Doi Mae Salong and Doi Tung on the 1st Day
เช้าวันที่ 30 ธ.ค. พวกเราตื่นกันแต่เช้า เพราะคุณแด๊ดนัดคนขับรถตู้ให้มารับ 7.30 น. การเที่ยวเชียงรายครั้งนี้ คุณแด๊ดเหมารถตู้ทั้งหมด 3 วัน เพราะว่าใช้คนขับชำนาญเส้นทางขับขึ้นดอยดีกว่า และอีกอย่างรถของน้องชายก็จะได้ไม่ช้ำ ช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ รถตู้ส่วนใหญ่จะมีคนว่าจ้างกันแน่นขนัด
คุณแด๊ดเล่าว่าคราวก่อนที่พาเพื่อนฝรั่งจากเยอรมันเที่ยวนั้น ค่าเช่ารถต่อวัน 1,200 บาทเอง (ให้เพื่อนซึ่งมีภรรยาเป็นคนพื้นที่ช่วยติดต่อให้) มาเที่ยวนี้ราคานั้นไม่ได้เสียแล้ว ขยับขึ้นเป็น 1,500 บาท แต่คนส่วนใหญ่ก็ว่า "ก็ราคานี้ทั้งนั้นแหล่ะตอนนี้" ตอนเช้าทางโรงแรมที่เราพักมีอาหารบุฟเฟต์เตรียมให้ด้วย (รวมอยู่ในค่าห้องพัก) เป็นอาหารพื้น ๆ ทั่วไป ไม่ได้หรูเลิศ แต่ฉันชอบ มันดูลูกทุ่ง ๆ จริงใจดี มีแขกพักที่โรงแรมนี้เยอะเหมือนกัน ตอนเข้าเช็คอินคืนเมื่อวานดูไม่รู้เลย สงสัยคนจะออกไปเที่ยวข้างนอกกันหมด มาเช้านี้ แขกที่ลงมากินอาหารเช้าเยอะพอดู แสดงว่าช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ ห้องพักคงจะเต็ม
อาหารพื้น ๆ ที่ว่าก็พวกขนมปัง เบค่อน ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว แพนเค้ก แยม น้ำผึ้ง เนย ใครอยากกินข้าวก็ได้ มีทั้งข้าวสวย ข้าวต้ม ข้าวผัด แล้วก็ผัดผัก 2-3 อย่าง ต้มจืด ของเผ็ด ๆ ไม่เห็นเลย สงสัยมื้อเช้าแบบนี้ คงไม่มีใครอยากทานแกงสักเท่าไร การบริการดีใช้ได้ ของถาดไหนหมด บริกรจะรีบนำมาเติมใหม่ให้ทันที แต่ของที่ต้องใช้เวลาอย่างไข่ดาวจะช้าหน่อย คือมันไม่ง่ายเหมือนผัดผักที่ผัดทีกระทะใหญ่ ๆ แล้วยกออกมาเลย ไข่ดาวนี่คงต้องบรรจงทอด พอยกออกมาวางปุ๊บ คนก็มะรุมมะตุ้ม หมดอย่างรวดเร็วมาก จุดแรกที่คนขับรถพาเราไปคือดอยแม่สลอง โอ...ไร่ชาอันลือชื่อ ที่ฉันอยากให้ตาอ้วนมาดูตั้งนาน คราวนี้ได้มาดูสมใจ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ฉันชอบเที่ยวภูเขามากกว่าทะเล เพราะอากาศบนภูเขาเย็นสบาย ในขณะที่หากเที่ยวทะเลช่วงหน้าร้อน ลมร้อนจะพัดไอเกลือขึ้นมากระทบผิวกาย ร้อนตัวเหนอะหนะยังไงบอกไม่ถูก อาบน้ำกี่ครั้ง ๆ ก็ยังเหนอะตัว
บนดอยแม่สลองมีรีสอร์ทด้วย ฉันไม่รู้ คิดว่าช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ ราคาห้องพักคงจะแพงกว่าปกติ แต่สนนราคาเท่าไรนั้น ฉันก็ไม่อาจรู้ได้ ชักภาพอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เหมือนกับเป็นไฮไลท์ว่าใครไม่ได้มาถ่ายภาพหญ้าตัวหนังสือว่า "ดอยแม่สลอง" มันก็เหมือนมาไม่ถึงที่ จากจุดแรกที่หยุดถ่ายภาพ เราสามารถเดินมาถึงพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรีได้ แต่ก็คงแฮ่ก ๆ เสียหน่อย แม่เลยต้อนพวกเราขึ้นรถตู้ ให้คนขับพามาถึงที่โดยไม่ต้องเดินไกล
เจดีย์สวยมาก สร้างได้ดูงดงามอ่อนช้อย และยังดูใหม่ด้วย พวกเราเดินดูรอบนอก เพราะเค้าไม่เปิดให้เข้าชมข้างใน ใครสนใจใคร่รู้รายละเอียดของเจดีย์นี้ อ่านต่อได้ที่นี่แต่โฮมเพจเปิดยากอยู่สักหน่อย ด้านหลังองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์ที่ตั้งของพระบรมธาตุฯ หากจำไม่ผิด มีบันไดพญานาคขึ้นวิหารได้ 3 ทาง คือข้างหน้า และข้าง ๆ 2 ข้าง ข้างหลังที่ตีกับหน้าผาจะไม่มีพญานาค (ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ใครจะปีนหน้าผาขึ้นมาล่ะ)
ตาอ้วนก็สุดจะอินกับบรรยากาศ และสิ่งก่อสร้าง ควักโทรศัพท์มือถือออกมาเก็บภาพไว้หลายภาพ จากนั้นคนขับรถก็พาเราไปจุดขายของดอยแม่สลอง คือสุสานนายพลต้วน เพราะฉันอยากให้ตาอ้วนได้ลองซื้อชาที่ปลูกบนดอยนี้ลองชิมดู ตาอ้วนเป็นคนที่บ้าชาจีนมาก (หากมีเวลาคราวหน้าฉันจะเขียนบล็อคงานอดิเรกเรื่องชาจีนของตาอ้วนมาเล่าสู่กันฟัง) เป็นคนญปแท้ ๆ แต่ที่บ้านไม่มีชาเขียว แปลกไหมล่ะ? ปกติบ้านฉันจะดื่มน้ำเปล่าเวลากินข้าว เพราะน้ำเปล่าเข้ากันกับรสชาติอาหารไทยที่สุด แต่ก็มีบางครั้งที่ชาอ้วนจะชงชาจีนมาให้ แล้วแต่อารมณ์พี่แก
ฉัน ตาอ้วน คุณแด๊ดเดินขึ้นบันไดไปไหว้ศพของนายพลต้วนซีเหวิน ส่วนคุณแม่กับน้องชายไปนั่งพักขารอที่ร้านขายชาใกล้ ๆ มีพลทหารนอกประจำการคนหนึ่งมายืนบรรยายภาษาไทยสำเนียงแปร่งถึงคุณงามความดี และประวัติของนายพลต้วน และจุดธูปให้เราไหว้ศพนายพล จากนั้นก็พูดเป็นเชิงขอให้เราช่วยบริจาคเงินเล็กน้อย เพราะเขาเป็นคนดูแลปัดกวาดสถานที่นี้ให้สะอาดอยู่เสมอ ก็ช่วย ๆ ไปนิดหน่อย น้องผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้ม 2 คนยืนดูแลต้อนรับ และขายชาอยู่ที่ร้านชานายพลต้วน ตอนที่ฉันกับตาอ้วนเดินไปสมทบ แม่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับฝอยกับน้องคนขาย น้องจำแม่กับคุณแด๊ดได้ เพราะก่อนหน้านี้เคยพาเพื่อนมาซื้อชา และซื้อทับทิม (จากพี่เขยของน้อง หลานหรือเหลนนายพลต้วนฉันก็จำไม่แม่น) คงจะซื้อกันไปหลายเม็ด เพราะมากันหลายคน คิดดูละกันขนาดน้องชายฉันยังซื้อไปด้วยเลย มีหน้ามาถามอีกว่า หากฉันจะเอา จะขายให้ (บ้าจี่...รอของฟรีเฟร้ย ) แม่อารัมภบทเล่าความเป็นมาบอกกับน้องคนขายว่าตาอ้วนของฉันนิยมชมชอบชาจีนเพียงใด ที่ดั้นด้นมาที่ดอยแม่สลองนี้ ก็เพราะ "ชา" อย่างเดียว ฉะนั้น ขอให้น้องเอาชาที่ดีที่สุดของร้านมาให้ชิมหน่อย น้องก็ชงชาอย่างรวดเร็ว และบรรยายสรรพคุณ พวกเราก็จิบ....ลองไปหลายขนาน ตาอ้วนก็ดม ๆ แล้วกรอกชาใส่ปาก ทำปากขมุบขมิบไปมา (เหมือนคนชิมไวน์...กระแดะซะไม่มี) แล้วก็ถามว่า ชาที่เก็บหน้าฤดูใบไม้ผลิมีมั้ย เป็นชาที่ผลิออกมาใหม่ ๆ (ประสาทว่ะ เมืองไทยไม่มีฤดูในไม้ผลิ จะเอาชาที่ว่ามาจากไหนวะ ) หลังจากลองมาหลายป้าน ตาอ้วนก็ไม่มีทีท่าจะตกลงปลงใจซื้อชาจากน้องเลย จนสุดท้าย น้องหยิบมาห่อสุดท้าย บอกว่านี่คือชาที่ดีที่สุด ห่อละ 1,200 บาท ชงมาให้พวกเราลองชิมกัน (หากตาอ้วนยังไม่ซื้่ออีก พวกเราคงโดนเตะออกจากร้านป็นแน่) แต่สุดท้ายตาอ้วนก็ชอบใจชาถุงนี้ ใจปล้ำควักเงินซื้อมา 1 ถุง (อ่านไม่ผิดหรอก 1 ถุงจริง ๆ) พี่แกว่าชาเก็บไว้นาน ๆ ความหอมจะหายหมด...ฉะนั้นไม่ควรซื้อไปเยอะ
แม่ก็ช่วยต่อรอคาให้ ได้มาถุงละ 900 บาท แล้วพวกเราก็อุดหนุนลูกท้อ ลูกบ๊วยดองของน้อง (ฉันก็ซื้อมา 2 ถุง แต่ทิ้งไว้ที่ไทยหมดเลย น้ำหนักกระเป๋าเกิน) คุณแด๊ดก็อุดหนุนซื้อชาด้วย ขนาดต่อราคาน้องเค้า ยังได้ของแถมเป็นชาเกรดต่ำมาอีกคนละ 1 ถุง (งานนี้น้องจะโดนพี่เขยด่าหรือเปล่าหว่า) จากนั้นคนขับรถ (ขออภัยฉันจำชื่อของเฮียคนขับรถไม่ได้จริง ๆ ขนาดอยู่กับเรา 3 วันเต็ม ๆ ความจำปลาทองสุด ๆ ) พาพวกเรามาจุดที่มีร้านอาหารเยอะ ตอนแรกอาเฮียแกเชียร์ให้กินร้านใกล้ ๆ กัน แต่คุณแด๊ดกับแม่อยากจะกินร้านที่เคยมากินเที่ยวก่อน มันแย่ตรงที่คุณแด๊ดจำชื่อร้านไม่ได้ แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าตั้งอยู่ตรงไหน พอเอาเข้าจริง ๆ จุดเดิมไม่มีร้านที่ว่าเสียแล้ว เพราะร้านย้ายจุด คุณแด๊ดจอมดื้อของบ้าน ก็ไม่ยอมแพ้ เดินๆๆๆหา จนในที่สุดก็ไอ้ร้านที่เรายืนอยู่ข้างหน้าเป็นนานสองนาน แต่ไม่รู้ว่าเป็นร้านนี้นั่นแหล่ะ สรุป คือ ร้านย้ายจากที่หนึ่งมาตั้งอีกที่หนึ่งในบริเวณใกล้เคียง ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องย้าย และทำไมคุณแด๊ดจำได้ว่าใช่ร้านนี้แน่ ๆ แต่เอาเถอะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว สำหรับฉันผู้ที่ไม่เคยลองลิ้มชิมรสอาหารยูนนานเลย จะร้านไหนก็เหมือนกัน ขณะนั้นเป็นช่วงกลางวัน นักท่องเที่ยวต่างมองหาร้านอาหารเพื่อกินดับเสียงร้อนโกรกกรากของกระเพาะอาหาร ร้านที่ว่านี้แขกนั่งกินเต็มทุกโต๊ะ บริกรของร้านเท่าที่ดูเหมือนเป็นลูกหลานเจ้าของ มีน้องคนนึงหน้าตาผิวพรรณดี จัดว่าสวยทีเดียวหากน้องเป็นผู้หญิง แต่น้องแค่มีใจเป็นหญิงเท่านั้น แต่งหน้าอ่อน ๆ ผมยาวปกต้นคอ ใส่เครื่องประดับวัยรุ่น มาบริการพวกเรา แม่เป็นคนสั่งอาหาร ที่พลาดไม่ได้ก็ขาหมูยูนนาน และหมั่นโถว ซึ่งมี 2 หรือ 3 สี ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่เราสั่งคือสีม่วง และสีเขียวอ่อน และตามเคยแม่ก็ต้องสั่งผัดเห็ดหอมสด...เมื่อไหร่เมื่อนั้น(พวกเราเริ่มเบื่อกันสุด ๆ)
ตอนแรกลังเลว่าจะเรียกเฮียคนขับรถนั่งร่วมโต๊ะด้วยหรือเปล่า แต่คุณแด๊ดก็ตัดสินใจเรียกเฮียกินข้าวด้วยกัน เฮียแกก็แยกไปนั่งคนละโต๊ะสั่งอาหารของแกกินไม่มาร่วมกับเรา พอถึงตอนกินเสร็จ เก็บตังค์ แม่ก็บอกน้องว่าให้คิดค่าอาหารของโต๊ะนั้น พร้อมทำมือบุ้ยใบ้ส่งซิกไปยังโต๊ะที่ว่า ซึ่งเฮียคนขับรถแกหายตัวไปแล้ว น้องคนสวยบอกว่าสำหรับคนขับรถทางร้านไม่คิดตังค์ เป็นบริการของทางร้านอาหาร ว๊าว...มีแบบนี้ด้วยแฮะ ฉันเพิ่งรู้ เมื่ออิ่มหนำสำราญจนแทบจะกลิ้งกันออกมาจากร้าน ก็ผัดหมี่จานสุดท้ายนั่นแหล่ะทำพิษ ไม่รู้ว่ามันเป็นหมี่เสฉวน หรือหมี่ยูนนาน เราต้องรอนานแสนนาน เพราะแขกขนัดเต็มร้าน ทวงน้องคนสวยหลายรอบว่าได้ยังจ๊ะ ๆ น้องก็ว่ากำลังผัดอยู่ค่า ๆ (น้องลงท้ายว่าค่ะ) ทั้ง ๆ ที่อิ่มแสนอิ่ม ก็รอ ร้อ รอกันต่อไป สำหรับฉัน ๆ เฉย ๆ เพราะหมี่ค่อนข้างมัน แต่แม่ น้องชาย และตาอ้วนปลื้มจมเส้นสุดท้าย ตาอ้วนสะกิดบอกให้ฉันจ่ายเงินค่าอาหารมื้อนี้ เพราะรู้สึกเกรงใจแม่เหลือเกิน ฉันก็จ่ายไป จำราคาไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่แพงมาก 8-900 บาท หรือพันต้น ๆ เนี่ยแหล่ะ เป็นมื้อแรกและมื้อสุดท้ายที่ฉันจ่ายตลอดการเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน จากนั้นพวกเราเดินย่อยอาหารกัน พวกเราบอกเฮียคนขับรถบอกว่าขอเวลา 30 นาทีเดินดูของขาย เฮียแกรอในรถ หรือว่าเม้าส์กับเพื่อนร่วมธุรกิจเดียวกันก็ไม่รู้ได้ เพราะรถตู้ที่บริการพาเที่ยวแบบนี้ จอดกันริมถนนครึ่ดไปหมด เห็นเฮียแกส่งภาษาเหนือคุยกับคนขับรถตู้คันอื่นเสียงดังล้งเล้ง
ของที่ขายส่วนใหญ่เป็นของที่มาจากเมืองจีน ฉันว่าชาวเขาอาจจะเป็นคนเอามา ราคาแพงหรือเปล่า ฉันก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายฉันก็ซื้อดอกเก๊กฮวยกลับมา เพราะของเก่าที่ซื้อมาจากฮ่องกงเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อน เป็นสีชาดำเย็น ผ่านมา 5 ปีแล้ว แม่ค้าหยิบรถด่วนให้เราชิมคนละตัว สงสัยคิดว่าเราไม่รู้จัก แต่ชิมแล้วก็งั้น ๆ ไม่ได้มีรสนิยมทางด้านนี้ ก็ไม่ได้อุดหนุนซื้อมา อาโกวฉันน่ะสิ จุปากเสียดาย....บอกว่าน่าจะซื้อมา เพราะชอบกิน
ใกล้ ๆ กันนั้นเอง มีลานดินกว้าง ตรงกลางผูกชิงช้าไม้ขนาดใหญ่ รอบ ๆ ชิงช้าปลูกเพิงหลังคามุงหญ้าแฝกสร้างอย่างหยาบ ๆ ประมาณสิบกว่าเพิง แต่ละเพิงมีป้ายติดเขียนบอกเป็นชาวเขาเผ่าต่าง ๆ พร้อมกันนั้นชาวเขาในชุดประจำเผ่าก็ยืนขายของที่ระลึกทำด้วยมือ พวกสร้อยลูกปัด 3 เส้น 20 บาท กล่องไม้ลงสีวาดเป็นรูปช้าง แต่ดูแล้วฝีมือค่อนข้างหยาบ บางกล่องสีก็ถลอกออกมา บ้างก็ขายหมวกชาวเขา ไม่ว่าจะเป็นเผ่าไหนก็ขายของคล้าย ๆ กันไปหมด ไม่มีอะไรที่ฉันอยากซื้อเลย แต่ก็ช่วยอุดหนุนสร้อยข้อมือมา 3 เส้น ซึ่งก็ใส่ยากที่สุด เพราะต้องผูก ๆ แกะ ๆ อาเฮียคนขับรถแกบอกว่าพวกเราโชคดีที่ได้มาเห็นการฉลองปีใหม่นี้ แกขับรถพานักท่องเที่ยวมาเที่ยวดอยแม่สลองจนปรุก็ไม่เคยเห็นการชุมนุมชาวเขาแบบนี้ สงสัยจะจัดเฉพาะตอนช่วงปีใหม่เท่านั้น พวกเราเลยใช้เวลาที่จุดนี้นานกว่า 30 นาที
ก่อนจะอำลาดอยแม่สลอง ฉันหลุดปากถามแม่ไปว่า พวกชา บ๊วยดอง ท้อเชื่อมที่ขายอยู่เนี่ย ชาวบ้านแถวนี้เค้าทำกันเองจริงเหรอ เพราะว่าไร่ชาน้อยมาก แถมต้นท้อ ต้นบ๊วยก็ไม่เห็นว่าขึ้นอยู่ตรงไหนเลย แม่จึงบอกอาเฮียให้พาฉันกับตาอ้วนไปดูไร่ชาหน่อย โอ้ว...ไร่ชาปลูกตามเขา ลดหลั่นลงมาเหมือนขั้นบันได ดูแล้วนึกถึง หนอนยูนิฟ ชินเมโจได๋เลย จะว่าไร่ชากว้างก็กว้าง จะว่าไม่กว้างก็ไม่กว้าง เพราะที่ฉันคิดไว้ก่อนที่จะมาเห็น มันน่าจะเป็นอะไรที่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา (สงสัยจะจินตนาการเวอร์ไปหน่อย) แต่ก็ใหญ่ใช้ได้ ฉันและน้องชายรีบไปชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก น้องชายฉันก็เพิ่งสอยกล้องNikon D70s มาไม่นาน ก็เห็นก้ม ๆ เงย ๆ พุงหลาม ถ่ายดอกชา เลนส์ของน้องชายดีกว่าเลนส์คิตของหนอนที่ฉันใช้อยู่ รูปแจ่ม คมชัดกว่าภาพที่ฉันถ่าย อิจฉามันว่ะ ในบริเวณเดียวกันนั่นเอง มีโรงงานบ่มชา ซึ่งใช้คนงานเป็นชาวเขา ฉันว่าคงจะค่าแรงถูกกว่าใช้คนไทย ชาของดอยแม่สลองเป็นชาอูหลง หรือที่เรียกว่าเป็นblue tea (ชาจีนจะแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ red tea / black tea / blue tea / yellow tea / white tea / green tea) ปกติหากเป็นชาที่เมืองจีน เมื่อคนงานเก็บชามาได้จะเอาชาตากแดด และนำไปฝัด (บอกเป็นภาษาไทยไม่ค่อยจะถูก) เพราะในใบชาจะมีสารเคมีที่ีทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ขั้นตอนนี้จะทำให้ใบชามีสีเข้มขึ้น จากนั้นจะหยุดการoxidizeด้วยการใช้ความร้อนสูง และนวดใบชาเพื่อให้ใบชาทั้งใบม้วนเป็นกลม ๆ ซึ่งต่างจากชาเขียวญป และชาฝรั่ง (จะตัดใบชา) จากนั้นจะนำไปอบ (roast) ให้แห้ง ชาของดอยแม่สลอง ฉันคิดว่าไม่ได้roast นานสักเท่าไร เพราะเป็นชาสไตล์ไต้หวัน ซึ่งจะได้กลิ่นความใหม่ของใบชามากกว่า (แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน) ขับรถออกจากดอยแม่สลองก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว เฮียพาเราไปยังดอยตุงต่อ เพราะแม่อยากจะให้ฉันกับตาอ้วนได้เห็น ไร่แม่ฟ้าหลวง เราแวะนมัสการพระธาตุดอยตุงก่อน วันนี้พระธาตุปิดบูรณะซ่อมแซม ทำให้ไม่สามารถเห็นความงามได้ทั้งหมดแต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันก็ดีใจแย่แล้วที่ได้มีโอกาสมาเห็น จุดธูปเดินเวียนเทียนรอบพระธาตุสามรอบ คำไหว้พระธาตุก็ท่องได้แต่ นะโม 3 จบ ต่อจากนั้นก็ทำปากขมุบขมิบ เพราะจำไม่ได้ ตาอ้วนเสร็จก่อนฉัน ยืนรออยู่ พอฉันไว้พระธาตุเสร็จก็รีบลากให้ฉันไปดูรอยพระบาท พร้อมเอาควักเหรียญสตางค์ให้ฉันพยายามลองตั้งดู เหรียญพี่แกที่ตั้งก่อนหน้านี้เสียบไปกลางร่องพอดิบพอดี ตั้งตรงแหน่ว (แน่ละก็พี่แกเสียบเหรียญห้าบาทนี่) เหรียญบาทจะบางไปหน่อยเสียตั้งได้ยาก แต่ฉันก็ทำได้จนสำเร็จ
จากนั้นเฮียก็พาพวกเราไปที่ไร่แม่ฟ้าหลวง หรือที่เรียกว่าเป็นสวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ในแอ่งที่ราบด้านทิศเหนือของพระตำหนัก แม่ซื้อตั๋วสำหรับเข้าชมสวนให้ฉัน ตาอ้วน และน้องชาย ส่วนตัวแม่และคุณแด๊ดนั่งจิบกาแฟดอยตุงรออยู่ข้างนอก เพราะท่าน 2 คนเคยเข้าไปชมข้างในหลายครั้งแล้ว ตั๋วที่ซื้อนั้นสำหรับเข้าชมสวนเท่านั้น ไม่สามารถชมพระตำหนักได้ เพราะแม่กลัวว่าเราจะดูไม่ทัน เพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว
นักท่องเที่ยวมาเยอะมาก ๆ คาดคะเนดูหลายร้อยทีเดียว จะถ่ายรูปบรรยากาศรวม ๆ โดยไม่ให้มีผู้อื่นติดเข้ามาในกล้องเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ฉันจึงต้องเลือกหาดอกไม้เป็นดอก ๆ ไป คุณแด๊ดบอกว่ามาช่วงวันหยุดยาวก็อย่างนี้แหล่ะ คนเยอะ ต้องทำใจ ดอกไม้ที่ปลูกในสวนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้เมืองหนาว มีเรือนเพาะกล้วยไม้ด้วย ตอนแรกก็ว่าจะซื้อกล้วยไม้อ่อนที่เพาะในขวดกลับมาด้วย แต่คิดไปคิดมาดูท่าคงจะขนอย่างทุลักทุเล จะรอดมาถึงญปหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ถึงจะรอดมาได้ ศุลกากรจะยึดเอาไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ
กาแฟดอยตุงที่ขายอยู่ข้างหน้าไร่แม่ฟ้าหลวงราคาแพงอยู่เหมือนกัน ของที่ระลึกพวกเสื้อยืด ถ้วยกาแฟก็ราคาชวนสะดุ้ง ใจก็อยากจะอุดหนุนโครงการของสมเด็จย่า แต่เนื่องด้วยอัฐน้อยเบี้ยน้อย จึงได้แต่ขอเงินแม่มาซื้อชาเขียวปั่น และเค้ก 1 ชิ้นกินเท่านั้น (จริง ๆ ซื้อให้ตาอ้วนนั่นแหล่ะ ฉันยังอืดขาหมูยูนนานตั้งแต่มื้อกลางวัน) ลงจากดอยตุงก็เกือบ ๆ 6 โมงเย็นแล้ว เฮียขับรถพาพวกเรากลับโรงแรม ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไป คุณแด๊ดก็เติมน้ำมันรถให้เต็มเท่ากับตอนเช้าที่เฮียขับมารับพวกเรา พรุ่งนี้เฮียจะมารับเราตอนตีห้าครึ่ง จะพาเราไปดูพระขี่ม้าบิณฑบาต แม่ดีใจจนเนื้อเต้น เพราะเคยอยากจะไปดูมานานแล้ว พระขี่ม้าบิณฑบาตที่แม่จันนี้ เป็น 1 ในamazing Thailandเลยทีเดียว ยังไม่มีโอกาสดูเสียที โชคดีจริง ๆ ที่ จู่ ๆ เฮียก็ถามขึ้นว่าอยากไปดูพระขี่ม้ามั้ย มีเหรอแม่จะปฏิเสธ
มื้อค่ำ เราทานอาหารอย่างง่าย ๆ ใช้รถน้องชายออกไปหาก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาร้านห้องแถวทาน คนอื่นกินกันคนละ 2 ชาม แต่ฉันชามเดียวก็จุกแล้ว เพราะตั้งแต่กลับเมืองไทย สวาปามเกินท้องจะรับได้ทุกมื้อเลย พอกินเสร็จฉันอยากไปเดินไนท์ บาซาร์ต่อ น้องชายก็ขับรถพาฉัน ตาอ้วน และคุณแด๊ดไปปล่อยไว้ที่ไนท์ บาซาร์ ส่วนตัวเองก็ขับรถพาแม่กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ฉันไม่เคยเดินไนท์ บาซาร์ที่เชียงใหม่ ฟังจากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เป็นแอร์ คงจะเป็นอะไรที่อลังการกว่าของเชียงรายหลายเท่า แต่เพื่อนคนนี้ก็ว่าชอบของเชียงรายมากกว่า เพราะดูเป็นชาวบ้าน และเป็นกันเองกว่าของเชียงใหม่ ที่ค่อนข้างจะดูเป็นธุรกิจมาก
ตาอ้วนติดใจปลอกหมอนอิงร้านหนึ่ง ฉันพยายามต่อราคา แม่ค้าก็ไม่ให้ (แน่ละก็วันนี้มันคืนวันที่ 30 ธ.ค.นี่ นักท่องเที่ยวมากันครึ่ดแบบนี้) ไม่ให้ฉันก็ไม่ซื้อ เดิน ๆ ต่อไปอีกหน่อย ฉันเกิดอาการปวดท้องอย่างหนัก ปวดแบบแก้สดันท้องขึ้นมา ปวดจนหน้าเขียวหน้าเหลืองบอกคุณแด๊ดว่าทนไม่ไหวแล้ว คุณแด๊ดก็เรียกตุ๊ก ตุ๊กกลับโรงแรม เคาะประตูห้องแม่ บอกว่าโรค"ลมป่วง" โรคเก่ากำเริบ แม่ให้ยาหม่องมหัศจรรย์แก้สารพัดพัดโรค ตาอ้วนควักออกมาทาท้อง นวด ๆ ให้สักพักก็รู้สึกดีขึ้น ฉันก็ถือโอกาสนี้ไม่อาบน้ำเข้านอนเสียเลย วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน แถมพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระขี่ม้าบิณฑบาตอีก
mahalo
Create Date : 22 เมษายน 2550 |
Last Update : 22 เมษายน 2550 10:50:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1928 Pageviews. |
|
|