BlogGang.com : : scimovie : ความเชื่อเกี่ยวกับการกินไข่และอื่นๆ ที่ควรทิ้งออกจากสมองไปเสีย

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินไข่และอื่นๆ ที่ควรทิ้งออกจากสมองไปเสีย

5 ความเชื่อผิด ๆ เรื่องอาหารที่ทิ้งไปได้แล้ว!

ยุคนี้มันอะไรกัน เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถกดส่งต่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ที่มีข้อมูลสร้างความเข้าใจผิดใหญ่โตไปหาคนอื่นได้นับร้อย จนหลายคนถึงกับเลิกใช้ไมโครเวฟ แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ และวันนี้เรานำมาบอกต่อ ๆ กันค่ะ

1.ไข่ไม่ดีต่อหัวใจ

ในไข่แดงมีคอเลสเตอรอลอยู่มาก ประมาณ 211 มิลลิกรัมในฟองใหญ่ ๆ และจริงที่คอเลสเตอรอลนั้นอาจอุดตันเส้นเลือด และทำให้หัวใจวายได้ แต่การบอกว่า "ไข่ไม่ดีต่อหัวใจ" นั้น เป็นการอ้างเหตุผลที่ผิด

ทำไมล่ะ? นี่เป็นเพราะคอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ที่เรากิน ไม่มีผลกระทบใหญ่หลวงนักต่อคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ตัวร้ายจริง ๆ อยู่ที่ไขมันอิ่มตัวและไขมันแปรรูปต่างหาก ในกรณีของไข่ฟองใหญ่ ๆ อาจจะมีไขมันอิ่มตัว 2 กรัม และไม่มีไขมันแปรรูปเลย แต่คุณอาจจะต้องมาคิดว่า ควรกินคอเลสเตอรอลแค่วันละ 300 มิลลิกรัม สำหรับคุณผู้หญิงที่อายุมากกว่า 55 หรือมีโรคเบาหวาน ก็ต้องลดให้เหลือวันละ 200 มิลลิกรัม แปลว่าปริมาณที่เหมาะสมจะอยู่ที่ไข่น้อยกว่าหนึ่งฟองต่อวัน หรือประมาณสัปดาห์ละ 2 ฟองนั่นเอง

2.รังสีจากในโครเวฟทำให้เกิดสารพิษในอาหาร

"รังสี" อาจทำให้เรานึกถึงโรงงานนิวเคลียร์ แต่ความจริงหมายถึงพลังงานที่เดินทางเป็นคลื่นและแพร่กระจาย โดยทั้งไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ และแสงก็เป็นรังสีเช่นเดียวกับรังสีเอ็กซ์และแกมมา ซึ่งมีผลต่อร่างกายเราได้

แต่ไมโครเวฟที่ใช้ในการปรุงอาหาร มีกำลังน้อยกว่ารังสีเอ็กซ์หรือแกมมาหลายเท่า โดย ดร.โรเบิร์ต แบร็กเกตต์ ผู้อำนวยการ National Center for Food Safety and Technology จาก Illinois In of Technology ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอาหารขณะที่อยู่ในเตาไมโครเวฟ เกิดจากความร้อนที่สร้างขึ้นข้างในอาหาร ไม่ใช่คลื่นไมโครเวฟ การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับวิธีอื่น ๆ ซึ่งใช้ความร้อน แต่อย่างไรก็ตาม พลาสติกที่ใช้ห่อหุ้ม จึงต้องใช้ภาชนะที่ทนต่อไมโครเวฟเสมอ

3.เหยาะเกลือลงในซุป รังแต่จะทำให้อาหารมีโซเดียมมากขึ้น

จริงที่ว่า โซเดียมอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพสำหรับเราหากได้รับมากเกินไป แต่ในทางเดียวกัน การเติมเกลือลงในน้ำเดือด ๆ อาจยิ่งทำให้ผักนั้นมีคุณค่ามากขึ้น โดยมันจะหยุดยั้งไม่ให้สารอาหารในผักละลายออกมาในน้ำซุปจนหมด และช่วยให้กระบวนการปรุงอาหารย่นระยะเวลาลง ดังนั้น สารอาหารจึงเสียไปไม่มากนัก ในระหว่างที่ปรุงอาหาร

4.น้ำเชื่อมข้าวโพดอันตรายกว่าน้ำตาล

น้ำเชื่อมข้าวโพดในที่นี้รู้จักกันในนาม High-Fructose Com Syrup หรือ HCFS ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้แทนน้ำตาล โดยการศึกษาซึ่งเปรียบเทียบผลการใช้ HCFS กับสารให้ความหวานชนิดอื่น ๆ ทั้งน้ำตาลซูโครสและ HCFS นั้นมีผลอย่างเดียวกันต่อระดับอินซูลิน กลูโคส ไตรกลีเซอไรด์ และฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร นั่นก็คือ น้ำตาลกับน้ำเชื่อมข้าวโพดไม่มีอะไรดีไปกว่ากันเลย จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะหลีกเลี่ยง "น้ำเชื่อมข้าวโพด" แต่กลับสบายใจกับ "น้ำตาลทราย" อันตรายจึงอยู่ที่ตัวความหวานเองต่างหาก

การบริโภคน้ำตาลเป็นจำนวนมากมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคตับแข็ง ภาวะดื้ออินซูลิน โรคหัวใจ และโรคเบาหวานประเภท 2 เราจึงไม่ควรรับน้ำตาลมากกว่า 100 แคลอรีต่อวัน หรือประมาณ 6 ช้อนชา ที่อาจผสมในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ และอาหารทั่วไปที่อาจผสมน้ำตาลได้

5.ไมโครเวฟทำให้สารอาหารหายไป

นี่เป็นความคิดที่ผิดเช่นกัน ผศ.ดร.แครอล บอยด์เบรดเบนเนอร์ จาก Rutgers Universtiy อธิบายว่า ไม่ว่าจะใช้ไมโครเวฟ เตาถ่าน หรือเตาแก๊ส สิ่งที่จะมีผลกับสารอาหาร ก็คือความร้อนและระยะเวลาที่คุณใช้ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับวิธีการยิ่งนานและร้อนมากเท่าไหร่ อาหารนั้นก็จะเสียคุณค่าจากสารอาหารที่ละลายน้ำได้มากเท่านั้น โดยเฉพาะวิตามินซีและไธอาเมิน (วิตามิน) ในทางกลับกัน ไมโครเวฟมักจะช่วยย่นระยะเวลาในการปรุงอาหาร จึงมักจะรักษาสารอาหารเอาไว้ได้มากกว่าด้วยซ้ำ

Tip
หากต้องการลวกผักลองเติมเกลือลงไปในน้ำเดือด อัตราส่วน 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย เพื่อให้ผักเก็บสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา
//health.kapook.com/view20159.html

Create Date : 31 ธันวาคม 2553

Last Update : 31 ธันวาคม 2553 16:17:20 น.

0 comments

Counter : 1302 Pageviews.