เสพภาพยนตร์เป็นจานหลัก พักสายตาฟังเจป๊อบเป็นจานรอง ให้อาหารสมองด้วยโดระมะ แปลเนื้อเพลงญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรก
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

แพกเกจส่งท้ายปี 4 : East meet West

เป็นความบังเอิญหรือไงไม่ทราบ ที่หนังสองเรื่องที่จะนำมาเขียนส่งท้ายปีในวันนี้กลับเป็นหนังที่สร้างในปีไล่เลี่ยกันในช่วงต้นยุค 90 แต่ อ๊ะ ๆ แต่ใช่ว่าตัวหนังมันจะเหมือนว่าจะเป็นหนังปีนั้นซะทีเดียว ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าในปี 1991 เนี่ย หนังเรื่องหนึ่งที่เลือกมา เป็นหนังที่กำกับโดย ผกก.บรมครูแห่งวงการภาพยนตร์อย่าง อากิระ คุโรซาว่า และอีกเรื่องข้ามไปทางฝรั่งเศสสร้างในปี 1992 ซึ่งแม้จะเป็นผกก.รุ่นใหม่ แต่ดันเป็นหนังขาวดำซะนี่ ซึ่งยุค 90 นี่หนังขาวดำกลับเป็นสิ่งไม่น่าจะหาได้ง่าย ๆ แล้ว

Rhapsody in August (A film by Akira Kurosawa)



หนังเรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องร่วมสมัยของญี่ปุ่นในยุคนั้น ซึ่งคนรุ่นคุณปู่คุณย่าออกจะฝังใจกับเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ระเบิดปรมาณูคร่าชีวิตผู้คนที่นางาซากิ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้พรากชีวิตผู้คนจากครอบครัวอันเป็นที่รักของชาวญี่ปุ่นหลายคนทีเดียว แต่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั้น เหตุการณ์นี้สำหรับคนรุ่นใหม่ อาจเป็นเพียงเรื่องที่อยู่ในตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์เท่านั้น

หนังพาเราไปหาคุณยายคาเนะที่อยู่ที่ฟาร์มที่ใกล้กับเมืองนางาซากิ ซึ่งสามีของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ในหนังเป็นฤดูร้อนปีหนึ่งซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมที่หลาน ๆ ของคุณยายมาพักในช่วงปิดเทอมเนื่องจากพ่อแม่ของพวกเขามีธุระที่ต้องทำในช่วงเวลานั้นจึงมาฝากคุณยายดูแล

ขอนอกเรื่องนิดนึง การแต่งตัวของหลาน ๆ นี่ผมรู้สึกสะท้อนกับตัวเองยังไงไม่ทราบ เพราะในยุคนั้นเราจะเห็นเด็กอายุที่ไล่เลี่ยกันในยุคนั้นจะแต่งตัวประมาณนั้น คือเสื้อยืดกางเกงยีนส์หนา ๆ เด็กผู้ชายไว้ผมยุ่ง ๆ (นึกถึงเต๋าสมชายออกเทปชุดแรก ๆ ดูสิ) เด็กผู้หญิงก็จะตัดผมเรียบ ๆ (ต่างจากเดี๋ยวนี้ที่ทรงผมออกจะสารพัดแบบ) ตรงนี้ก็จะวกมาเข้าเรื่องว่า มันก็สะท้อนความเป็นเด็กรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นที่รับอิทธิพลจากตะวันตกได้อย่างดี

เหตุการณ์ที่น่าจะทำให้หลาน ๆ ตื่นเต้นเห็นจะเป็นจดหมายที่ส่งมาจากลูกของพี่ชายคุณยายที่ไปแสวงโชคที่ฮาวาย ซึ่งต้องการมาพบเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสายเกินไป ซึ่งหลานของเธอนั้นเป็นหนุ่มลูกครึ่งเสียด้วย อีกทั้งยังเสนอจะให้คุณยายกับหลาน ๆ ไปฮาวายกัน แต่คุณยายกลับไม่สนใจที่จะไปด้วยเหตุผลคนแก่ที่เรา ๆ ท่าน ๆ บางทีก็ไม่ทราบถึงการตัดสินใจของท่าน แต่เอาเป็นว่าหลาน ๆ คงจะไม่ได้หยุดความพยายามเพียงเท่านี้

การลองเขียนจดหมายส่งไปยังอเมริกาของเหล่าหลาน ๆ ทำให้หนุ่มลูกครึ่ง "คลาก" (ริชาร์ด เกียร์) มาเยือนถึงที่ญี่ปุ่น อาจเนื่องด้วยข้อความที่บอกว่าคุณยายไม่สบาย จนเป็นธุระที่พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นมาจัดการเตรียมต้อนรับคลาก ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดแต่ต่างสัญชาติของพวกเขามาเยือน

การที่คลากมาเยือนที่ญี่ปุ่น นี่เราระลึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่เรามีญาติที่ห่าง ๆ ประเภทนาน ๆ จะเจอกันสักครั้งแถมยังใจดีรักเด็กอีก กลับดูสนิทสนมกว่าญาติที่เจอหน้ากันบ่อย ๆ เสียอีก นี่ดูจะเป็นความน่ารักไม่ใช่น้อย

กับการที่คนที่ไม่ใคร่จะชินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้มาเรียนรู้กับโลกและวัฒนธรรมญี่ปุ่นกับคนแก่ ดูจะเป็นความน่ารักเสียจริง ๆ

แม้ว่าคลากจะเป็นที่ถูกใจของหลาน ๆ มาก แต่กับคนญี่ปุ่นที่อยู่ระแวกนั้นกลับมองคลากเป็นชาวอเมริกัน ซึ่งเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย ทั้งที่ตัวเขาเองก็มีเลือดญี่ปุ่นอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน ชาวบ้านระแวกนั้นหาใช่จะพอใจในการมาเยือนของเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน ดูเหมือนจะสื่อให้เห็นถึงการที่คนญี่ปุ่นก็ยังคงฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยสงครามโลกไม่น้อย

หนังมีการแสดงออกถึงความรู้สึกของคนสามรุ่น คือรุ่นคุณยาย ซึ่งในสมัยสงครามโลกพวกเขาเป็นกลุ่มคนวัยแรงงาน รุ่นคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งสมัยสงครามโลกยังคงเป็นเด็กอยู่ และกลุ่มคนรุ่นหลาน เป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนถึงความคิดเหล่านี้ผ่านความน่ารักแบบครอบครัวญี่ปุ่นได้อย่างงดงาม และหายากได้ในสังคมสมัยใหม่ทีเดียว

Man Bites Dog (A film by Remy Belvaux, André Bonzel, Benoît Poelvoorde)



ตอนได้ดีวีดีหนังเรื่องนี้มา ต้องบอกให้ทราบว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าหนังมีต้นกำเนิดทางด้านความคิดมาอย่างไร และเมื่อดูหนังไปครึ่งเรื่อง ผมกลับต้องไปกดรีโมทเพื่อไปดู Feature ของแผ่นที่สัมภาษณ์กลุ่มคนทำหนังกลุ่มนี้เพื่อจะทราบถึงที่มาที่ไปของหนังเสียก่อน ใช่ว่าหนังไม่สนุก แต่รู้สึกว่า อยากรู้ว่ามันเล่นอะไรกันของมันเนี่ย

ก่อนอื่นจะบรรยายภาพที่เห็นในหนัง โดยมันจะคล้าย ๆ กับหนังสารคดีเรื่องหนึ่งที่ถ่ายวิธีการฆาตกรรมรูปแบบต่าง ๆ นานาของนายเบน ซึ่งใช้ฟิล์มขาวดำในการถ่ายเสียด้วย นายเบนรับบทเป็นพิธีกรในการฆาตกรรมโชว์ด้วยตนเอง โดยการหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตามสถานที่รโหฐานต่าง ๆ ซึ่งการถ่ายทำนั้นดูจริงราวกับเป็นสารคดี (ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันเป็นการเซ็ตฉากขึ้นมา)

ในหนังเราจะรู้จักกับตัวละครแวดล้อมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ได้แก่ คนถือกล้อง คนบันทึกเสียง ผู้ช่วยอีกหนึ่งคน ที่มาเป็นทีมงานในการถ่ายทำบ้า ๆ ของสารคดีนี้ ซึ่งลักษณะที่หนังออกมานั้น มันบันทึกเรื่องราวจริงทั้งหมด ถึงขนาดมีการคุยกันของทีมงานกับตัวเบนให้เห็น

หนังก็มีลูกเล่นหลายอย่างที่นำมาเล่นกับเทคนิคการถ่ายทำ เช่น การที่บูมแมน*วิ่งไปยังอีกที่หนึ่งแต่ตัวกล้องอยู่อีกที่หนึ่งกับเบนแต่เสียงที่ได้เรากลับเห็นเบนพูดโดยเสียงเบามาก ในขณะที่เราจะได้ยินเสียงที่ผ่านจากไมค์ที่อยู่กับบูมแมนชัดกว่า

หนังพาเราไปหาสันดานดิบของมนุษย์ในการฆ่ากัน ซึ่งการฆ่าของเบนนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างโรคจิต เพราะเขาเห็นมันเหมือนกับเป็นเรื่องสนุก และพยายามหาวิธีพิศดารเท่าไหร่ก็ได้ในการฆาตกรรม โดยไม่แคร์สิ่งอื่นใด และมันก็มีหลายครั้งที่ชอคคนดูกับการลั่นปืนแบบไม่ได้ตั้งใจกับคนสนิทของเขา ถึงขนาดคนในครอบครัวของเขาเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เบนรู้สึกตกใจอะไรทั้งสิ้นเนื่องด้วยความด้านชาในการฆ่าคนของเขานั่นเอง

อย่างหนึ่งที่ผมติดไว้ตอนแรกของหนังที่ผมเปิดดูฟีเจอร์ของแผ่นดีวีดีก่อน ก็คือผมได้ไอเดียของการทำหนังเรื่องนี้คือว่า ไอ้เจ้าเบนเนี่ยนำแสดงโดย Benoît Poelvoorde และทีมงานก็คืออีกสองคนที่เหลือนั่นแหละ ซึ่งกลุ่มนี้ทำหนังเรื่องนี้ โดยมีแนวคิดจากหนังทุนต่ำแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำหนังจากเงินที่มีอยู่น้อยนิดอย่างไร พวกเขาก็เอาไอเดียของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสื่อ มาลองถ่ายแบบสารคดีโดยให้นักแสดงนำของเรื่อง สวมบทบาทคนโรคจิต พูดมาก น่ารำคาญ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการอิมโพรไวส์ของนักแสดงเองล้วน ๆ

ตัวหนังเองวิจารณ์ในเรื่องของความรุนแรงของสื่ออย่างเต็มที่ ซึ่งหากลองดู ๆ ไปจะเห็นว่า ไม่ได้มีคนกลุ่มเดียว แต่ยังมีอีกหลายกลุ่ม ซึ่งครั้งหนึ่งในหนังจะเห็นอีกกลุ่มที่ถือกล้องวิดีโอมาถ่ายหนังลักษณะบ้า ๆ แบบนี้อีกเช่นกัน

สองเรื่องที่หยิบมานั้นต่างกันสุดขั้วในแง่ความรู้สึก แต่สิ่งที่เหมือนกันเห็นจะเป็นภาพสะท้อนของสัญลักษณ์บางอย่างในสังคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่แฝงอย่างหนึ่งของหนังที่สะท้อนถึงสังคมและวัฒนธรรมของสถานที่และจิตใจของคนในสังคมที่ร่วมสมัยนั้น




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548
3 comments
Last Update : 20 ธันวาคม 2548 9:19:48 น.
Counter : 1476 Pageviews.

 

อ่านแล้วน่าสนใจแฮะ

เวลาอ่านแล้วเจอหนังอย่างนี้ จะนึกถึงร้านเฟมเลย

ทำไมแถวบ้านเราไม่มีร้านให้เช่าหนังดีๆ มั่งเนี่ย?

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 20 ธันวาคม 2548 17:19:57 น.  

 

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ

 

โดย: Noumy 29 ธันวาคม 2548 11:35:10 น.  

 

เจ้าของบล็อกหายไปเลย

ไม่ว่างมาอัพบล็อกเหรอคะ?



ช่วงนี้ได้ดูหนังบ้างมั้ยเอ่ย?

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2549 18:13:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Filmism
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add Filmism's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.