เชียงราอะอะอะอาย : เชียงราย → ดอยแม่สลอง
นานจังไม่ได้อัพเดทบลอค (ทริปที่แล้วเขียนไม่จบด้วย ) ก็โซเชียลเน็ตเวิร์คมันมากมาย การจะกระจายตัวเองให้ทั่วถึงจึงทำได้ยากเย็น facebook บ้างอะไรบ้างกันไป ทริปนี้จะพยายามเขียนให้จบ แต่ยาวหน่อยนะ มันหลายวัน วันแรก - เชียงราย → แม่สลองท่องเที่ยวเชียงรายครั้งนี้จองโปร 0 บาทไว้เมื่อชาติก่อน นานมากกกกกกกกคราวนี้เราชุลมุนเรื่องรถกันนิดหน่อย เพราะทีแรกเราเช่ารถเจ้าเดิมที่เคยเช่าเที่ยวเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้วไว้ตกลงกันดิบดีให้มารับที่เชียงราย และเหมาเที่ยวรอบเชียงราย 4 วันแต่พอถึงเย็นวันเดินทาง ทางนู้นโทรแจ้งว่ารถเสีย หารถอื่นมารับพวกเราไม่ได้ มันกระทันหันมาก ตั้งตัวไม่ทัน ทำใจไม่ได้ ทำไมมาทิ้งเรา รถอื่นๆ ก็ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลยก็เลยตกลงกัน (ที่สุวรรณภูมิ) ว่าไปหารถเอาดาบหน้าแล้วกัน ถึงเชียงรายประมาณเกือบ 5 ทุ่ม ก็จัดแจงมุ่งหน้าหารถไปที่พักกันจริงๆ ใครไม่เคยไป ติดต่อแท็กซี่ในสนามบินเลยดีกว่านะคะ มีเคาท์เตอร์อยู่แต่เราไปกัน 6 คน เกรงว่าจะต้องโดน 2 คัน ข่าวว่าคันละ 300ด้วยความงก ทางเราซึ่งเป็นแก๊งสาว(ใหญ่)ใจกล้า จึงออกมาหาเองแถวข้างหน้าพร้อมกระเป๋าผ้าอันหนักอึ้ง FD ให้แบกขึ้นเครื่องได้ 7 โล ตรูเอามา 6 โล 7 ขีด และแล้วก็ได้รถตู้มา 1 คันเข้าเมืองในราคา 300 บาท คืนนี้นอนที่นี่ค่ะ บ้านรับอรุณ เราได้ห้องดอกบัว กับจำปีซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้านเพื่อนทุกคนชอบกันมาก เพราะในบ้านน่ารักดี มุมถ่ายรูปเยอะแยะ ดูเป็นบ้านพักอาศัยแต่ที่นี่ห้องน้ำน้อย ชั้นบน 1 ห้อง ล่าง 1 ห้อง ถึงจะมีเสริมอยู่ด้านนอกตัวบ้านด้วยก็ไม่เพียงพอกับจำนวนคนในวันที่ห้องพักเต็มแน่นอน และห้องไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่ จะได้ยินเสียงคนเดินข้างนอกและข้างบนด้วยเพราะเป็นพื้นไม้ทั้งชั้นบนและล่างมันเอี๊ยดๆ ตลอดเลยแถมห้องข้างบนหัวเรา ตื่นมาทำกิจกรรมเข้าจังหวะตอนดึกๆ ด้วยบังเอิญหูดี เชี่ยวชาญดนตรีเป็นพิเศษ คืนแรกก็ไม่มีอะไร ออกไปท่องราตรีกัน(ในที่นี้คือเดินไปหาข้าวกินแล้วเดินกลับ)ตัวเมืองเชียงราย ณ เวลาประมาณเที่ยงคืน เงียบสงัดวังเวงมากกกก แต่เราก็ยังออกหากินกันด้วยความหิว จากบ้านรับอรุณสามารถเดินไปถึงหอนาฬิกาได้แบบไม่ทันเหนื่อยเท่าไหร่(ในเวลากลางคืนที่ไม่มีแดด)กินข้าวต้มร้านนึงอยู่ตรงข้างวัดมิ่งเมือง ซึ่งคนดูแลที่บ้านรับอรุณแนะนำมารสชาดคนอื่นๆ บอกว่าโอเคนะคะ แต่เราไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะเลี่ยนไป พอดีติดเค็ม เช้าวันต่อมา 15/01/11อาหารเช้านี้รวมอยู่ในค่าห้องพักแล้วค่ะ บางวันอาจจะเป็นข้าวต้ม แต่วันนี้หลังจากดูแปลนหน้าพวกเราแล้ว คุณเจ้าของบ้านเลยจัดแพนเค้กมาให้ อร่อยดีและพอรู้ว่าทางเรายังไม่มีรถท่องเที่ยว พี่เค้าก็จัดหารถสองแถวให้มาคุยตกลงราคากับเราด้วยตกลงกันได้ที่ 2000/วัน รวมน้ำมันและคนขับ ซึ่งพวกเราทุกคนก็โอเคกับราคานี้เพราะสืบราคารถตู้มาอย่างต่ำ 1800/วัน ไม่รวมน้ำมัน และบวกค่าขึ้นดอย 500 ด้วย (เราึขึ้นดอยทุกวัน)ทางไหนที่ถูกที่สุดเราก็ย่อมเลือกทางนั้น ราชรถมาเกยหน้าบ้านกันเลยทีเดียว ออกเดินทางอำลาบ้านรับอรุณไปด้วยความอาลัย รู้สึกว่าใช้เวลาที่นี่น้อยไปหน่อยถ้ามีโอกาสจะำกลับไปอีกนะคะ โปรแกรมวันแรกนี้ ไหว้พระซัก 3 วัดในเมือง - บ้านดำนางแล - ม.แม่ฟ้าหลวง - ดอยแม่สลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและผู้อื่น เราก็ไปไหว้พระกันก่อนอันนี้พี่โชเฟอร์จัดให้ วัดงำเมือง อยู่ไม่ไกลจากบ้านรับอรุณ นั่งรถเบาะยังไม่ทันร้อน ถึงซะแล้ว!!! ไหว้พระ และสักการะพ่อขุนฯ ได้พร้อมกันในวัดเดียว ^^ ไปต่อที่วัดพระแก้วเพื่อนที่ไปด้วยกันคนนึงเป็นคนเชียงราย มันว่าวัดนี้คือวัดจริงๆ ของพระแก้วมรกตฟังที่มันบอกแล้วเราก็งุนงงยิ่งนัก เพราะมันก็ไม่รู้อะไรนอกจากนี้มาช่วยเสริมสร้างความเข้าใจให้ตรูเลย กลับมาเลยต้องสืบค้นเอง ได้ความว่า "ตามตำนานพระแก้วมรกต ครั้งแรกประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ (ปัจจุบันคือวัดพระแก้วแห่งนี้)เดิมเป็นพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง แต่เมื่อพระสงฆ์อัญเชิญออกจากพระเจดีย์ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา ทำให้ปูนบริเวณพระนาสิกเกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต จึงกระเทาะปูนออกทั้งหมด และพบว่าเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ หลังจากนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ เมืองต่างๆ คือ ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ"credit: วิกิ มีสาระเนอะ ต่อด้วยวัดพระสิงห์ ที่วัดนี้เราจุดเทียนสะเดาะเคราะห์ปีชงกันด้วย เสร็จเรื่องวัดเราก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างจริงจังกันซะที จุดจอดต่อไป บ้านดำนางแล พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีออกจากเชียงรายมุ่งหน้าไปทางแม่สายค่ะ ประมาณ 20 นาทีได้ บ้านดำนางแล เป็นบ้านส่วนบุคคล ตัวบ้านจะมีทั้งหมด 32 หลัง ในพื้นที่ 39 ไร่สิ่งปลูกสร้างอะไรๆ ก็เป็นสีดำอย่างที่เห็น พวกเราเดินกันไม่ทั่วเพราะขณะนั้นใกล้จะเที่ยงเต็มทีแดดก็แรง สังขารก็ร่วงโรย ข้าวก็ยังไม่ตกถึงท้อง โซและโทรมมากๆ เลยพากันออกมาอยู่ไปก็ไม่ช่วยให้เข้าใจในศิลปะเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมและวิธีเดินทางไปบ้านดำนางแล กลับถึงรถเรารีบแจ้งพี่โชเฟอร์ว่า หิวข้าววว พาไปกินข้าวหน่อย แต่โชเฟอร์ไม่อนุญาต บอกต้องไป ม.แม่ฟ้าหลวงก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปกินที่แม่จัน เราก็ต้องหิ้วท้องแล้วไปกันต่อที่ ศูนย์จีนฯ ม.แม่ฟ้าหลวงไม่ว่าท้องจะหิวเพียงใด แต่เมื่อกล้องหันมา ทุกคนก็ต้องทำหน้าร่าเริงที่สุดในชีวิต ที่ศูนย์จีนนี้ไม่กว้างเท่าไหร่ เสียค่าเข้าชมคนละ 10 บาท เราก็รีบๆ ชม รีบๆ ถ่ายรูปกัน ใช้เวลาไปเพียงชั่วโมงครึ่งเอง พี่โชเฟอร์คงงงว่าขนาดมันหิวกันนะ ยังให้กรูรอนานขนาดนี้ หาอะไรกินกันเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปดอยแม่สลอง เข้าที่พักเก็บของที่ ลิตเติ้ลโฮมเกสท์เฮ้าส์ แล้วรีบไปท่องเที่ยวแบบรวบรัดกันต่อ เพราะพี่โชเฟอร์ต้องกลัีบเข้าเมือง จุดแรก ณ ดอยแม่สลอง ไร่ชา 101 ไม่ได้ชิมชา ไม่ได้ซื้อของ ถ่ายรูปล้วนๆ เพราะเพื่อนร่วมทริปรักการ(ถูก)ถ่ายรูป จุดต่อไปจึงเป็น ดอยหมอกดอกไม้ รีสอร์ทเค้าสวยกว่านี้นะ มีสระว่ายน้ำอะไรๆ อยากจะพักอยู่เหมือนกัน แต่ทริปนี้(และทุกทริป) เน้นประหยัด จริงๆ รถลงไปจอดในที่จอดรถของรีสอร์ทเค้าได้นะแต่พี่โชเฟอร์ปล่อยเราเดินลง สงสัยเคืองที่พวกมันชักช้าถ่ายรูปกันอยู่ได้ กรูจะรีบกลับบ้าน ตอนเดินลงไม่เท่าไหร่ ตอนเิดินขึ้นนี่หอบแฮ่กกันทีเดียว จุดสุดท้าย ณ ดอยแม่สลองของวันนี้ เราให้พี่โชเฟอร์ส่งที่ตลาดหน้าโรงเรียน(อะไรซักอย่าง) แถวๆ ร้านคุ้มนายพล แล้วส่งพี่โชเฟอร์กลับบ้าน เดี๋ยวจะมืดซะก่อน พวกเราแมนอยู่แล้วเดี๋ยวหาทางกลับที่พักเอง ตลาดตรงนี้จะมีชาวบ้านมาขายผัก นั่นนี่โน่น ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึก(ที่เหมือนกันทุกร้าน) และร้านขายชา แต่พวกเราลองชิมร้านนี้กัน คือก็ไม่ได้ชิมอะไรหลายอย่าง ลองชิมหมั่นโถว กระดูกหมูตุ๋นรากบัว และไข่ยัดไส้ยูนนานอร่อยมากกกกกกกกก ร้านอยู่ติดธนาคารทหารไทย สีแดงเด่นชัด ลองไปชิมดูนะคะ แนะนำๆๆๆ หลังจากชิมกันเรียบร้อยเราก็ไปถามไถ่พี่พ่อครัว หารถสองแถวกลับที่พัก ได้ความว่าสองแถวมีนะ แต่นานๆ มาที ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาอีก ป่านนี้อาจจะหมดแล้ว (ขณะนั้น 17.40 น.)พี่แกจึงแนะนำให้เดินกลับเอาเหอะ แค่นี้เองประมาณโลนึง (แต่มันมีขึ้นเขาลงเนินด้วยนะเพ่ - -")พวกเราอับจนสิ้นหนทาง เลยพากันเดินเล่นหนุกๆ (เหรอออ)เอาเข้าจริงก็ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินไป ชมวิวไป ถ่ายรูปไป ถึงแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว ก่อนถึงที่พักมีขนมขาย ข้าวปุ๊กยูนาน ลองซื้อกินดูก็อร่อยแบบแปลกๆ ดี เป็นข้าวเหนียวแดงย่าง ถึงแล้วววววว ที่พักเรา ลิตเติ้ลโฮม เกสท์เฮ้าส์ & บังกาโล ด้านหน้าของลิตเติ้ลโฮมจะเป็นเรือนไม้คล้ายโรงเตี๊ยม ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร มีห้องนั่งเล่น มีคอมให้ใช้เน็ตฟรี 1 เครื่อง ถ่ายรูปมานะแต่มันติดมนุษย์(ที่ไปกับเรา) ดูไม่เจริญตาเท่าไหร่ อย่าลงเลยชั้นบนทำเป็นเกสท์เฮ้าส์ แต่มีแขกพักเต็มเลยเข้าชมห้องไม่ได้ จริงๆ แล้วอยากนอนแบบเกสท์เฮ้าส์ได้บรรยากาศดี แต่ตอนที่จองมาเมื่อสองเดือนก่อนห้องไม่มีว่าง เราเลยจองแบบบังกะโลแทนห้องพักแบบเกสท์เฮ้าส์ รูปจากเว็บท่องเที่ยวแ่ห่งหนึ่ง จำไม่ได้จริงๆ ว่าเก็บมาจากไหน - -"ห้องพักแบบบังกะโล เราจองไป 2 หลัง ราคา ณ วันนั้น 1000/คืน/3 คน ค่ะรูปข้างบน ถ่ายตอนเช้าของอีกวันแล้วค่ะ บังกะโลจะอยู่ด้านหลังของเรือนไม้อีกที ขึ้นเนินหน่อยนึง คืนนั้นหนาวมากจริงๆ ช่างไปได้จังหวะ อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาในภาพสองนางนั้นกำลังทำการไปเช็คน้ำร้อนอยู่ เครื่องทำน้ำร้อนเป็นแก๊ส น้ำร้อนตัวพองกันเลยทีเดียว ส่วนที่เห็นดำๆ ตรงด้านล่างชักโครกอันนั้นเป็นยาแนวค่ะ ไม่ได้สกปรก ^^มีตู้เย็น แต่เอาน้ำตั้งไว้ข้างบน ในตู้ไม่มีอะไรเลย เพราะน้ำอยู่ข้างนอกก็เย็นพอแล้ว ในห้องเป็นพื้นกระเบื้อง คุณลุงเจ้าของบ้านอนุญาตให้เราใส่รองเท้าเดินในห้องเลย เพราะพื้นเย็นมากกลัวเราจะหนาว teen คิดว่าต่อไปทางลิตเติ้ลโฮมคงเตรียมรองเท้าแตะอุ่นๆ ไว้ให้ลูกค้าอย่างแน่นอนประทับใจการต้อนรับและการบริการของลิตเติ้ลโฮมๆ มากเลยค่ะ ทั้งสองท่านเอาใจใส่ลูกค้ามากตอนเราไปถึงรถจอดยังไม่ทันดับเครื่องเลย ทั้งสองคนก็เดินมารับถึงรถถามว่า น้อง.... ใช่มั้ยแถมช่วยเรายกกระเป๋า(หนักๆ) หลายๆ ใบ ขึ้นห้องพักให้ คือเราไม่ค่อยชินกับค่าห้องราคาแค่นี้กับบริการระดับนี้ ในห้องมีการเสริมเตียงไว้ให้พร้อมทั้งสองห้องที่เราจองและแจ้งจำนวนคนไว้ พร้อมหมดทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่องจริงๆ สำหรับเราเข้าใจแล้วว่าทำไม ใครก็แนะนำลิตเติ้ลโฮม คืนนั้นเรากินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารของลิตเติ้ลโฮม ซึ่งเยอะมากกกกินไม่หมดนัดกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่พระธาตุในตอนเช้า แล้วพากันเข้านอนพร้อมอากาศหนาววววววววววววววว