"ชมพูภูคา" หนึ่งเดียวในโลกที่ดอยภูคา จ.น่าน..ชีวิตนี้อย่างพลาด
Bretschneidera sinensis Hemsl
ไปน่านก็หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นไปด้วยตนเองสักครั้ง ได้แต่ดูรูปและฟังเรื่องที่เขาไปมา แต่คงมีสักวันที่เราจะไปด้วยตนเองแน่นอน
"ชมพูภูคา" หนึ่งเดียวในโลกที่ดอยภูคา
Bretschneidera sinensis Hemsl
ดอกชมพูภูคา ต้นไม้ที่มีรายงานว่าพบเพียงแห่งเดียวในโลก ที่อุทยานฯดอยภูคา จ. น่าน
Bretschneidera sinensis Hemsl
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก สำหรับคนที่มีความรักหลายๆคนคงจะมีโลกที่สดใสมองเห็นอะไรเป็นสีชมพูไปหมด
สำหรับที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน ช่วงนี้ก็มีสีชมพูโดดเด่นเช่นกัน แต่ว่าหาใช่สีชมพูที่เกิดจากความรัก หากแต่เป็นสีชมพูที่เกิดจากการผลิบานของดอก "ชมพูภูคา" (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. ชื่อวงศ์ : BRETSCHNEIDERACEAE) ต้นไม้พันธุ์หายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานการค้นพบในโลกเพียงที่เดียวคือที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
ชมพูภูคา เป็นพืชหายากใกล้สูญพันธุ์ที่มีดอกสีชมพูอมขาวงดงาม ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้ ชมพูภูคา เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
โดยเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเคยมีรายงานการสำรวจพบต้นชมพูภูคาทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปแล้ว จนในปี พ.ศ. 2532 ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
ชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-25 เมตร จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณป่าดงดิบ ตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และมีความชื้นของอากาศสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีค่อนข้างต่ำ
สำหรับในประเทศไทยมีรายงานการสำรวจพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้เมื่อมี พ.ศ. 2532 บริเวณป่าดงดิบเขาดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยลักษณะต้นชมพูภูคานี้จะสูงประมาณ 25 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ 50 เซนติเมตร เปลือกเรียบเป็นสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ช่อดอกตั้งตรงแยกแขนงออกตามปลายกิ่งกลีบเลี้ยงติดกันคล้ายรูประฆัง กลีบดอกสีชมพูมีริ้วสีแดง ออกดอกประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลคล้ายมะกอกแต่มีขนาดใหญ่กว่า พันธุ์ไม้ชนิดนี้จากการศึกษาพบว่าจะเจริญเติบโตได้ดีบริเวณป่าดงดิบเขาตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป และมีความชื้นของอากาศสูงอุณหภูมิเฉลี่ยค่อนข้างต่ำตลอดทั่งปี
ปัจจุบันได้มีการทดลองเพาะกล้าไม้ชมพูภูคาจากเมล็ดเป็นผลสำเร็จซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ชมพูภูคาไม่สูญพันธุ์จากโลกนี้ต่อไป (โล่งใจที่ต้นไม้นี้จะยังคงอยู่ต่อไป และจะทำให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวมากขึ้นแน่นอน)
"ชมพูภูคา พันธุ์ไม้ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งพบเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน"
Bretschneidera sinensis Hemsl
สำหรับ "ดอกชมพูภูคา" จะออกดอกเบ่งบานระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งผู้ที่สนใจก็สามารถไปชมดอกชมพูภูคา ได้ที่ "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" ซึ่งอุทยานแห่งนี้นอกจากจะมีดอกชมพูภูคาเป็นไฮไลท์แล้วก็ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอย่างเช่น
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นบริเวณที่ทำการอุทยานฯ โดยในเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้มีต้นชมพูภูคาเป็นพระเอก ส่วนพระรองก็มี ต้นเต่าร้างยักษ์ ซึ่งเป็นปาล์มที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ มีลำต้นสูงใหญ่กว่าต้นเต่าร้างทั่วไป เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 8-12 เมตร
ดอยภูแว เป็นดอยสูงที่พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้า โดยในช่วงฤดูหนาวมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินขึ้นสู่ยอดดอยภูแวเพื่อชมทิวทัศน์และชมพระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงทะเลหมอกที่สวยงามซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งดอย ทั้งนี้ผู้ที่สนใจขึ้นดอยภูแวต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่นำทาง
ป่าปาล์มดึกดำบรรพ์ บริเวณรอบๆ ดอยภูแว มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ไร่ เป็นป่าปาล์มธรรมชาติดงดิบ แทบจะไม่มีพันธุ์ไม้อื่นใดปะปน ซึ่งชาวเขาเผ่าม้งเรียกว่า
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 8 อำเภอ คือ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว อำเภอท่าวังผา อำเภอสันติสุข อำเภอแม่จริมและอำเภอบ่อเกลือ มีพื้นที่ประมาณ 1,065,000 ไร่ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว ลำน้ำว้า ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวจังหวัดน่าน และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เป็นที่เชื่อกันว่าเทือกเขาดอยภูคาเป็นเมืองเก่าของบรรพบุรุษของคนเมืองน่านและในปัจจุบันนี้ก็ยังมีศาลเจ้าพ่อภูคา ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 31 ถนนสายปัง-บ่อเกลือ อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดน่านและบุคคลทั่วไป
ปี พ.ศ.2526 ราษฎรของ จ.น่าน ได้เห็นความสำคัญที่จะอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธารเพื่อป้องกันการบุกรุกทำลาย จึงได้มีหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้กำหนดป่าดอยภูคา อ.ปัว ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ต่อมาได้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2542 อีกทั้งภายในบริเวณพื้นที่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ถ้ำ น้ำตก ล่องแก่งต่างๆและต้นชมพูภูคา ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งประเทศและต่างประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศ : สภาพภูมิประเทศดอยภูคา ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีพื้นราบตามแนวรอบอุทยานฯ ความสูงของพื้นที่จากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 800 เมตร และบริเวณยอดเขาดอยภูคามีความสูงถึง 1,980 เมตร สภาพป่าทั่วไป บางส่วนยังมีความอุดมสมบูรณ์ บางส่วนเป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมของชาวเขาที่อยู่อาศัยอยู่ในและรอบเขตอุทยานฯ
ลักษณะภูมิอากาศ : โดยทั่วไปภายในเขตอุทยานฯดอยภูคา มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-เดือนตุลาคม ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม-เดือนกุมภาพันธ์ ส่วฤดูร้อนเป็นช่วงสั้นๆคือเดือนมีนาคม-เมษายน แต่อากาศบนดอยภูคาจะเย็นสบาย
ชนิดของป่าไม้ : ป่าดอยภูคา สามารถจำแนกประเภทป่าออกได้เป็น 6 ประเภท คือ ป่าดิบเขา เป็นป่าที่สมบูรณ์ มีประมาณร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้งหมด ป่าดิบแล้ง เป็นป่าสมบูรณ์มักอยู่ตามริมแม่น้ำลำธาร มีพื้นที่ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ป่าเบญจพรรณ มีกระจัดกระจายตามที่ราบริมขอบเขตและตามพื้นที่ลาดชันน้อย มีพื้นที่ร้อยละ 25 ของพื้นที่ ป่าเต็งรังเป็นป่าที่อยู่บริเวณพื้นที่ลาดเขาและบนดอยภูคาในพื้นที่บางจุด มีพื้นที่ร้อยละ 20 ป่าสนธรรมชาติ มีขึ้นอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่ทางตอนใต้ของอุทยานฯ บริเวณบนดอยภูหวด ทุ่งหญ้า มีอยู่กระจัดกระจาย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกิดจากการบุกรุกทำลายถางป่าเพื่อทำไร่หมุนเวียนขอชาวเขามาก่อน มีพื้นที่ร้อยละ 9
แหล่งน้ำและสัตว์ป่า : ป่าดอยภูคาเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาสลับซับซ้อน และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารชั้น1A เป็นแหล่งที่กำเนิดลำน้ำสำคัญหลายสายที่ไหลไปบรรจบกันเป็นแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สายที่รวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีทุ่งหญ้าธรรมชาติที่เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่า เช่น เก้ง กวาง หมูป่า เลียงผา ค่าง หมี ลิง ชะนี และนกนานาชนิด
จุดเด่นที่น่าสนใจของดอยภูคา ต้นชมพูภูคา เป็นพรรณไม้ที่มีชนิดเดียวในโลก ในประเทศไทยพบเพียงที่เดียวที่ป่าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ต้นชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร เปลือกเรียบ สีเทาอ่อน ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
เต่าร้างยักษ์ (เต่าร้างน่านเจ้า) เป็นไม้เฉพาะถิ่นของดอยภูคา จัดเป็นประเภทปาล์มลำต้นเดี่ยว สูงประมาณ 40 เมตร ยังไม่มีรายงานว่าพบที่ใดในโลก
ก่วมภูคา เป็นพรรณไม้ที่พบครั้งแรกในประเทศไทย จัดเป็นไม้ผลัดใบ พืชวงศ์เดียวกับเมเปิ้ล ลำต้นสูงประมาณ 15 - 20 เมตร ใบอ่อนสีแดงเว้า 5 แฉก ใบแก่สีเขียว 3 แฉก นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้หายาก อาทิ จำปีช้าง ไข่นกคุ้ม ค้อเชียงดาว โลดทะนงเหลือง ขาวละมุน เทียนดอย เสี้ยวเครือ มะลิหลวง สาลี่หนุ่ม เหลือละมุน กุหลาบขาวเชียงดาว ฯลฯ
ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้ง เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยอันความสวยงามและยังมีลำธาร น้ำตกภายในถ้ำด้วย เป็นถ้ำที่ยาวมากที่สุดในอุทยานฯ ตั้งอยู่ในบริเวบ้านมณีพฤกษ์ อ.ทุ่งช้าง (อ่านรายละเอียดในบ้านมณีพฤกษ์)
ถ้ำผาฆ้อง เป็นถ้ำขนาดกลาง ปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยอันสวยงามและลำธารไหลผ่าน ในช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าไปเที่ยวได้เพราะภายในถ้ำอาจมีน้ำท่วม อย่ระหว่างทางขึ้นอุทยานฯ
น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูน ขนาดกลาง มี 3 ชั้น สูงประมาณ 60 เมตร อยู่บริเวณใกล้ๆที่ทำการอุทยานฯ
น้ำตกวังเปียน อยู่ใกล้กับหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยภูคาที่ 8 (บ้านห้วยโกร๋น) เขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
จุดชมวิวลานดูดาว เป็นจุดกางเต้นท์พักแรมและชมทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ของขุนเขา
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ท่านได้เดินเที่ยวชมพันธุ์ไม้ บรรยากาศสวยครับ
ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งน้ำว้าระดับ 3 - 5 ประมาณ 20 กว่าแก่ง ต้องใช้เวลากับกรพักแรมกลางป่าระหว่างการล่องแก่งด้วย ซึ่งลำน้ำว้าเกิดจากเทือกเขาในเขตอุทยานขุนน่าน ไหลผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ผ่านอุทยานแห่งชาติแม่จริม ก่อนที่จะไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านครับ
ดอยภูแว เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ยอดดอยมีความสูง 1,837 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ลานหิน หน้าผา และพันธุ์ไม้ที่สำคัญ อาทิ ดอกกุหลาบพันปี ค้อ ทุ่งดอกไม้ เป็นสถานที่ชมวิวทิวทัศน์และทะเลหมอกอันสวยงาม การเดินทางสู่ดอยภูแวต้องเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร มีลูกหาบไว้คอยบริการ (หากเพื่อนๆสนใจที่จะไปพิชิตดอยภูแว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคาได้ครับ ช่วงที่เหมาะคือเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ครับ อากาศกำลังหนาว ทะเลหมอกสวยครับ)
บ้านมณีพฤกษ์ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เขต อ.ทุ่งช้าง เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง มีโครงการปลูกดอกไม้ พืชผักเมืองหนาว ดำเนินการโดยโครงการพัฒนาต้นน้ำ และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ มีถ้ำต่างๆมากมาย ฐานปฎิบัติการทางทหาร และมีต้นชมพูภูคามากกว่าทางด้านที่ทำการอุทยานฯ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบ้านมณีพฤกษ์)
การเดินทาง : จากจังหวัดน่าน เดินทางโดนรถยนต์ ทางหลวงหมายเลข 1080 สู่ อ.ปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตร จากนั้นแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ระยะทาง 25 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
สิ่งอำนวยความสะดวก : อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีบ้านพัก ร้านอาหาร อำนวยความสะดวกต่อผู้มาเยี่ยมเยือนคือ บ้านภูคา1 เป็นบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 7 ท่าน บ้านภูคา2 เป็นบ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 6 ท่าน บ้านภูคา3/1, 3/2 - 7/1, 7/2 เป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พักได้ 6 ท่าน บ้านเกวียน มีทั้งหมด 16 หลัง พักได้หลังละ 2 ท่าน ห้องน้ำรวมครับ
นอกจากนี้ยังมีสถานที่กางเต้นบริเวณที่ทำการ 2 จุดและที่ลานดูดาว 1 จุด ที่ลานกางเต้นท์มีห้องน้ำไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย
สอบถามรายละเอียด ได้ที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ตู้ ปณ.8 ตำบลูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 โทรศัพท์ 054-701 000 หรือที่ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร.0 2562 0760
จองโรงแรมจังหวัดน่าน..คลิก
ที่มาข้อมูล - //www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000027522 - ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยเรื่องนิเวศธรรมชาติในเมืองไทย-ภาคเหนือ รูปภาพ - //www.flixya.com/gallery/65773/theseotitle
Create Date : 28 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 18:51:56 น. |
|
19 comments
|
Counter : 1215 Pageviews. |
|
|
|
ดอกสวยดีนะคะ แต่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นค่ะ
ยังไม่ได้อ่านรายละเอียด ไว้จะย่องเข้ามาอ่านใหม่นะคะ
ขอไปโหวตก่อนค่ะ
ฉัตรทำลิงค์ให้ที่บล๊อกแล้วนะคะ สู้ๆ ค่้ะ