ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
"เลือกเพศลูก" ทำได้จริงหรือ?!

"เลือกเพศลูก" ทำได้จริงหรือ?!



"คุณหมอคะ ลูกในท้องของหนูเพศอะไรคะ" นี่คือคำถามที่หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ ให้ความสนใจ เมื่อมารับการตรวจครรภ์และการตรวจอัลตร้าซาวนด์ ในทางการแพทย์ การกำหนดเพศ ว่าเพศหญิง หรือ เพศชาย แยกกันโดยโครโมโซมเพศ คือ เพศหญิง มีโครโมโซมเพศเป็น XX และเพศชาย ซึ่งมีโครโมโซมเพศเป็น XY ในอดีตปัญหาความต้องการในการเลือกเพศบุตรไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในหนึ่งครอบครัวมักจะมีลูกกันหลายคน ซึ่งมักต้องมีทั้งเพศหญิงและชายปะปนกันไป

แต่ในปัจจุบัน แต่ละครอบครัวมักวางแผนการมีบุตรเพียง 1-2 คน เท่านั้น (ปัจจุบันเชื่อว่ามีลูกมากจะยากจน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องการมีลูกหลายคน เพื่อมาช่วยกันทำงาน) บุตรคนแรกอาจเป็นสิ่งที่ไม่ค่อย ให้ความสนใจเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเพศอะไรก็ได้ แต่พอลูกคนที่สอง ต้องเริ่มคิดหนักหน่อย เนื่องจากส่วนใหญ่อยากได้ เพศที่แตกต่าง จึงเป็นที่มาของความพยายามในการคัดเลือกเพศบุตร ประโยชน์ของการเลือกมีบุตร นอกจากจะได้บุตรมีเพศตามที่ต้องการแล้ว ยังเป็นการช่วยจำกัดจำนวนบุตรในครอบครัว เพราะไม่ต้องรอจนกว่าจะได้บุตรเพศใดเพศหนึ่ง ซึ่งบางทีจะต้องรอคอยถึงหลายท้อง ดังนั้นวิธีเลือกเพศบุตรจึงเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการแผนครอบครัว

การพยายามคัดเลือกเพศบุตรมีมาเนิ่นนานแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยโรมันซึ่งเชื่อกันว่า การดื่มเลือดสิงโตเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ได้บุตรชาย คนตะวันตกพูดต่อๆ กันมานานแล้วว่า ถ้าอยากได้ลูกชายก็ต้องดื่มโค้ก-เป็ปซี่ แต่ถ้าอยากได้ลูกสาว ต้องรับประทานช๊อคโกแล็ตให้มาก ๆ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเลือกเพศบุตรให้ได้ตามความต้องการเป็นเรื่องที่แฝงเร้นมาทุกยุคทุกสมัยเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งในปัจจุบัน อาหารบางชนิดมีส่วนในการกำหนดเพศบุตร จากการศึกษาของ Dr. Stoloski ถ้าต้องการบุตรชาย ให้รับประทานอาหารที่มีโปตัสเซียม และโซเดียมเยอะๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ถั่ว ไส้กรอก มะเขือเทศ หรือถ้าต้องการบุตรสาว ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดีมาก ๆ ได้แก่ นม เนย ไอศกรีม ช๊อกโกแลต ไข่ ผักใบเขียว เป็นต้น

นอกจากนี้ ลักษณะการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาศัยธรรมชาติที่ว่า สเปอร์ม Y ตัวเล็กกว่า หางยาวจึงว่ายได้เร็วกว่า อ่อนแอกว่า ทนต่อภาวะกรดได้ไม่ดี ในขณะที่สเปอร์ม X ที่มีขนาดใหญ่กว่า หางสั้นจึงว่ายได้ช้ากว่า แข็งแรงกว่า ทนต่อกรดได้ดีกว่า โดยมีการศึกษาของ Dr.Shettles ที่ให้ความเห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์อาจมีผลต่อเพศทารกในครรภ์ เช่น วันที่มีเพศสัมพันธ์ ยิ่งใกล้วันที่มีการตกไข่มากเท่าใด ยิ่งโอกาสที่ได้ลูกชายสูง เพราะสเปอร์ม Y เร็วกว่าน่าจะเข้าเจาะไข่ได้ก่อน โดยภาวะกรดด่างในช่องคลอด ยิ่งมีภาวะเป็นกรดในช่องคลอดมากเท่าใด โอกาสที่จะได้ลูกสาวสูง เพราะสเปอร์ม Y อ่อนแอกว่า ตายง่ายกว่า

ดังนั้นการสวนล้างช่องคลอดโดยใช้กรด (น้ำสมสายชูเจือจาง) น่าจะได้บุตรเพศหญิง การสวนล้างช่องคลอดด้วยด่างเจือจาง (ผงฟูที่ใช้ทำขนมปัง หรือโซดาไบคาร์บอเนต) น่าจะได้บุตรเพศชาย (วิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำ เพราะกรดหรือด่างบางชนิดอาจมีอันตรายต่อช่องคลอด ไม่ควรลอง) ส่วนท่าทางและความลึกของการมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งใกล้ปากช่องคลอดยิ่งมีภาวะเป็นกรด ดังนั้นถ้ามีเพศสัมพันธุ์แบบตื้นๆ (ท่าที่ร่วมเพศที่เหมาะสมคือ ท่าหันหน้าเข้าหากัน หรือท่า Missionary)โอกาสจะได้บุตรเพศหญิง แต่ถ้าสอดใส่ลึกๆ (ท่าร่วมเพศที่เหมาะสม คือ ท่าที่เข้าทางข้างหลัง) มีโอกาสได้บุตรชายสูง

ฉะนั้น การมีเพศสัมพันธ์ที่มีการถึงจุดสุดยอดของฝ่ายหญิง (Orgasms) จะมีการหลั่งสารที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง จึงมีโอกาสได้บุตรชายสูง การที่มีจำนวนอสุจิปริมาณมากในการหลั่งแต่ละครั้งมีโอกาสได้บุตรชาย ดังนั้นไม่ควรมีการหลั่งอสุจิ ในช่วง 3-4 วันก่อนวันที่ไข่ตก เพื่อให้มีการสะสมอสุจิ แต่ถ้าต้องการเพศหญิงให้มีเพศสัมพันธ์ทุกวันก่อนวันตกไข่ (ถี่ๆ)

นอกจากนี้การใส่กางเกงในแบบหลวม ๆ ของคุณผู้ชาย เช่นกางเกงบ็อกเซอร์ จะทำให้อุณหภูมิบริเวณอัณฑะต่ำหรือเย็นสบายเหมาะต่อการอยู่อาศัยของสเปอร์ม Y ทำให้โอกาสได้บุตรชายสูงในทางกลับกันถ้าต้องการเพศหญิงแนะนำให้อาบหรือแช่น้ำอุ่น ทำให้สเปอร์ม X ได้เปรียบ

ซึ่งวิธีเหล่านี้ยังไม่มีการวิจัยมาตราฐานที่รับรองผลที่ได้ แต่เป็นเพียงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งโอกาสประสบความสำเร็จจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญบอกว่าได้ผล 70-80% แต่ในการปฏิบัติจริง อาจไม่แตกต่างจากการโยนเหรียญหัวก้อยเท่าไหร่นัก

ดังนั้นวิธีที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันในการคัดเลือกเพศบุตร และมีหลักฐานการวิจัยรองรับคือ

1.การคัดแยกเชื้ออสุจิที่มีโครโมโซม X หรือ Y ออกจากกันโดยการคัดแยกในห้องปฎิบัติการ

วิธีนี้ต้องอาศัยเทคนิคการคัดแยกอสุจิในห้องปฏิบัติการ และทำการฉีดอสุจิเพศที่ต้องการ กลับเข้าโพรงมดลูก ( IUI : intrauterine insemination) ซึ่งโอกาสประสบความสำเร็จถึงร้อยละ 70-80% (ขึ้นกับชนิดของการคัดแยก) ปัจจุบันการคัดแยกมี 2 วิธีหลัก ๆ คือ

1.1 Ericson's Technique วิธีนี้ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เป็นวิธีที่นิยมใช้ในประเทศไทย โดยความแม่นยำในการเลือกเพศชายได้ตรงตามความต้องการ ประมาณร้อยละ 71 ส่วนความแม่นยำในการเลือกเพศหญิงได้ตรงตามความต้องการ ประมาณร้อยละ 75

1.2 MicroSort Technique วิธีนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง มีสถานที่ให้บริการน้อย โดยความแม่นยำในการเลือกเพศชาย ( YSort ) ได้ตรงตามความต้องการ ประมาณร้อยละ 76 ส่วนความแม่นยำในการเลือกเพศหญิง ( XSort ) ได้ตรงตามความต้องการ ประมาณร้อยละ 91


ขั้นตอนการรักษาประกอบด้วย

1. การกินยาหรือฉีดยากระตุ้นไข่ และทำการตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่ และการตกไข่ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์

2. เมื่อถึงวันไข่ตก ให้ฝ่ายชายทำการเก็บน้ำอสุจิ หลังจากนั้นจะทำการคัดแยกอสุจิทางห้องปฏิบัติการ และทำการฉีดน้ำเชื้อที่คัดแยกแล้วเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI)

2. การคัดเลือกหลังมีการปฏิสนธิแล้ว

วิธีนี้คือ การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ โดยการผสมตัวอ่อนในหลอดแก้ว หรือการทำเด็กหลอดแก้ว( IVF : In vitro fertilization) แล้วเมื่อถึงระยะตัวอ่อน 8 เซลล์ จะทำการดึงเซลล์จากตัวอ่อนที่เลี้ยงในห้องปฎิบัติการมาตรวจลักษณะพันธุกรรมก่อน ( PGD: Preimplantation Genetic Diagnosis) เช่น โครโมโซม และ เพศ แล้วจึงนำไข่ที่ปฏิสนธิเพศที่ต้องการ ใส่กลับเข้าไป ในโพรงมดลูก วิธีนี้สามารถตรวจโรคของโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) หรือ โรคทางพันธุกรรมบางโรค เช่น ฮีโมฟิเลีย ทาลัสซีเมีย ก่อนใส่กลับเข้าไปได้ แต่มีราคาแพง และขั้นตอนต่างๆในการทำค่อนข้างมาก ซึ่งวิธีนี้โอกาสประสบความสำเร็จในการเลือกเพศถึงเกือบ 100 เปอร์เซนต์

ขั้นตอนการรักษาประกอบด้วย

1. การฉีดยากระตุ้นไข่ ระหว่างนี้จะได้รับการตรวจเลือดเพื่อดูระดับของฮอร์โมนและทำการตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่ หลังจากนั้นเมื่อไข่โตสมบูรณ์จะทำการเจาะดูดไข่ออกมาเพื่อทำการผสมภายนอกร่างกาย และทำการเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะ 3 วัน

2. ตัวอ่อนระยะ 3 วัน ซึ่งมีจำนวนประมาณ 6-8 เซลล์ได้รับการตรวจโครโมโซมเพศด้วยวิธีการ PGD และทำการย้ายตัวอ่อนที่ปกติและมีโครโมโซมเพศที่ต้องการกลับเข้าไปในโพรงมดลูกในวันถัดมา

สุดท้ายนี้สิ่งที่สำคัญกว่าการ เลือกเพศลูกว่าเป็นชายหรือหญิงก็คือ การเลี้ยงและดูแลบุตรให้เป็นไปในเพศที่เด็กติดตัวมาแต่เกิด หลายครั้งที่หมอตรวจอัลตร้าซาวนด์แล้ว ผู้ป่วยถามหมอว่าลูกเพศอะไร พอหมอตอบตามลักษณะที่เห็น ผู้ป่วยก็ย้อนกลับมาถามว่า หมอมั่นใจไหมคะ คำตอบที่หมอมักจะบอกคนไข้คือ เพศที่เราเห็นขณะตรวจอัลตร้าซาวนด์ หรือแม้กระทั่งเกิดออกมาแล้วก็ตาม ก็ไม่แน่เสมอไป ว่าเพศของทารกจะเป็นไปตามที่เห็น เพราะว่าเด็กก็มีสิทธิเลือกสิ่งที่เขาอยากเป็นและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในอนาคต เหมือนอย่างชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ถ้าเขาเห็นว่าไม่ดี ไม่เหมาะกับเขา เขาเหล่านั้นก็สามารถขอเปลี่ยนได้ภายหลัง เพศก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด คือการเอาใจใส่ ส่งเสริมให้เขาเจริญเติบโตไปตามเพศที่ควรจะป็นมากกว่า มานั่งหวังว่า ลูกเป็นเพศอะไรเท่านั้น

ที่มาจาก "เลือกเพศลูก" ทำได้จริงหรือ?!/บันทึกคุณแม่
//www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000054996


Create Date : 06 พฤษภาคม 2554
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 16:53:21 น. 0 comments
Counter : 1155 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.