Group Blog |
ตำนานของคน 7 คน กับ "แปลน" ที่เปลี่ยนไปแล้ว "ตำนานของคน 7 คน กับ "แปลน" ที่เปลี่ยนไปแล้ว" โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล จาก นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2539 ประวัติศาสตร์ทางการเมืองเมื่อช่วงปี 2516 ก่อให้เกิดผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแปลนกรุ๊ป บริษัทที่มีวัตถุประสงค์ให้ธุรกิจของตนดำเนินไปพร้อม ๆ กับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม 7 ผู้เริ่มก่อตั้งประกอบไปด้วยวิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ ครองศักดิ์ จุฬามรกต ธีรพล นิยม อำพล กีรติบำรุงพงศ์ เดชา สุทธินนท์ สันติพงษ์ ธรรมธำรง และพิมาย วิระพรสวรรค์ ชีวิตภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนกลุ่มนี้ มาเปิดร้านขายหนังสือที่หัวมุมซอยสุขุมวิท 23 แน่นอนในร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้ต้องเต็มไปด้วยหนังสือด้านความคิดทางสังคม มุมหนึ่งของร้านก็รับงานออกแบบไปด้วย เมื่อช่วง 6 ตุลาคม 2519 หนังสือทางด้านความคิดถูกสั่งห้ามขาย ร้านเลยจำเป็นต้องปิดไป มาเปิดเป็นบริษัทอย่างจริงจังเมื่อปี 2523 บริษัทแรกที่ตั้งคือ แปลน อาคิเต็ค วัตถุประสงค์หลักในการทำบริษัทตอนนั้นก์คือต้องการทำธุรกิจที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงชีพ โดยผลกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม และเนื้องานต้องมีคุณภาพในเชิงสร้างสรรค์ 16 ปีผ่านไปแปลนกรุ๊ปได้ขยายบริษัทอย่างต่อเนื่องถึง 15 บริษัท มีพนักงานรวมกันนับ 1,000 คน มีรายได้เฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท ลักษณะการขยายงานของบริษัทแปลนในช่วงที่ผ่านมาก็จะแตกต่างจากองค์กรอื่น ๆ ตรงที่ว่าในขณะที่บริษัทอื่น ๆ จะขยายงานตามภาวะของความต้องการของตลาด โดยมองดูว่าธุรกิจใดทำกำไรสูงสุดก็เปิดบริษัทขึ้นมารองรับโกยเงิน ในธุรกิจนั้น ๆ ไปซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดในการทำสงครามเศรษฐกิจ แต่แปลนขยายตัวในทิศทางที่ต่างกันหลายบริษัทของกลุ่มแปลน เกิดขึ้นมาได้เพราะผู้นำมองศักยภาพของคนเป็นหลักเมื่อใครอยากขยายศักยภาพของตนก็เปิดโอกาสสนับสนุน ดังนั้น ธุรกิจกลุ่มหลักของแปลนบางสายจึงอาจจะไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันอย่างเช่น การตั้งบริษัทแปลนกราฟฟิคขึ้นมาเมื่อปี 2524 เป็นเพราะมีรุ่นน้องที่จบด้านออกแบบอยากทำงานด้านนี้เลยตั้งบริษัทขึ้นมา และเมื่อปี 2525 ก็ตั้งบริษัทแปลนพับลิชชิ่งทำหนังสือรักลูกขึ้นมา หนังสือรักลูก มีสุภาวดี หาญเมธี (ภรรยาของเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ อดีตผู้นำนักศึกษา) มาเป็นบรรณาธิการอำนวยการ ก่อนหน้านี้สุภาวดีทำงานอยู่ที่มูลนิธิเด็ก ซึ่งมีความสนใจเรื่องเด็กและเรื่องสถาบันครอบครัวอยู่แล้ว ทั้งแปลนกราฟฟิค และหนังสือรักลูกอาจจะไม่เกี่ยวกับงานของแปลนอาคิเต็ค แต่มันคือการเปิดโอกาสให้คน โดยยังคงผูกพันเกี่ยวรัดกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัท เพราะเนื้อหาของงานมีประโยชน์ต่อสังคม และต้องอยู่ได้ทางเศรษฐกิจเอง แต่ร้านตัดเสื้อ "วิท วิท" ร้านเสื้อสวย แสนหวานที่ในสังคมไฮโซรู้จักกันดี ว่าทั้งสวย ทั้งแพงนั้น ออกจะแตกต่างออกไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเกิดขึ้นได้เพราะ พิมายและสันติพงษ์ เรียนจบทางด้านสาขาออกแบบอุตสาหกรรม และมีความชอบทางด้านนี้ ปัจจุบันร้านวิท วิทหยุดกิจการไปแล้วเมื่อปี 2535 โดยพิมายได้ติดตามสามีคือวิฑูรย์ไปอยู่ที่จังหวัดตรัง สันติพงษ์ ไปทำงานที่มูลนิธิสานแสงอรุณ หรือแม้แต่การเป็นผู้บุกเบิกการตั้งบริษัทผลิตเครื่องเล่นทางด้านการศึกษาของเด็ก คือบริษัทแปลนครีเอชั่น และแปลนทอยนั้นก็เกิดขึ้นเพราะ วิฑูรย์จบทางด้านอินดัสเตรียล ดีไซน์ เลยต้องการทำของเล่นเพื่อการศึกษาของเด็ก ส่วนธุรกิจดั้งเดิมของแปลนในสายสถาปัตยกรรม ก็ได้รับการขยายตัวจนครบวงจร มีบริษัทที่อยู่ในสายธุรกิจนี้ 5 บริษัท มีขอบเขตการดำเนินการทำธุรกิจและการให้บริการในโครงการสถาปัตยกรรม นับตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาโครงการทางด้านการลงทุน วางผังออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคาก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้าง ทุกวันนี้ รายได้หลักของแปลนกรุ๊ปมาจาก 3 บริษัทหลัก ๆ คือบริษัทแปลนทอย บริษัทแปลนอาคิเต็ค และบริษัทแปลนเอสเตท โดยเฉพาะแปลนทอยนั้นในปี 2537 สร้างผลกำไรประมาณ 37 ล้านบาท ส่วนแปลนเอสเตทนั้นตัวเลขปี 2537 ขาดทุนหุ้นละ 4 บาท แต่ปี 2536 ได้กำไรประมาณ 24 ล้านบาท ทั้ง 7 คนนั้นมีข้อตกลงที่ต่อเนื่องจากวัตถุประสงค์หลักเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผลกำไรที่แต่ละคนถือหุ้นอยู่ในบริษัทในเครือทุกบริษัท จะต้องจัดสรร 60% มาเป็นส่วนกลางเพื่อนำไปทำกิจกรรมทางสังคม ที่เหลืออีก 40% จะนำมาเฉลี่ยเป็นส่วนตัวของแต่ละคน กิจกรรมทางสังคมที่เป็นรูปธรรมในการใช้เงินส่วนนี้เป็นทุนในการดำเนินงานก็คือมูลนิธิสานแสงอรุณ ณ วันนี้ในองค์กรของแปลนนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ แต่อีกด้านพวกเขากำลังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แปลนอาคิเต็คซึ่งเคยเป็นผู้นำในการออกแบบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในวงการสถาปนิกเป็นสิ่งที่เขาได้รับการยอมรับมาตลอดการทำงานที่อิสระทำให้เขาได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับวงการ แต่พวกเขาต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงและหาวิธีการให้สิ่ง 2 สิ่งดำเนินไปด้วยกันอย่างสวยงาม จะทำอย่างไรให้มันมีความพอดีที่พบกันครึ่งทางไม่ใช่ยอมให้ธุรกิจนำไปสุดกู่ อย่างเช่นในแง่ของสถาปนิก จำเป็นต้องเขียนแบบให้มีที่ว่างมากขึ้นแต่จะทำอย่างไรให้ที่ว่างนั้นเป็นจุดขายของโครงการได้ ที่สำคัญอาคิเต็คของบริษัทก็ต้องมีความรู้ทางธุรกิจเข้ามาช่วยเช่นกัน ต้องวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นแล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับโปรดักส์ มีบ้างเหมือนกันที่คนของแปลนบางคนทนความอึดอัดในเรื่องนี้ไม่ได้ และได้ลาออกไปตั้งบริษัทใหม่เพื่อสร้างองค์กรใหม่เช่นเดียวกับแปลนกรุ๊ปในจุดเริ่มต้น แต่กระแสความรุนแรงของธุรกิจที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทใหม่ ๆ พวกนั้นประสบปัญหาเช่นกัน ธีรพลเขาเคยเขียนถึงความรู้สึกที่มีต่อบริษัทซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ในวารสารแปลน เมื่อประมาณปี 2531 ว่า "สำนักใหญ่ขึ้นต้องรับผิดชอบมากขึ้น ก็ย่อมมีแรงเสียดทานมากขึ้น จะทำศึกด้วยกลยุทธ์เก่า ๆ หาได้ไม่ เมื่อเกิดความผันตัวอย่างรวดเร็วแน่นอน อาหมวย แลซือตี๋ ซือเฮีย ล้วนต้องรู้สึกกดดัน ว้าวุ่น เหงา หนาว เป็นธรรมดา ใช่แล้วเราต้องบีบตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทั้งหลายต้องยกระดับ สำนักเราจึงจะแคล้วคลาดและพัฒนาขึ้น" ในช่วงนั้นธีรพลเรียกร้องให้บรรดาขุนพลของเขาปรับตัวโดยการพัฒนา "ความคิด" ของตนเอง องค์กรที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเวลานั้นได้สร้างปัญหาหลักในเรื่องการสื่อสารในองค์กร และปัญหาของการเตรียมบุคลากรรวมทั้งวัฒนธรรมที่ดีขององค์กร ที่มีความเคยชินในการทำงานแบบพี่น้องผองเพื่อนนั้นทำให้ก่อให้เกิดความอะลุ้มอล่วยกันสูง ระบบต่าง ๆ ที่วางไว้ในองค์กรจึงค่อนข้างหย่อนยาน แปลนกรุ๊ป ต้องเน้นในเรื่องการพัฒนาองค์กรภายในเน้นการสื่อสารในองค์กรให้มีความเข้าใจมากขึ้นตั้งแต่นั้นมาโดยให้ความสำคัญของคนมากกว่าระบบ เพราะคนคือผู้ใช้ระบบ ในปี 2533 ผู้บริหารของแปลนต้องทำการสำรวจองค์กรของตนอีกครั้งพร้อมทั้งพยายามหาข้อสรุปว่าทำอย่างไรที่จะให้คนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุข การออกไปใช้ชีวิตร่วมกันในต่างจังหวัด ด้วยวิธีการออกค่ายนั้นแปลนหวังว่าจะลดปัญหาความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง แต่โครงการนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาต่อมา ในปี 2536 ก็ได้มีการผ่องอำนาจครั้งสำคัญในองค์กรของแปลน คณะกรรมการกลุ่มแปลนได้มีการปรับเปลี่ยนจากผู้ร่วมก่อตั้ง 7 คน เพิ่มเป็น 12 คนประกอบไปด้วยกรรมการผู้จัดการของแต่ละบริษัทร่วมกับผู้อำนวยการสำนักบัญชีกลางโดยมีธีรพลเป็นประธานกลุ่ม ปัจจุบัน ธีรพลกับอำพลจะรับผิดชอบหลักในสายสถาปัตย์ เดชา ดูแลในสายสื่อและพิมพ์ ส่วนวิฑูรย์รับผิดชอบในสายอุตสาหกรรม ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือไม่ได้ลงมาบริหารงานเองแล้ว แต่ทั้ง 7 คนยังพบกันอยู่เสมอในฐานะกรรมการมูลนิธิแสงอรุณ "ผู้ก่อตั้งหลายคนไปอยู่ป่าเขา พอมาเจอกันทีก็คุยกันเรื่องต้นไม้" ธีรพลกล่าว ถึงแม้คนรุ่นหนึ่งกำลังถอยออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดและปรัชญาดั้งเดิมในการทำธุรกิจของแปลนกรุ๊ปจะเปลี่ยนเปลงไป ธีรพลเชื่อมั่นว่าคนรุ่นหลังของแปลนยังสานต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิมของบริษัทต่อไปได้ เพราะที่ผ่านมาองค์กรของแปลนยึดมั่นในการทำงานเป็นทีม และสร้างสรรค์วัฒนธรรมขององค์กรร่วมกันมาตลอด เขามั่นใจว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติที่เป็นจริง ย่อมสามารถดำรงอยู่และปรับตัวพัฒนาให้แข็งแรงไปกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้" คนของแปลนในรุ่นต่อไปคือผู้ที่จะพิสูจน์ความจริงของความคิดนี้ และต่อมาก็ชนะการประกวดแบบรัฐสภา เก่งสุดยอดเลยครับ
โดย: ณัฐ IP: 125.24.98.191 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:31:26 น.
... อยากเห็น แบบรัฐสภาใหม่ ของ อจ.จังเลย โดย: เด็กริมรั้ว IP: 58.8.140.165 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:26:39 น.
|
ดอกไม้ในฤดูฝน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] |