ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
เรื่องสั้น : แม่ของผม

แม่ของผม
โดย จรัล มานตรี




เท่าที่เขียนหนังสือมา ผมมักจะเขียนถึงแต่เรื่องชีวิตผู้คนที่อยู่ไกลตัวผมออกไปเสมอ นับตั้งแต่ ขอทาน กรรมกร โสเภณี ลูกศิษย์ลูกหา ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี แต่มีอยู่ผู้หนึ่ง ทั้งที่เป็นคนใกล้ตัวผมที่สุด ผมกลับไม่เคยเขียนถึงเลย นั่นก็คือ 'แม่' ของผม
ครั้งนี้...ผมขออนุญาตเขียนถึงท่านครับ


แม่ของผม เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาๆในจังหวัดแห่งหนึ่ง ริมฝั่งทะเลตะวันออก เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่อากาศดีและสวย

แม่เคยเล่าให้เรา คือผม พี่ชายทั้งสอง และน้องสาวอีกหนึ่งฟังว่า พบพ่อในงานวัดที่อำเภอเป็นผู้จัด แม่เป็นแม่ค้าขายขนมหวาน พ่อเป็นลูกค้าที่มาซื้อ

หลังงานวัดเลิก พ่อตามแม่มาถึงกระท่อมริมทะเล แล้วก็ตามจีบเรื่อยมา ฟันฝ่าดงแข้งจากนักเลงเจ้าถิ่น จนได้หัวใจแม่มาครอง แต่งงาน และย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯในที่สุด

ทว่านิทานของแม่ กลับถูกพ่อปฏิเสธโดยสิ้นเชิง พ่อบอกว่า แม่น่ะมาจีบพ่อเอง จนพ่อใจอ่อนยอมรับรัก

ขณะที่คนกลางอย่างเรา ซึ่งเกิดไม่ทัน กลับเลือกที่จะเชื่อแม่กันหมด เพราะจากรูปถ่ายหลักฐานสำคัญเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ยืนยันได้ครับว่า แม่สวยมาก ส่วนพ่อก็ขี้เหร่มากเช่นกัน นั่นเองที่ทำให้ลูกๆจึงมีเหตุผลที่จะปักใจเชื่อว่า พ่อนั่นแหละที่เป็นฝ่ายมาจีบแม่ก่อน

แม่สวยไม่สวยก็คิดดูกันเอาเองเถอะครับว่า ในงานเทศกาลทุเรียนประจำปีของอำเภอปีหนึ่ง แม่เคยเข้าประกวดนางงามทุเรียนกับเขาด้วย และก็คว้าเอาตำแหน่งชนะเลิศมาครอง

ครั้งใดที่แม่คุยฟุ้งเรื่องนี้ให้เราฟัง ลูกๆมักจะแซวแม่ว่า ที่แม่ได้ที่ ๑ ก็เพราะมีคนเข้าประกวดอยู่ ๓ คน ๒ คนที่แพ้แม่นั้น คนหนึ่งตาเหล่ อีกคนขาเป๋ ยังไง้ยังไง แม่ก็ต้องได้เป็นที่ ๑ อยู่วันยังค่ำ

สิ้นเสียงหัวเราะร่าของเรา กระโถนใส่น้ำหมากของแม่ก็จะแหวกอากาศหวือตามมาทุกที


ผมเป็นลูกชายคนเล็ก จึงเป็นลูกติดแม่ ขณะที่แม่ก็ติดผมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้กระมัง แม่จึงเคร่งครัดเอากับผม มากกว่าพี่ชายทั้งสองเป็นพิเศษ

หลังเลิกเรียน ด้วยความรักและความเป็นห่วงบ่วงใยของแม่ ผมต้องกลับบ้านตรงเวลาเสมอจะเถลไถล เที่ยวเล่นไปในสวนดอกไม้หลังบ้าน ไล่จับผีเสื้อ แมลงปอ ตามประสาเด็กเล็กนั้นอย่าได้หวัง
แต่มีครั้งหนึ่ง ผมฝ่าฝืนกฎของแม่ เพราะมัวแต่เล่นทอยตุ๊กตุ่นกับเพื่อนที่หลังโรงเรียนจนลืมเวลา เหยียบหัวกระไดบ้านเอาก็เมื่อตอนพระอาทิตย์อยู่ตรงเส้นขอบฟ้าแล้ว

แม่เอะอะ ดุว่า และใช้ไม้ขัดหม้อตีดูดผมเสียหลายที ตีไปก็ร้องไห้ไป ในขณะที่ผมซึ่งเป็นคนถูกตีแท้ๆ กลับไม่มีน้ำตาสักเม็ด

ในตอนนั้น ผมไม่เข้าใจจริงๆว่า แม่เป็นอะไร ทั้งที่ไอ้คนเจ็บนะคือผม ไม่ใช่แม่เสียหน่อย กระทั่งได้มามีลูกเอง นั่นแหละ...ผมจึงได้เข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นด้วยตัวเองอย่างแท้จริง


แล้วเช้าตรู่อันแสนเศร้าก็มาถึง เมื่อผมอายุราว ๗-๘ ขวบ ระหว่างที่ลูกชาย ๓ คน นั่งล้อมวงกินข้าวเช้า ก่อนไปโรงเรียน น้องสาวคนเล็กนอนอยู่ในเปล

แม่กับพ่อเกิดทะเลาะกันด้วยสาเหตุอะไรผมเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว แม่จะเลิกกับพ่อ จะกลับไปอยู่กระท่อมริมทะเลของตายาย โดยจะเอาน้องสาวไปเพียงคนเดียว

“พวกหนูอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯนี่แหละ”
แม่ยืนตัวสะท้าน กลั้นสะอื้น และพูดต่อว่า
“จะได้เรียนโรงเรียนดีๆมีวิชาความรู้ ต่อไปภายภาคหน้าจะได้สบาย ได้เป็นเจ้าคนนายคน”

สิ้นเสียงแม่ มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ปล่อยโฮออกมาจะเป็นจะตาย พี่ชายทั้งสองเขาโตแล้วมั้ง เลยไม่เห็นจะร้องอะไรกัน ผมทิ้งช้อนข้าวลงไปในจานสังกะสี ลุกพรวดพราดออกจากสำรับกับข้าว วิ่งเข้าไปกอดขาแม่ที่อุ้มน้องสาว กำลังก้าวเดินออกไปจากบ้าน

ผมสะอึกสะอื้นบอกกับแม่ว่า ผมจะไม่ไปเรียนหนังสือแล้ว ผมจะไปกับแม่ ผมไม่อยากเป็นหรอก ไอ้เจ้าคนนายคนเฮงซวยอะไรนั่น มันไม่ได้มีความหมาย ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลยกับชีวิตผม เท่ากับการได้อยู่กับแม่

พูดไป น้ำตาก็ร่วงใส่ผ้าถุงแม่ไปจนเปียกชุ่ม แล้วแม่ก็ร้องไห้โฮออกมา กระชับน้องสาวกับอกแน่น พลางเอื้อมมือมาจูงมือผมที่อยู่ในชุดนักเรียนประถม เดินป้ายน้ำตากลับเข้ามาในบ้านเหมือนอย่างเดิม


และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมและพี่ชายกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็นวันหนึ่ง บ้านช่องเงียบเหงาราวป่าช้า มีแต่อาน้องสาวพ่อมาช่วยเลี้ยงน้องสาวแทน อาบอกเราว่า เมื่อกลางวันแม่เกิดปวดท้องมาก พ่อจึงพาแม่ไปโรงพยาบาล หมอตรวจพบเนื้องอกที่ท้อง ต้องรีบผ่าตัดด่วน อาบอกให้เรารอฟังข่าวกันอยู่ที่บ้าน

ตกค่ำ ใต้ฟ้ามืดที่เกลื่อนไปด้วยแสงดาว เรา ๓ คนพี่น้อง นั่งกอดเข่าเรียงกัน เหม่อมองจันทร์เสี้ยวทะลุแมกไม้ รอฟังข่าวแม่อยู่ที่นอกชาน ใจคอไม่สู้ดี เพราะเท่าที่รู้ การผ่าตัดเนื้องอก เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน มีอันตรายมากจนอาจเสียชีวิตเอาได้ง่ายๆ

ถึงเวลานอนแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่กลับมา อาไล่เราขึ้นไปที่ห้องนอน พอกางมุ้งเสร็จ ผมล้มตัวลงนอนด้วยหัวใจที่เป็นห่วงแม่อย่างถึงที่สุด กลัวว่าแม่จะจากผมไปโดยไม่ทันได้ร่ำลา

ผมไม่รู้จะทำอะไรได้ นอกจากอธิษฐานขอพรจากพระเจ้า ขอให้พระองค์ได้เอาวันเวลาที่เหลืออยู่ของผม มาแบ่งปัน ๒ ส่วนเท่าๆกัน ส่วนหนึ่งนำไปต่ออายุให้แม่ อีกส่วนหนึ่งนำมาต่ออายุให้ผม

ผมไม่รู้หรอกครับว่า คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริงหรือไม่? แต่ครั้นพอถึงรุ่งเช้า พ่อก็กลับมาบ้าน และบอกว่าแม่ปลอดภัยแล้ว นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยมีคืนไหนเลย ที่ผมจะไม่อธิษฐานขอพรนั้นกับพระเจ้าของผม


ต่อมา เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ได้เข้าทำงานเป็นอาจารย์ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งมักจะจัดเดินทางไปดูงานยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศอยู่เป็นประจำ แต่หากเป็นไปได้ ผมเลือกจะไม่ไป จนพี่ที่สนิทสนมกันรู้สึกสงสัย เธอถามหาเหตุผลในวันหนึ่ง

ผมบอกกับเธอไปว่า ขอใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรักดีกว่า และหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นก็คือ 'แม่' นั่นเอง

เพราะในทรรศนะของผมแล้ว เวลาของเราทุกคนบนโลกนี้ ล้วนมีจำกัดเหลือเกิน ในขณะที่สถานที่เที่ยวเหล่านั้น มันไม่เดินหนีจากเราไปไหนหรอก มันยังรอคอยเราอยู่เสมอ แต่เวลาที่เราจะได้อยู่กับคนที่เรารัก ทุกเวลา นาที มันกำลังเดินหนีจากเราไป

แล้วทำไม? เราจึงไม่คิดที่จะใช้เวลาเหล่านั้นให้คุ้มค่า ด้วยการอยู่กับคนที่เรารักให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ผมจึงไม่ค่อยไปไหนหรอกครับ แม้สถานที่แห่งนั้นจะเป็นสวรรค์ในความรู้สึกของใครๆก็ตามที แต่ในทางกลับกัน แม้จะเป็นนรก หากมีคนที่ผมรักเหล่านี้ร่วมเดินทางไปด้วย ผมก็พร้อมยินดีที่จะไป


“อย่าเกียจคร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์
มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน
จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน
ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน”

แม่เห็นความสำคัญของการศึกษามาก ท่องกลอนบทนี้กรอกหูเราอยู่ทุกวันมาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งคอยเคี่ยวเข็ญให้เราเรียนหนังสือกันอย่างหนัก

ทุกคืนก่อนนอน แม่ต้องมานั่งเฝ้าให้เราได้อ่านหนังสือกันจนกว่าเราจะผล็อยหลับคาหนังสือลงไป หากวันใดมีสอบ ตอนเช้าๆแม่จะลุกตื่นขึ้นมาทำกับข้าวอร่อยเป็นพิเศษให้เรากิน

ที่สุด เราก็ได้เรียนหนังสือกันสูงๆ สมใจแม่ แต่ตลอดเวลา แม่ไม่เคยบงการหรอกนะว่า เราจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ แม่ปล่อยให้เราทุกคนได้เดินไปตามดวงดาวแห่งความฝันของเราเอง

“อะไรที่ลูกสุข แม่ก็สุขด้วย” แม่จะพูดอย่างนี้เสมอมา
ตัวผมเองนั้น ก็ออกจะได้เรียนหนังสือมามากมายเอาการกับเขาอยู่เหมือนกัน และได้มาเป็นครูบาอาจารย์ดังที่ได้เรียนไปแล้ว สอนลูกศิษย์ลูกหามาก็มากมายหลายต่อหลายรุ่น

บางครั้ง...ก็ยังได้ใช้วิชาความรู้ที่เล่าเรียนมา มาเขียนหนังสือหนังหาให้คุณๆได้อ่านกันอยู่บ้างตามสมควร

แต่น่าเสียดายนะครับที่ว่า เมื่อคิดจะใช้ความรู้ที่มีแม่เป็นผู้คอยสนับสนุนมาตลอด เขียนอะไรให้แม่ได้อ่านกันสักครั้งสักหน เพื่อให้แม่ได้รับรู้ว่า ผมรักแม่แค่ไหน แม่กลับไม่มีโอกาสได้อ่าน ได้ซึมซับมันด้วยตัวเอง เพราะตลอดชีวิตของแม่...แกอ่านหนังสือไม่ออกครับ!
รักแม่...ดูแลแม่กันให้มากๆนะครับ


ที่มา
//www.sakulthai.com/ruengson/2776.asp


Create Date : 02 มกราคม 2554
Last Update : 2 มกราคม 2554 15:18:43 น. 1 comments
Counter : 3557 Pageviews.

 
อ่านแ้ล้วได้ข้อคิดดีมากค่ะ
สวัสดีปีใหม่นะคะ


โดย: นายยีราฟน้อย วันที่: 2 มกราคม 2554 เวลา:21:47:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.