อารมณ์ก่อนตาย



อารมณ์ก่อนตาย




มีภิกษุเถระรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฏนามในพระศาสนาว่า พระโสณเถระ ท่านเป็นผู้มีปัญญูาวิลารทะคือแกลัวกล้าชำนิชำนาญในพระปรมัตถธรรม รู้อรรถอันสุขุมลุ่มลึกในพระพุทโธวาท พระผู้เป็นเจ้ามีปกติอยู่เป็นประจำ ณ เชิงเขาโสณคีรีบรรพต ตามสมณวิสัย ส่วนบิดาของพระคุณเจ้ามีอาชีพเป็นพรานไพรท่องเที่ยวไปในอรัญพร้อมกับฝูงสุนัข เพื่อล่าเนื้อถึกมฤคีทุกวัน 

พระโสณะผู้บุตรนั้นห้ามปรามว่ากล่าวแก่บิดาอยู่เสมอ แต่พรานเฒ่าผู้มีสันดานหยาบนิยมไพรไม่เชื่อฟัง ยังแอบเข้าป่าไปล่าเนื้ออยู่เนืองนิตย์ เมื่อชราภาพลงร่างกายอ่อนแอเข้าป่าไม่ไหวแล้ว พระคุณเจ้ามีจิตเอ็นดูกรุณาแก่บิดา จึงบอกว่าบิดาเป็นผู้ชราแล้ว แต่นี้ ไปก็จักเป็นผู้มีความตายเป็นไปในเบื้องหน้าไม่ช้านี้ ฉะนั้น ท่านอย่าฉิบหายจากสิ่งอันเป็นกุศลเสียเลย จงตั้งหน้ารักษาศีล คือ จงบวชเลียเถิด

" ตาเฒ่าไม่มีศรัทธา ได้ฟังภิกษุผู้บุตรมาว่าดังนี้ ก็ตกใจ รีบบอกปฏิเสธเป็นพัลวัน อ้างโน่นอ้างนี่กล่าวเป็นโวหารบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงมากมาย พระเถรเจ้าก็มิว่ากระไร แต่ในไม่ช้า ก็มาว่าขานประสงค์จะให้พรานผู้บิดาบวชอีก พรานเฒ่าก็ปฏิเลธเช่นเคย พระเถรเจ้าเฝ้าชี้แจงอ้อนวอนพรานบิดาอยู่นานหนักหนา ในที่สุดพรานบิดาก็ยอมบวชแต่เพียงเป็นสามเณรเพื่อรักษาน้ำใจบุตรผู้อ้อนวอนไว้ 

พระเถระก็สอนให้รักษาสิกขาบทสิบไม่ให้ขาดได้ พอสามเณรแก่บวชแล้วได้วันเดียว ก็เกิดอาพาธหนัก ใกล้ตายเต็มที ลงนอนบนเตียงคิลานไสยาลน์ ไม่อาจลุกขึ้นได้ ในขณะที่สามเณรเฒ่ากำลังย่าง เข้าไปสู่แดนมฤตยูนั้น พลันนิมิตอกุศลก็มาปรากฏก่อน คือ ให้เห็นเป็นสุนัขใหญ่ ๆ วิ่งออกมาจากเชิงเขา แล้วเข้าแวดล้อมลามเณรเฒ่านั้น แสดงอาการ ราวกะว่าจะกัดเนื้อหนังมังสาเป็นภักษาหาร พรานใจบาปผู้เป็นเณรเฒ่าเห็นเช่นนั่น เข้าก็ละดุ้งตกใจกลัว ใจลั่นระรัวร้องโวยวายขึ้น เรียกพระเถระผู้เป็นบุตร ซึ่งนั่งเฝ้าพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ ให้ช่วยห้ามสุนัข พระเถระจึงถามว่า

"ดูกร บิดาท่านเห็นซึ่งสิ่งดังฤๅ?" สามเณรเฒ่าจึงเล่าแจ้งทุกประการว่า "ดูกรผู้เป็นบุตรเอ๋ย บิดานี้ได้เห็นหมู่สุนัขมันวิ่งมาเป็นอันมากล้วนแต่ดุร้ายแยกเขี้ยวจะกัดกินซึ่งบิดา ขอพ่อจงมีจิตเอ็นดูแก่บิดา ซ่วยห้ามปรามมันเสียทีเถิด" 

พระโสณเถระผู้เป็นบุตรจึงปริวิตกว่า "บิดาเรา ชะรอยจะไปเกิดในนรกเป็นแน่แท้ จึงให้ปรากฏเห็นนิมิตเช่นนี้ ก็บัดนี้ถ้าบุญมีอยู่บ้าง หากบิดายังไม่ตายแลัวไซร้ เราจะช่วยให้สมกับที่เป็นบิดาของบุตรผู้ มีปัญญาเช่นกับตัวเรา" คิดแลัวพระผู้เป็นเจ้าจึงตรวจดู ก็รู้ว่าบิดายังไม่ตาย เพียงแต่ถึงวิสัญูญูภาพสลบลงเท่านั้น

จึงลุกเดินมาข้างนอก ออกคำสั่งสามเณรเด็กทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ตน ให้ไปเก็บบุปผชาติต่าง ๆ มากระทำเป็นเครื่องลาดดาดประดับดอกไม้สักการบูชา ณ ลานพระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์เป็นอันมากแล้ว จึงให้ช่วยหามเตียง ของสามเณรแก่ผู้บิดา ไปยังลานพระเจดีย์โดยไว พอเณรเฒ่าได้ สติลืมตาขึ้น พระเถระจึงชี้ให้ ดูดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสวยสด ปรากฏตั้งอยู่ที่ใกล้ พระเจดีย์ ศรีมหาโพธิ์เป็นเครื่องสักการบูชา แล้วสอนว่า

"บิดาจงยังจิตให้เลื่อมใสเป็นอันดี ดอกไม้เหล่านี เป็นของบิดา เขาหามาเพื่อให้บิดาได้กระทำสักการะพระเจดีย์ อย่างนี้จะเป็นที่พอใจหรือไม่?" ครั้นเห็นบิดาผู้ใกล้จะตายพยักหน้ารับเอาแล้ว จึงลอนต่อไปว่า "แต่นี้บิดาจงทำใจให้ ดี แล้วว่าในใจตามข้าพเจ้า 

...ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมโลกนาถ อยํ ปูชา เครื่องสักการบูชาเหล่านี้ ข้าพระองค์ขอน้อมถวายอุทิศแด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้ เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์ เครื่องสักการบูขาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้ เป็นของ ข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์ " 

สามเณรแก่ประณมมือว่าตามถ้อยคำที่พระเถระผู้ บุตรสอนอยู่ในใจ เพราะ ป่วยหนัก ออกวาจามิได้ แต่ในใจเลื่อมใส ชุ่มชื้นนักหนา พอบูชาเสร็จก็หลับตาลง ขณะนั้นนิมิตข้างฝ่ายสวรรค์เทวโลกก็พลันบังเกิดขึ้น บันดาลให้สามเณรแก่เห็นเป็นทิพยวิมาน พร้อมทั้งสวนนันทวันและสวนผรุสกวันในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์ แต่พอภาพนั้นเลือนหายไป ภาพใหม่ก็ปรากฏมาอีกเล่า เป็นชาวสวรรค์เทพอัปสรกัญญามาแวดลัอมอยู่โดยรอบ ตาแก่ชอบใจจึงมีแรงออกโอษฐ์ขับไล่พระเถระผู้ เป็นบุตรว่า

"ดูกรพระโสณะ! ท่านจงถอยออกไปหน่อย พระเถระจึงค่อยถามว่า "บิดาเห็นสิ่งใดหรือ จึงมาขับข้าพเจ้าเสียฉะนี้'' สามเณรเฒ่าจึงมีวาจาตอบว่า "นางเทพอัปลรที่จะเป็นมารดาของท่าน มาแวดล้อม ต้อนรับเรา ท่านจงหลีกเขาหน่อยเถิด อย่าให้เขาต้องเข้าใกล้ตัวท่านผู้เป็น สมณะ" พระโสณเถระก็รู้แจ้งว่า นิมิดข้างฝ่ายสวรรค์มาปรากฏเช่นนี้ บิดาตนจักต้องไปเกิดในสรวงสวรรค์แน่นอน พระเถระคิดฉะนี้ แลัว ก็ถอนใจมองดูบิดา หลับตาตายอย่างเป็นสุข

พุทธสุภาษิต 

ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์. บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมได้รับประโยชน์ทั้งสอง.ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม. ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาท.

ศึกษาเพิ่มเติม:  //www.selectcon.com/dharma_thepmuni_1.asp



Create Date : 16 มกราคม 2557
Last Update : 23 มกราคม 2557 8:56:23 น.
Counter : 1042 Pageviews.

2 comments
  
สาธุ สาธุ สาธุ ทุกคนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
โดย: แฟนคลับคุณขอน IP: 116.68.149.50 วันที่: 17 มกราคม 2557 เวลา:8:39:24 น.
  
ต้องศึกษาเรื่อง "รูปแบบการตาย" ประกอบด้วยครับ เพราะการตายไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะผ่านขั้นตรีฑูตอย่างเดียว การตายที่ไม่ผ่านขั้นตรีฑูตคือตายแบบฉับพลันทันทีโดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ตายไปแล้วก็มีครับและมีเยอะด้วย

สรุปว่า รูปแบบการตายจะมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ ตายแบบรู้ตัว กับ ตายแบบไม่รู้ตัว แต่ที่สอนๆกันอยู่ส่วนใหญ่หลายๆสำนัก จะสอนกันเฉพาะวิธีปฏิบัติเตรียมตัวก่อนตายในส่วนของการตายแบบรู้ตัวเท่านั้น แต่การตายแบบไม่รู้ตัวไม่เห็นมีใครจะพูดถึง ไม่เห็นมีใครจะเอาวิธีการปฏิบัติมาสอนกันสักเท่าไหร่เลย

ถ้าไม่มีใครบอก-สอน วิธีปฏิบัติในส่วนนี้ เอาไว้ว่างๆผมจะมาเขียนบอกวิธีเองครับ
โดย: ฆราวาสธรรม IP: 171.97.17.197 วันที่: 17 มกราคม 2557 เวลา:15:48:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปราชญ์บ้านนอก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]





มกราคม 2557

 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
16 มกราคม 2557