เวรระงับด้วยการไม่จองเวร




เวรระงับด้วยการไม่จองเวร




ในหมู่บ้านตยาคาม เขตพระนครสาวัตถี มีครอบครัวมหาพราหมณ์ผู้หนึ่ง เป็นครอบครัวใหญ่มีข้าทาสบริวารมากมาย ครอบครัวของพราหมณ์มีสะใภ้นางหนึ่งเมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ๆ ก็ดีอยู่แต่พออยู่ไปนานวันเข้า ขันธสันดานอันมากไปด้วยโทสะจริตก็แสดงออกมา โดยการทุบตีด่าว่าทาสีทั้งหลายอยู่เสมอ บรรดาทาสีเหล่านั้นมีทาสีนางหนึ่งได้รับทุกขเวทนาจากน้ำมือของนายสาวมากที่สุด

วันหนึ่งนายสาวโกรธนางทาสีนั้นอย่างรุนแรง นางใช้มือจิกผมทาสีนั้นแล้วลากมาทุบตีด้วยไม้และก้อนอิฐที่อยู่ใกล้มืออย่างไร้ความเมตตา แม้ว่านางทาสีจะร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวดปานใดนายสาวก็ไม่ให้ความสนใจ ซ้ำยังกล่าวว่าประเดี๋ยวจะลงโทษอีก เมื่อนายสาวปล่อยมือแล้วนางจึงคิดว่า 


"นายสาวใจร้ายของเรา เมื่อจะลงโทษเอาตามอารมณ์ ย่อมจะจิกเอาผมของเราแล้วทุบตีที่ศีรษะร่างกายเอาตามใจชอบ อย่าเลยเราจะโกนผมเสียเพื่อที่นายสาวจะจิกผมเราไม่ได้" 

เมื่อคิดดังนั้นนางก็โกนผมเสียจนเกลี้ยงโล้นแล้วจึงกลับขึ้นคฤหาสน์ไป เมื่อนายสาวเห็นเข้าก็ยิ่งโกรธมากขึ้นแล้วตะโกนด่าว่า 

"มึงโกนผมเสีย ด้วยนึกในใจว่าจักพ้นน้ำมือกูแล้วเหรอ" 

ว่าดังนั้นแล้วก็สั่งให้คนไปเอาเชือกมารัดศีรษะนางทาสนั้น แล้วจับเอาปลายเชือกฉุดมาตบตี เสร็จแล้วก็บังคับไม่ให้เอาเชือกนั้นออก ปล่อยให้เชือกรัดศีรษะอยู่อย่างนั้น ครั้นพอเกิดอารมณ์โกรธขึ้นครั้งใดก็จับปลายเชือกฉุดกระชากลากมาตบตี 

จนคนทั้งหลายเรียกนางทาสีนั้นว่า รัชชุมาลา ต่อมาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรวจดูหมู่สัตว์อันเป็นพุทธกิจที่ทรงปฏิบัติอยู่เป็นนิตย์ ทรงเห็นว่านางรัชชุมาลาทาสีจักได้บรรลุพระโสดาปัตติผลสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลผู้ประเสริฐเที่ยงแท้ จึงเสด็จออกจากพระเชตวันมหาวิหารเพียงพระองค์เดียวประทับ ณ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วจึงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีให้สว่างไสวแลเลื่อมพรรณรายอยู่ในบริเวณนั้นเป็นอัศจรรย์ 

ส่วนนางรัชชุมาลาทาสี เมื่อถูกโบยตีมาจากนายสาวทั้งวัน ก็ปวดร้าวชอกช้ำสลบซบหลับไปทั้งคืน ครั้นเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นในยามอรุณรุ่ง ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง นางน้อยใจในวาสนาจนน้ำตาไหลริน ก็คิดไปว่า 

"จักมีประโยชน์อันใด ด้วยการมีชีวิตอยู่ให้เขาทุบตีเอาตามใจชอบ ได้รับความเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด ชาตินี้มีกรรม เราจึงต้องได้รับความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อมีกรรมเช่นนี้แล้วก็อย่าอยู่เป็นผู้เป็นคนกับเขาอีกเลย ตายเสียดีกว่า" 

เมื่อนางคิดเช่นนั้นแล้วก็เดินตรงไปยังท่าน้ำ คว้าเอาเชือกเถาวัลย์ติดมือมาตั้งใจจะผูกคอตาย ครั้นเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่นางก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเหลียวมองดูรอบข้างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทำอัตวินิบาตกรรม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประทับนั่งอยู่ ณ ต้นไม้ใกล้ๆ นั่นเอง นางอัศจรรย์ใจแลปีติยินดีเป็นยิ่งนักด้วยองค์พระชินสีห์ทรงสวยงามด้วยพระฉัพพรรณรังสี ประเสริฐเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และคิดว่า 

"หากแม้ตัวข้าผู้มีวาสนาน้อย ได้ฟังพระธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักครั้งหนึ่ง ก็คงจักเป็นบุญกุศลแก่ตัวยิ่งนัก แต่เห็นทีจักไม่มีโอกาสเพราะตัวเราเป็นคนอาภัพวาสนาเกิดมาในตระกูลที่ต่ำช้าเป็นทาสีเขา ไหนเลยพระองค์จักแสดงธรรมหรือแม้แต่สนทนาปราศรัยกับเรา" 

ครั้นองค์พระชินสีห์ทราบวาระจิตแห่งนางจึงมีพุทธฎีกาตรัสเรียกว่า 

"ดูกร รัชชุมาลา" 

เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็ลืมการที่จะคิดฆ่าตัวตายเสียสิ้น ค่อยๆ ปลดห่วงที่สวมคอตนออกแล้วไต่ลงจากต้นไม้ เข้าไปกราบถวายนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะนั้นองค์พระพิชิตมารจึงตรัสพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถา ตามสมควรแก่นาง พอจบพระธรรมเทศนา 

นางรัชชุมาลาทาสีผู้ซึ่งมีวาสนาที่ตนเคยสั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ ก็พลันได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระบวรพุทธศาสนา แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เสด็จกลับไปยังพระเชตวันมหาวิหาร ฝ่ายนางรัชชุมาลาพระโสดาบันอริยชนคนใหม่

 ก็น้อมกายลงถวายอภิวาทหันหน้าไปทางทิศที่พระองค์เสด็จไปเมื่อสักครู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจึงเดินกลับไปยังคฤหาสน์ตามเดิม ครั้นมาถึงหน้าคฤหาสน์ก็ให้บังเอิญประจันหน้ากับท่านมหาพราหมณ์ซึ่งเป็นพ่อผัวนางใจร้าย 

พราหมณ์เฒ่ามองหน้านางทาสีเห็นพักตราผ่องใสผิดสังเกต ไม่เศร้าหมองเหมือนแต่ก่อน ก็เอ่ยถามว่าเป็นเพราะเหตุใด รัชชุมาลาทาสีก็เล่าเรื่องแต่ต้นให้ฟัง เมื่อพราหมณ์เฒ่าได้สดับฟังก็พลันบังเกิดความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงรีบขึ้นเรือนไปเรียกหานางหญิงลูกสะใภ้แล้วขู่สำทับอย่างเฉียบขาดว่า 

"แต่นี้ต่อไป เจ้าอย่าได้ตีด่านางรัชชุมาลาอีก มิฉะนั้นเราจักเอาโทษแก่เจ้า" 

เมื่อประกาศดังนั้นแล้ว มหาพราหมณ์เฒ่าใคร่จักได้ฟังพระธรรมเทศนา ก็ได้กราบทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้ามายังหมู่บ้านแห่งตน พร้อมถวายอาหารบิณฑบาต พราหมณ์และคหบดีทั้งหลายในตำบลตยาคามขณะนั้นยังไม่มีความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อเห็นท่านมหาพราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้ามีความเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนั้น ต่างก็พากันมาต้อนรับและสดับฟังพระธรรมเทศนาแห่งพระพุทธองค์ ต่อมาก็ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีล ๕

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และประกาศแต่งตั้งให้นางรัชชุมาลาทาสีนั้นเป็นธิดาสุดที่รักแห่งตนตราบเท่าสิ้นชีวิต เมื่อท่านมหาพราหมณ์ผู้ทรงคุณถึงแก่กรรมแล้ว ต่อมาไม่นาน นางรัชชุมาลาผู้เป็นธิดาบุญธรรมก็ทำกาลกิริยาตายไปตามธรรมดาแห่งสังขาร แล้วไปอุบัติเป็นเทพนารี มีรัศมีและฤทธานุภาพมาก ณ เทพวิมานสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

บุพกรรมแต่หนหลัง

เล่ากันมาว่า ทาสีนั้นได้เป็นนายของนาง ครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ ส่วนนางเป็นทาสี เธอทุบต่อยทาสีนั้นด้วยก้อนดินและกำหมัดเป็นต้นเนืองๆ ทาสีเหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้กระทำบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้นตามกำลัง ตั้งความปรารถนาว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงเป็นนายมีความเป็นใหญ่เหนือหญิงนี้. 

ภายหลัง ทาสีนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เวียนว่ายไปๆ มาๆ อยู่ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในหมู่บ้านคยา ไปมีสามี ตามนัยดังกล่าวแล้ว. ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งได้เป็นทาสีของนาง นางจึงเบียดเบียนเธอเพราะผูกอาฆาตกันไว้อย่างนั้น.




Create Date : 14 ธันวาคม 2556
Last Update : 23 มกราคม 2557 9:03:10 น.
Counter : 1160 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปราชญ์บ้านนอก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]





ธันวาคม 2556

1
2
3
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
23
24
25
26
27
29
31