Tsukiji Tama Sushi
ในบรรดาอาหารญี่ปุ่น อาหารโปรดที่สุดของฉันคือ ปลาดิบ (Sashimi) เป็นไปได้ไง..... ทั้ง ๆ ที่สมัยที่ฉันมาญี่ปุ่นครั้งแรก ๆ ฉันไม่ชอบเลย เพราะเป็นคนที่ติดทาน "ข้าว" มื้อไหนไม่มีข้าว มื้อนั้นต่อให้สวาปามยังไง ก็จะรู้สึกไม่อิ่ม เพราะไม่มีข้าวที่ถ่วงท้องให้หนัก แล้วของกินเบา ๆ อย่างปลาดิบเนี่ย ทั้งคาว ทั้งไร้รสชาติ สยึ๋มกึ๋ยจะตายไป.... แต่มันเป็นไปแล้ว เพราะวันนี้หากมีคนจะเลี้ยงฉัน ให้ฉันเลือก ฉันขอปลาดิบร้อยทั้งร้อย
แต่ความโชคดีนี้มาถึงฉันเพียงครึ่งเดียว เมื่อวันเกิดที่ผ่านมาของฉัน แม่บอกว่าอยากจะพาฉันไปกินอะไรก็ได้ที่ฉันอยากกิน (โฮๆๆๆ ทำไมแม่เห็นหนูเป็นคนตะกละ ) ฉันเลือกอย่างไม่ลังเลใจเลยว่า "ไปกินซูชิที่ Tsukiji Tama Sushiกันมั้ยแม่"
เรื่องซูชิร้านนี้มันมีความเป็นมายาว...วันหนึ่งพ่อกลับมาบ้าน กลังจากไปประชุมที่บริษัท พ่อถือนามบัตรของซูชิร้านหนึ่งติดมือมาด้วย พ่อเริ่มบรรยายสรรพคุณ....
"ร้านนี้มีสาขาทั่วโตเกียวทั้งหมด 23 สาขา" "ค่อนข้างมีชื่อเสียง" "ราคาไม่แพง และวัสดุใช้ได้" "สาขาที่พ่อไปกินมาที่Shimbashi มี食べ放題 (กินไม่อั้นจ่ายราคาเดียว) ด้วย สงสัยจะเป็นสาขาเดียวที่มี (แต่พ่อไม่ได้กินแบบเหมาหัว เพราะพ่อกินไม่ไหว)" ฯลฯ
แล้วหลังจากนั้นไม่นานฉันกับเพื่อนไปทานไทยที่ร้านKaewjai สาขา Lumine Yokohama ฉันเหลือบมองเห็นร้านซูชิร้านนึง คนยืนต่อคิวยาวจากหน้าร้านไปจรดหน้าห้องน้ำผู้หญิง (50 กว่าคน เรียงเป็นงูกินหาง)
"เอ๊ะ...ร้านซูชิอะไรหว่า ทำไมคนเข้าคิวยาวขนาดนี้ เฮ้ย....Tsukiji Tama Sushiนี่นา ว๊าว....ร้านซูชิที่พ่อเคยพูดถึง มีสาขาที่โยโกฮาม่าด้วยเหรอเนี่ย...โอ้ว โอ้ว...มีกินเหมาหัวด้วย กรี๊ด ๆ ๆ สงสัยพ่อจะไม่รู้" แล้วฉันก็รีบคาบข่าวนี้ไปบอกพ่อโดยด่วน ว่าพ่อขา หนูไม่ต้องถ่อไปถึงShimbashi หนูก็สำเริงสำราญกับ Tsukiji Tama Sushi ได้ค่ะ
แล้วฉันก็เริ่มกระจายข่าวนี้ไปยังเพื่อน ๆ กลุ่มเดียวกัน...แต่ก็ยังไม่มีใครลองไปกินกับฉัน จวบจนวันที่แม่เสนอพาฉันไปเลี้ยงวันเกิดนั่นแหล่ะ ฉันถึงรีบเสนอชื่อร้านนี้ทันที โดยไม่ลังเล แล้วสำคัญ...แม่ต้องเลือกกินแบบเหมาหัวด้วยนะแม่ เพราะกินแบบธรรมดามันไม่ตื่นเต้น
ข้อดีของร้านซูชิร้านนี้ คือ เป็นซูชิที่สั่งเป็นเซ็ต ๆ หรือเป็นคำ ๆ โดยที่จะมีส่วนหลังเคาน์เตอร์ที่พ่อครัวยืนเรียงรายสลอน แขกออเดอร์ทีนึง ก็เริ่มปั้นกันทีนึง (พ่อครัวบอกว่าหากวันที่แขกมาก...ก็ปั้นกันจนมือเปื่อยเลย...เชื่อว่ะ...เพราะขนาดวันที่ฉันไปกิน เป็นวันธรรมดาช่วงบ่ายโมงกว่า คนเต็มร้านแต่ไม่ถึงก็ยืนรอคิว พ่อครัวยังไม่หยุดมือปั้นเลย) บรรยากาศของสาขานี้น่านั่ง (แต่ฉันไม่กล้าถ่ายรูปมา) มี 2 ส่วน คือ ส่วนเคาน์เตอร์ ซึ่งแม่กับฉันเลือกนั่ง และ ส่วนที่ต้องถอดรองเท้านั่ง...วันนี้เราตั้งใจมากินแบบเหมาหัวอยู่แล้ว เลยไม่ต้องขอเมนูมาดู แม่ถามฉันว่าจะเอาซุปมิโสะมั้ย...แต่ฉันไม่เอา เดี๋ยวกินซูชิได้ไม่เต็มที่....
คนข้างตัวว่าหลักของการไปกินร้านซูชิแบบแท้ดั้งเดิม(authentic)อย่างประหยัดตังค์ คือ ต้องสั่งแบบรวม (moriawase)มาก่อน เพื่อเอามาตัดกำลัง จากนั้นก็ค่อยสั่งชนิดปลาที่ตัวเองต้องการเป็นรายคำ หากสั่งอย่างสะเปะสะปะมาแต่แรก...หมดtoodแน่ ๆ
คำแรก แม่เรียกหา หอยเป๋าฮื้อ (awabi)กับโทโร่มาเลย ดูแม่ทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่ฉันไม่ชอบทานเป๋าฮื้อสด เพราะมันแข็ง ส่วนโทโร่ ก็เละเกินไป (เอาใจยากจริงวุ้ย ) ส่วนตัวฉันชอบทานปลาเนื้อขาว แลหนังมีสีเงินแวววาวแบบ kohada, saba มากกว่าปลาเนื้อแดงแบบ maguro แต่ที่ฉันชอบมากที่สุดในบรรดาซูชิแล้ว ต้องเป็นไข่ปลาซัลมอน (ikura) และไข่หอยเม่น (uni) จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง รู้สึกจะเป็นวันเกิดปีที่แล้ว ตาอ้วนไปทัศนศึกษาไม่อยู่ ฉันเลยมาพักบ้านใหญ่ พ่อซื้ออุนิมาแพ๊คใหญ่ ๆ ฉันกินคนเดียวหมดเลย...เพราะพ่อแม่ไม่กิน แล้วอุนิที่พ่อซื้อมาให้วันนั้น หย่อยกว่าอุนิที่ร้านนี้อีก จากนั้นก็เริ่มทะยอยสั่งของที่ตัวเองชอบกันคนละ 2 คำ จะสั่งอะไรก็ได้ ตามแต่ใจชอบ แน่นอนแม่จะมาคนละแนวกับฉัน...ของฉันต้องเน้นคาว ๆ ในขณะที่แม่ทานคาวจัดไม่ไหว เพราะเหม็น แม่ว่าพอแก่ตัวลง ของที่เคยชอบหลายอย่างก็กลับกินไม่ได้ เพราะทนกลิ่นไม่ไหว อย่างสมัยแม่สาว ๆ แม่เคยย้ายตามพ่อไปฮิโรชิม่า เพราะพ่อถูกย้ายไปประจำที่นั่น แม่ชอบทานหอยนางรมสดมาก...แล้วฮิโรชิม่าก็เป็นแหล่งเลย...แม่ทานได้ทุกวัน และทุกโอกาสเท่าที่อยากทาน แต่เดี๋ยวนี้แม่ทานไม่ได้อีกแล้ว...เหมือนร่างกายจะไม่รับ หากทานแล้วจะเกิดอาการปวดท้อง และทนกลิ่นของมันไม่ไหว ส่วนฉัน หากลงว่าได้ทานซูชิแล้ว ฉันจะไม่สั่งของสุกเลย ไม่ว่าจะเป็นไข่หวาน อานาโกะ อุนาหงิ กุ้มต้ม.... 3 อย่างแรกนั่นก็หวานเกินไป แถมมีเนื้อที่นิ่ม ๆ เละ ๆ ฉันชอบของที่เวลาเคี้ยวจะสวก ๆ หน่อย ให้รู้สึกถึงความเด้งดึ๋งของเนื้อสสาร ส่วนกุ้งต้มก็จืดชืดไม่ค่อยมีรสชาติ ในบรรดากุ้งในร้านซูชิที่ฉันเคยทานมานั้น ฉันชอบทานกุ้งbotan ebiที่สุด ฉันเคยไปทานในร้านซูชิที่จังหวัดโอกายาม่า แล้วยังติดใจไม่หายเลย ฉันไม่เคยทานกุ้งมังกรแบบซูชิ (ไม่ทราบด้วยว่าที่ไหนมีหรือเปล่า) เคยแต่ทานแบบซาชิมิ นั่นก็ของชอบอีกเหมือนกัน ตอนนี้ที่อยากลองทานคือ sakura ebi แบบซาชิมิ แต่รู้สึกว่าจะหาทานยากสักหน่อย ส่วนใหญ่จะเห็นคนเอามาทำกุ้งแห้ง ไม่ก็ทอดเป็นเทมปุระ (ซึ่งก็เป็นเมนูที่ฉันไม่ค่อยอินทั้งคู่)
ฉันเป็นคนชอบลองอะไรใหม่ ๆ จะชอบไม่ชอบขอลองไว้ก่อน หากไม่ชอบคราวหน้าก็จะจำไว้ แล้วไม่สั่งอีก หากชอบ ก็จะได้จำไว้แล้วไปสั่งครั้งต่อไป ฉันเคยไปทานซูชิร้านหนึ่งบริเวณสถานีอุเอโนะ เป็นซูชิที่ราคาถูก แต่อร่อย หลังส่วนที่พ่อครัวยืนปั้นซูชิ จะมีตู้ปลาขนาดใหญ่ใส่ปลาเป็น ๆ ไว้ พอถึงนาทีทอง ก็จะช้อนปลาขึ้นมา แล้วสั่งกระดิ่งเล็ก ๆ เรียกความสนใจของลูกค้าในร้าน ให้ดูมหกรรมเชือดปลายักษ์ เป็นครั้งแรกที่ฉันลองทาน engawa (ส่วนเนื้อบริเวณครีบ ของปลาฮิราเมะ) ตอนแรกฉันสนใจดูว่าพ่อครัวทำอะไร เห็นเอากระบอกก๊าซพ่นไฟใส่เนื้อปลาขาว ๆ ฉันนึกว่าพ่อครัวปรุงแบบ tataki (คือจะนำปลาวางไว้บนฟางที่ไหม้ไฟแป๊บเดียว จากนั้นก็จะนำปลานี้ไปใส่ไว้ในน้ำเย็น ที่เห็นบ่อย ๆ คือ katsuo-tataki เนื้อผิวหน้าจะไหม้ประมาณ 2-3 มม. แต่เนื้อข้างในยังแดงอยู่) คนข้างตัวก็สนใจ เลยถามพ่อครัว ได้ความว่านี่คือ enkawa-aburi คือการเอาไฟลนเฉพาะบริเวณผิวเนื้อนิด ๆ เพื่อให้น้ำมันของปลาออกมา เวลาทานก็โรยเกลือ....อาหย่อยมั่ก ๆ ๆ ๆ ทั้งหอม ทั้งหวาน และเนื้อปลายังกรุบ ๆ (พิมพ์ไปยังกลืนน้ำลายเอื๊ก ๆ เลย) จะว่าฉันชอบแต่ของดิบอย่างเดียวก็คงไม่ถูก เพราะฉันเคยลองลิ้มชิมรสของสาหร่ายชนิดหนึ่งในร้านซูชิหมุนในห้างเซบุ (ที่วันนั้นโชคดี ล่อลวงคนข้างตัวให้ไปนั่งทานเป็นเพื่อนด้วยได้) ฉันเห็นจานหนึ่งวนผ่านหน้ามา เอ๊ะ...นี่มันอะไร ทำไมรูปร่างประหลาด ๆ อยากลองทานดูจังเลย มันคือ umi budo (องุ่นทะเล) โอ้ว....ไม่เคยกินมาก่อน ลักษณะของมันจะเป็นสาหร่ายสีเขียว มีลูกเล็กๆๆๆ ติดกันเป็นพวง คล้ายช่อเม็ดพริกไทยอ่อนที่เราเอามาผัดฉ่า แต่ขนาดเล็กกว่ากันมาก เวลาเคี้ยวจะกรึ๊บ ๆ แป๊ะ ๆ ฉันพยายามหาสาหร่ายชนิดนี้ในซุปเปอร์มาร์เกต แต่ยังไม่เคยเจอเลย อยากซื้อมาทานที่บ้าน จานนี้ฉันคิดอยู่ตั้งนานว่ามันคืออะไร....เพราะแม่เป็นคนสั่ง (อย่างที่บอก ฉันไม่สั่งของสุกอยู่แล้ว) นึกไปนึกมาถึงบางอ้อ มันคือ hotategai (หอยเชลล์) แต่สายไปแล้ว ฉันย่อรูปไปเรียบร้อยแล้ว จริง ๆ วันนั้นสั่งอีกหลายอย่าง แม่น่ะหมอบกระแตไปตั้งแต่ยังไม่ถึงคำที่ 10 ด้วยซ้ำ....จึงสั่งแต่ไข่หวานไม่เอาข้าวมาทานล้างปากดับคาว ส่วนฉันก็ยังนั่งยืดเยื้อสั่งไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะเกรงใจแม่...แม่จะหยิบเข้าปากก็เจอฉันสกัดดาวรุ่ง ยิงจนร่วง เลยเก็บภาพมาเท่าที่โอกาสจะอำนวย คำสุดท้ายที่ฉันสั่ง คือ kani miso (อยากจะเรียกว่าส่วนมันปู แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพื่อน ๆ ที่อยู่ญี่ปุ่นคงเข้าใจว่ามันคืออะไร แต่เพื่อน ๆ ที่อยู่เมืองไทย อาจจะไม่คุ้นเคย....เอาเป็นว่าหากใครชอบทานอะไรคาวหน่อย แบบอุนิ เมนูนี้ก็จะไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน
ยังมีปลาอะไรต่อมิอะไรอีกหลายพันธุ์ ประเภทว่าเอ่ยชื่อมา ฉันต้องทำหน้า"เหวอ" ส่ายหัวด๊อกแด๊ก เพราะไม่เคยได้ยินชื่อ ส่วนมากเป็นปลาที่นักนิยมตกปลามักจะตกมาทานกัน ไม่มีวางขายดาษดื่น...ฉันหมายถึงปลาทะเล ไม่ใช่ปลาแม่น้ำ เดี่ยวจะนึกไปว่าเป็นปลาayu นักเรียนคนล่าสุดของฉันเป็นหมอฟัน ผู้ที่มีงานอดิเรกเล่นกอล์ฟ กีต้าร์acoustic และขับเรือ คุณหมอว่าลูกชอบตกปลา แล้วตกเก่งเสียด้วย (อายุ 10 กับ 14 ขวบ) แต่จะตกมาแค่พอกิน คือพอตกได้สัก 2-3 ตัวก็จะกลับบ้าน ฉันเลยจีบคุณหมอบอกว่าคราวหน้าตกสัก 4-5 ตัวนะ แล้วฉันจะช่วยกิน ฮี่ ๆ ๆ
หากเพื่อน ๆ สนใจไปทาน Tsukiji Tama Sushi ดูที่เวบนี้ค่ะ //www.tamasushi.co.jp/
ส่วนนี้คือ Tsukiji Tama Sushi Yokohama ที่ฉันกับแม่ไปมา //www.tamasushi.co.jp/store/yokohama/
mahalo
Create Date : 01 พฤศจิกายน 2548 |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 13:48:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2372 Pageviews. |
|
|