้องการเก็บท้องไปทานที่เมืองไทย ต่อให้เครื่องlandingดึกดื่นขนาดไหน ชนิด 5 ทุ่ม เที่ยงคืน...พ่อก็ต้องพาเขาไปทานอาหารไทยมื้อแรก ทันทีที่เหยียบผืนแผ่นดินไทย....แต่คราวนี้ "รักคุณเท่าฟ้า" มีอาหารอร่อยบริการ คือ ข้าวสุกี้ยากี้เนื้อ และข้าวฉู่ฉี่ปลา อร่อยมาก ฉันฟาดซะไม่เหลือซากไว้เป็นหลักฐานเลย หากเอาลิ้นเลียภาชนะได้ ฉันก็คงทำไปแล้ว คนข้างตัวก็เอ็นจอยกับสุกี้ยากี้เนื้อด้วย...แต่เขาก็ยังมาตักฉู่ฉี่ปลาคำใหญ่ไปกิน ฉันคิดว่าคืนนี้คงไม่ต้องหาโต้รุ่งกินแล้วซะอีก ที่ไหนได้ คนข้างตัวขอให้พ่อพาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใส เจ้ารถเข็นหน้าป้ายรถเมล์ตรงข้ามซอยบ้านเก่า สั่งใส่ถุงแยกน้ำแยกเส้น แล้วหิ้วกลับไปกินบ้านยามตี 1 กว่า ๆ
พ่อกับแม่พาเรา 2 คนทานนอกบ้านเท่าที่จะมากได้ เพราะเวลามีน้อย ท่านจึงไม่อยากให้เสียเวลาทำกับข้าว เที่ยวนี้กลับไปตรงกับวันสารทจีน จึงต้องไปซื้อเป็ดซื้อไก่ไว้เตรียมไหว้ จึงมีโอกาสได้ไปตลาดเช้ากับพ่อ แล้วก็ไม่ลืมที่จะหิ้วน้ำเต้าหู้ เต้าฮวย ปาท่องโก๋ ขนมจีนน้ำยา-น้ำพริก ข้าวเหนียว-หมูปิ้งกลับมาเป็นอาหารเช้าด้วย บ้านเก่านั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดทางรถไฟ หรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกตลาดบางซ่อน ถึงจะย้ายมาอยู่บ้านใหม่ แต่พ่อก็ยังติดที่จะไปตลาดเดิม เพราะแม่ค้าแม่ขายคนรู้จักเจ้าจำนำกันอยู่ทางนั้น เวลาฉันจดรายชื่อของสำคัญที่ต้องซื้อมาญี่ปุ่นพวก น้ำตาลมะพร้าว น้ำพริกแกงต่าง ๆ พ่อเป็นต้องกลับไปซื้อที่ตลาดแถวบ้านเก่านี้เสมอ หากถามฉัน ๆ ชอบเดินตลาดแถวบ้านใหม่(ตลาดประชานิเวศน์)มากกว่า เดินสบายกว่า ของกินมีมากมายก่ายกอง ดูน่ากิน (แต่แม่บอกว่ารสชาติสู้ตลาดบ้านเก่าไม่ได้)
ตกเย็นวันนั้น แม่พาไปทานร้านอาหารแถวริมคลองประชาชื่น ฉันจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าแถวนั้นมีร้านอาหาร และผับเยอะ ไปกันทั้งหมด 7 คน ซึ่งมีพ่อแม่ ฉัน คนข้างตัว น้องชาย-แฟน ลูกพี่ลูกน้อง แต่ละคนทะยอยกันมาจากที่ทำงาน แน่นอนฉันมาพร้อมพ่อแม่ เพราะมาจากบ้าน และยังมีเพื่อน "รักคุณเท่าฟ้า" ของฉันกับแฟนของเขาตามมาสมทบทีหลังด้วย ตอนแรกเพื่อนแอร์ของฉันจะไม่ยอมอยู่ทาน เพราะว่าเกรงใจ แถมวันรุ่งขึ้นมีไฟลท์บินแต่เช้า จึงอยากกลับไปพักผ่อน แต่พ่อแม่ฉันคะยั้นคะยอให้อยู่ทานด้วยให้ได้ เพราะสนิทสนมกันเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พ่อกับแม่ไหว้วานให้เพื่อนคนนี้ของฉันเอาของมาให้ฉันทุกครั้งที่เธอบินมาญี่ปุ่น แล้วไม่ว่าเธอจะมาเมืองไหนโอซาก้า นาโงย่า หรือนาริตะเธอต้องกริ๊งกร๊างมาคุยกับฉันเสมอ.... ครอบครัวที่เมืองไทย กับครอบครัวที่ญี่ปุ่นของฉันเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เป็นครอบครัวที่เห็นเรื่องกินสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด(ก็ดูหุ่นแต่ละคนสิ ) แต่พ่อแม่ทั้ง 2 จะแตกต่างกันตรงที่ พ่อแม่ญี่ปุ่นนิยมซื้อของดีมาทำกินที่บ้าน เช่นเนื้อก็จะทานแต่เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ในประเทศ ไม่ซื้อเนื้อนำเข้า เพราะท่านแก่แล้ว จึงอยากจะทานอะไรที่อยากทาน ไม่เขียมกับเรื่องกิน หากร้านนั้นไม่เจ๋งจริง ๆ พ่อจะไม่มีวันไปนั่งทานเป็นอันขาด ส่วนพ่อแม่เมืองไทย เนื่องจากวัยของท่านน้อยกว่าทางโน้น 15 ปี จึงชอบที่จะทดลองและแสวงหาของกินใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะแม่ หากมีใครว่าที่ไหนเจ๋งมา...แม่เป็นต้องขอไปลองเสมอ ส่วนพ่อ....เน้นความง่าย และต้องรถไม่ติด ขัรถไปไม่ไกล... คนข้างตัวของฉันพยายามที่จะออกไปเดินตลาดพร้อมพ่อทุกเช้า เพราะนอกจากจะได้exerciseแล้ว ยังสูดอากาศบริสุทธิ์อีกด้วย เขาเองก็คงรู้ตัวว่ามีเวลาอยู่ที่เมืองไทยน้อยนัก จึงต้องการใช้เวลาทุกหยาดหยดกับครอบครัวของฉันให้คุ้มค่าที่สุด จำได้ว่าปีที่แล้วที่กลับไทย...3 วันติดกันที่ออกไปเดินตลาด พี่แกเป็นต้องหาห้องน้ำแถวนั้นปลดทุกข์ มันช่างได้เวลาประจวบเหมาะทุกที ถึงกระนั้นพี่แกก็ไม่ยอมพลาดการเดินตลาด เพราะขากลับแกต้องแวะซื้อไก่ย่างเจ้าเด็ดกลับมากินเป็นอาหารเช้า ธีรชัยไก่ย่าง บางตาลนี้ เป็นไก่ย่างชนิดปิ้งใส่ขมิ้น เนื้อไก่หอมเครื่องเทศหมัก และออกแนวแห้งนิด ๆ วันสุดท้ายก่อนกลับมาญี่ปุ่น เป็นวันที่กระเพาะอาหารของฉันรวนเกือบเจ๊ง เพราะว่าเป็นวันสารพัดจะยัดเข้าปาก เริ่มจากฉันปรารภกับพ่อว่า อยากไปนั่งกินติ่มซำแบบหัวละ 5-600 ในโรงแรม แต่พอเวลาผ่านไป 3 นาที ฉันก็เกิดเปลี่ยนใจบอกว่าอยากไปทานสมบูรณ์ภัตตาคาร (จะสาขาไหนก็ได้ไม่เกี่ยง ) อีก 5 นาทีผ่านไป เกิดอาการอยากไปทานกระเพาะหมูผัดเปรี้ยวหวานร้านจีนแคะเจ้าประจำ อีก 10 นาทีผ่านไป เอ๊ะ...หรือจะไปกินสุกี้MKดี (เหมือนคนจิตไม่ว่าง ฟุ้งซ่านเรื่องกินยังไงยังงั้นเลย) สุดท้ายก็สรุปลงตัวที่ว่า มื้อกลางวันไปทานกระเพาะหมูผัดเปรี้ยวหวาน แล้วมื้อเย็นค่อยไปหาสุกี้ ที่มีปูผัดผงกะหรี่กินแล้วกัน.....
ร้านกระเพาะหมูเปรี้ยวหวานเจ้าประจำของครอบครัวฉันอยู่ไม่ไกลจากแถวคลองถมเท่าไหร่ ร้านนี้เป็นร้านประจำของเรามานานนับ 10 ปี ตั้งแต่สมัยพ่อต้องไปแย่งเก้าอี้ดนตรีจอดรถในวัดพระพิเรนทร์ ยันตอนนี้สามารถหาที่จอดได้ง่าย ๆ ที่ตึกศรีวรการ (หากจำไม่ผิด) แล้วเดินเอา..ขาลากเรย...แต่ความอยากมีมากกว่า ฉันจำไม่เคยได้สักทีว่าชื่อร้านชื่ออะไร ไม่แน่ใจว่าภัตตาคารแหลมทองหรือเปล่า แต่จะได้ว่าต้องขึ้นบันไดชันไปทางศาลเจ้าม๊าเก็ง เป็นร้านอยู่ชั้น 2 (ชั้นล่างก็มีนะ แต่ทานทีไรขึ้นชั้น 2 ทุกทีเลย) เป็นร้านอาหารสไตล์จีนแคะ ที่ดูภายนอกโทรมเล็ก ๆ แต่อาหารอร่อยอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ไปกิน แล้วต้องสั่งนั้นคือ ขนมจีบ ไม่เหมือนขนมจีบแบบหยำฉ่าหรอก แต่เป็นขนมจีบสไตล์เป็ดน้อย...ไม่รู้เพื่อน ๆ รู้จักเปล่า...เป็นขนมจีบที่ขายในรถเข็นติดเครื่องยนต์ เวลามาถึงก็จะบีบแตรแปร๋น ๆ ต่างกันที่ว่ารสชาติของร้านนี้อร่อยกว่าขนมจีบเป็ดน้อยหลายเท่า ที่สำคัญโปะกระเทียมเจียวข้างหน้ามาจนพูน จานต่อมาเป็นหัวใจของมื้อนี้ และเป็นหัวใจของร้านนี้ มันคือ กระเพาะหมูผัดเปรี้ยวหวาน ความเด็ดของจานนี้อยู่ที่ เขาหั่นกระเพาะหมูได้พอคำ ดูผิวเผินจะเหมือนปลาหมึก แต่ไม่ใช่ กรอบ และนุ่มลิ้นกว่ากันมากนัก แถมจะผัดกับไชเท้าดอง รสชาติจะออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เผ็ด ๆ เคยมีบางครั้งที่หัวไชเท้าดองหมด แล้วเอาถั่วงอกดองใส่แทน...รสชาติไม่เป็นเรื่องเลย...ทุกครั้งจะต้องสั่งจานนี้เบิ้ล 2 ครั้ง....ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แล้วทุกครั้งพ่อจะไม่เคยพลาด "หัวปลาต้มเผือก" เลย หม้อนี้คนอื่น ๆ ไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่หรอก แต่พ่อโปรดมาก ท่านว่าเดี๋ยวนี้หาหัวปลาต้มเผือกทานยากขึ้นทุกที ๆ แต่ร้านนี้ยังคงฝีมือไว้ได้เหมือนสมัยก่อนไม่ผิดเพี้ยน แต่บางครั้งหากหลายคนวีนมาก ๆ พ่อก็จะยอมเปลี่ยนไปเป็น เอ็นตุ๋นหม้อไฟ เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปลี่ยน จานสุดท้ายที่ต้องสั่งทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่ไม่สั่ง และต้องสั่งเป็นรายการสุดท้าย คือ "หมี่ผัดข้าวหมาก" พ่อจะต้องทานหมี่นี้ล้างปากเป็นกิจวัตร เป็นสไตล์เส้นหมี่ขาวผัดกับซอสข้าวหมากสีแดงใส่ถั่วลันเตา ลูกชิ้นและเห็ด จบมื้อกลางวันแล้ว พวกเราก็เดินเล่นกันแถวคลองถมย่อยอาหาร ฉันก็ไปเดินหาซื้อDVDหนัง ได้มา 7-8 แผ่น จนบัดนี้ยังดูไม่ครบทุกเรื่องเลย (ไม่มีเวลาดูง่ะ) พอแดดร่มลมตกลูกพี่ลูกน้องสาวสวยก็ตามมาสมทบ ฉันอยากดูงานแสดงสินค้าOtopที่ศูนย์ส่งเสริมการส่งออก ที่กรมพาณิชย์สัมพันธ์ เผื่อมาของอะไรซื้อติดไม้ติดมือมาญี่ปุ่น
สมัยก่อนฉันต้องซื้อJim Thompsonกลับมาเป็นประจำ นับตั้งแต่ผ้าเช็ดหน้า ผ้ารองจานกินข้าว ปลอกหมอนอิง ช้างตุ๊กตา เสื้อยืด สมุดโน้ต กระเป๋าเศษสตางค์ กระจก ผ้าพันคอ(ที่ฉันเอาไปติดผนังแทน) ฯลฯ ส่วนใหญ่ซื้อมาติดบ้านไว้ให้เป็นของขวัญ แล้วเวลาซื้อจะไปซื้อตอนที่Jim Thompsonมีมหกรรมลดราคา 50 เปอร์เซนต์ ซึ่งมักจะจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ปีละ 2-3 ครั้งไม่เคยพลาดเลย เพราะแม่ก็จะซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ญาติ ๆ ด้วย ทุกครั้งพ่อจะถามว่านี่Jim มันจะลดอีกแล้วนะ จะให้ซื้ออะไรไว้มั้ย....แล้วทุกครั้งฉันก็จะฝากรายการของฉันพ่วงกับของพ่อแม่ไปด้วย....แต่มาหลัง ๆ ฉันอยากมองหาอย่างอื่นบ้าง เพราะกลัวว่าให้ของชิ้นเดิมกับคนเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว.... เลยต้องสำรวจตลาดหน่อยว่าบ้านเราเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วแล้วก็ไม่ผิดหวัง โอ้ว...งานOtopสำหรับสินค้าส่งออกนี่เริ่ดมาก
ฉันซื้อPendant / bracelet / earrings ที่เป็นเงินประดับด้วยturquoiseกลับมา ส่วนคนข้างตัวปิ๊งมีดที่ด้ามประดับด้วยหินชนิดเดียวกันนี้กลับมา 4-5 เล่ม เขาว่าเอาไว้ให้เพื่อน แถมยังจะซื้อcutlery setกลับมาด้วย เจอฉันเบรคหัวทิ่มหัวตำเลย....นอกจากนั้นยังซื้อสบู่สมุนไพรที่ทำจากตะไคร้ มะละกอ เปลือกมังคุด ข้าวโพด ขมิ้น ฯลฯ กลับมาแจกคนที่นี่อีกเป็น 10 ก้อน ยังมีของอีกหลายอย่างที่ซื้อกลับมาจากงานนี้ แต่ไม่เล่ารายละเอียดเดี๋ยวผิดประเด็น เอาเป็นว่าเที่ยวหน้ากลับเมืองไทย ฉันต้องไปดูอีกแน่ ๆ เพราะขอนามบัตรกลับมาปึกใหญ่เลย...ของน่าลัก เอ๊ย น่าซื้อทั้งนั้นเลย
เพราะใช้เวลาอ้อยอิ่งในงานนี้นาน....พ่อกับแม่จึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ฉัน คนข้างตัว ลูกพี่ลูกน้องจึงเดินท่อกแท่กกันต่อในงาน จนถึงเวลาอาหารเย็น แล้วต่างคนต่างขับรถไปเจอกันที่ร้านอาหารเลย....ร้านอาหารนี้ เป็นร้านที่น้องชายของฉันแนะนำ อยู่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าไม่ไกลจากสำนักอธิการบดีมหาลัยมหิดล ขออภัยที่ฉันจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าเป็นภัตตาคารจีน
เรา 3 คนมาถึงก่อนพ่อแม่ ส่วนน้องชายมาพร้อมแฟนดึกหน่อย เพราะเขาติดเรียนป.โท ดีที่น้องเหมียวขับมาจากMaersk โดยตรง จึงไม่ต้องไปรับ ไม่งั้นอาจจะดึกกว่านี้ เข้าไปในร้านฉันบอกให้เด็กช่วยจัดที่สำหรับ 7 คนไว้ แล้วถามว่าขอดูปูหน่อย เพราะแม่อยากทานปูผัดผงกะหรี่ เด็กเดินถือปูเป็น ๆ มาตัวนึง ฉันถามว่าเท่าไหร่ พอบอกราคา..ฉันก็ตกลง ให้ผัดผงกะหรี่มาเลย
พอน้องชายมาถึง เขาก็สั่งอาหารอย่างคนเจน (จะไม่เจนได้ไง กินซะตัวอ้วนปั้กขนาดนี้) ว่าแล้วก็ขอนินทาน้องชายตัวดีหน่อย คือเขาเรียนป.โทแบบหลักสูตรyoung executiveอยู่ ซึ่งทางมหาลัยจะมีอาหารเย็นเตรียมไว้ให้ รวมอยู่ในค่าหลักสูตรด้วย...ฉันฟังน้องชายบรรยายอาหาร น้ำลายสอเรย.. จึงไม่ต้องสงสัยว่าขนาดอยู่ทำรายงานกับเพื่อนดึกดื่นถึงเที่ยงคืนทุกวัน ทำไมตัวถึงได้มั่กกั้ก (ป็นศัพท์ใหม่ที่คนข้างตัวของฉันจำขึ้นใจตอนกลับเมืองไทยเที่ยวนี้) ขนาดนี้... น้องชายสั่งอาหารแบบไม่ต้องดูเมนู...บอกให้เอาเนื้อสดมา 4 จานเปล เพราะสั่งหม้อสุกี้มาทาน สุกี้ร้านนี้เป็นสุกี้แบบภัตตาคารจีนทั่วไป คล้าย ๆ สุกี้เรือนเพชร คือจะไม่มีรายการให้เลือกมากเหมือนสุกี้โคคา หรือMK แต่จะเน้นเนื้อที่หมักจนนุ่ม ยังดีที่ร้านนี้มีน้ำจิ้มแบบMK สมัยก่อนสุกี้เรือนเพชรเป็นน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ (แต่ตอนนี้ไม่รู้เปลี่ยนยัง ฉันไม่ได้กินมาจะ 20 ปีแล้ว) จากนั้นเราก็เริ่มลวก ๆ โดยเฉพาะพ่อกับคนข้างตัว ผลัดกันเดี่ยวมือหนึ่ง...ส่วนน้องเหมียวก็คอยฉีกผัก วุ้นเส้นใส่หม้อบริการ น่ารักจริง ๆ น้องชายบอกว่าก๋วยเตี๋ยวหลอดปูเจ้านี้อร่อยใช้ได้...ก็ลองสั่งมาทาน โอ้ว...จานจุ๋มจิ๋มมาก ต้องสั่งเพิ่มอีก 2 จาน (ตะกละมะ )คนข้างตัวของฉันติดใจสลัดกุ้งมากที่สุด พยายามรบเร้าจะให้สั่งมาอีก 1 จาน เพราะเกิดความอายว่าตัวเองครองอยู่คนเดียว แต่พอซาวเสียงถามแล้ว ไม่มีใครอยากทานเพิ่ม เลยคอตกไม่มีแนวร่วม แต่ที่ฉันชอบมากกว่าจานไหน ๆ เลย คือราดหน้าทะเล เสียดายที่ท้องแทบแตกแล้ว ไม่งั้นฉันต้องขอสั่งมาอีกจานเปลใหญ่แน่ ๆ ที่ญี่ปุ่น ฉันมีร้านอาหารไทยที่ชอบไปทานเป็นประจำ อยู่แถว ๆ Wakaba-cho ฉันชอบทานผัดไทย กับราดหน้าของร้านนี้มาก คุณป้าเป็นคนเหนือ ในร้านจึงมีอาหารเหนือขายด้วย แต่ฉันไม่เคยสั่งมาทาน เพราะไม่สันทัด ติดใจแต่ผัดไทย กับราดหน้าเนี่ยแหล่ะ ผัดยังไง ก็ผัดไม่ได้เหมือนคุณป้า....อร่อยขนาดที่ว่า ต่อให้ไปตั้งร้านที่เมืองไทย ก็ต้องมีแขกเข้ามาทานชนิดไม่มีเก้าอี้ว่างนั่นแหล่ะ ฉันเป็นคนไม่พิศวาสปูผัดผงกะหรี่ สักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบรสชาติ แต่เป็นเพราะมันกินยาก กินทีมือไม้เลอะไปหมด แถมแทะกระดองปู อาจจะมีสิทธิ์เสี่ยงกับฟันบิ่นอีกต่างหาก แข็งยังกะอะไร หากเป็นเนื้อปูผัดผงกะหรี่ ค่อยหน้าลุ้นหน่อย มื้อนี้น้องชายต้องการเลี้ยงฉัน แต่ฉันก็อยากจะเลี้ยงเขา เพราะฉันไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดอะไรให้เขา...เพราะไม่รู้ว่าเขาอยากได้อะไร แต่พอฉันเลี้ยงเขาแล้ว เขาก็เลยฝากพ่อบอกมาว่างั้น "8 เทพอสูรมังกรฟ้า" ชุดนี้ซื้อให้ฉันวันเกิดแล้วกัน....
อิ่มท้องแทบแตก แถมวันรุ่งขึ้นไฟลท์ออก 7 โมงเช้า ยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลย ฉันอยากจะกลับบ้านพักผ่อนแย่แล้ว แต่น้องชายคุยกับแม่อย่างไรไม่รู้ ได้ความว่าชวนกันไปต่อที่ร้านมนต์นมสดที่เสาชิงช้า เพราะต้องการให้ฉันลองไปทานดู (คือฉันยังไม่เคยลองทานดูเลย เรื่องของเรื่อง ในขณะที่น้องชายพาพ่อแม่ไปทานเป็นประจำ) เอ้า...ไปก็ไป...
แล้วน้องชายกับน้องเหมียวก็ไปยืนต่อคิว....คนแน่นมาก (แน่นขนาดน้องเล่นเก้าอี้ดนตรีเลย) ขนาด 4 ทุ่มกว่าแล้ว วัยรุ่นไม่กลับบ้านไปหลับไปนอน น้องชายอยากให้ฉันลองดื่มนมอุ่น ๆ ของร้านนี้ เขาว่ามันอร่อยดี...แต่ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มนม (เพราะว่าร่างกายไม่มีน้ำย่อยนมแล้ว เวลาดื่มท้องจะเฟ้อ) ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเท่าไหร่ แต่ติดใจขนมปังมากกว่า โดยเฉพาะขนมปังทาเนย โรยน้ำตาล ราดนมข้น....โอ้ว...เหมือนสมัยเด็ก ๆ ที่เคยกินเลย รำลึกถึงความหลังเหลือเกิน แต่สมัยเด็ก ๆ ที่เคยกินนั่นต้องปิ้งเกรียมกว่านี้หน่อย ออกแข็งกว่านี้หน่อย แล้วมาการีนก็ต้องห่วยกว่านี้หน่อย...ใช่เลย อิอิอิ ไม่รู้ว่าฟาดไปกี่ขนาน...รู้แต่ว่านอนพุงอืดไปหลายวัน ยังพกพาน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีก 2 กิโล ภายใน 4 คืน 5 วันมาด้วย ขนาดกลับมาเต้นฮูล่าแดนซ์ยังรู้สึกได้ถึงความห้อย และกระเพื่อมของพุง
อาหารเช้าที่ทางเครื่องบินเสริฟขากลับมาญี่ปุ่น คือข้าวไก่ผัดน้ำมันหอย และปลาย่างซอสมิโสะ ฉันยังเอาช้อนคุ้ย ๆ เขี่ย ๆ เห็ดหอมกินเล่นบ้าง แต่คนข้างตัวฉันนอกจากโยเกิร์ตถ้วยเดียว ไม่แตะอะไรอีกเลย จนกระทั่งเครื่องแตะพื้นที่สนามบินนาริตะ
กิน กิน กิน ของฉันก็ขอปิดฉากลงเพียงแค่นี้ จริง ๆ ยังมีไปกินอีกหลายที่ทั้งอาหารอิตาเลี่ยนที่คุณนายพาไปกินที่ It Happened To Be The Closet และ ร้านอาหารแกงป่าแถวศรีย่าน ซึ่งเป็นสไตล์อาหารไทยจัดจ้าน ชนิดกินแล้วต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ...แต่ฉันชอบมากๆๆๆ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ถ่ายรูปมา และบางที่ทางร้านก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้วย....
วันหน้าฟ้าใหม่คงจะได้มีกิน กิน กิน ตอนต่อไป....
mahalo
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2548 |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 13:33:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3069 Pageviews. |
|
|