ปี 2547 กับหนังสิบเรื่องในดวงใจ
นี่ไม่ใช่คอลัมน์ TEN ในนิตยสารชื่อดังเล่มหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ผมได้ลองคิดไว้เมื่อต้นปีนี้ว่า อยากจะรวมหนังที่ชอบที่สุดในปีที่แล้วมาสิบเรื่อง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้กล่าวถึง ตอนนี้เห็นว่าน่าจะมีโอกาสที่ได้เขียนถึงซักที (ก็เพราะเพิ่งมีบล็อกใช่ป่ะ) ต้องบอกก่อนว่า หนังที่เขียน อาจไม่ใช่หนังที่ฉายครั้งแรกในปี 47 แต่เป็นหนังที่ฉายโรงในประเทศในปีนี้ หรือเป็นหนังที่อาจจะยังไม่ได้ฉายในปีนี้ แต่บังเอิญได้ชมก่อน ซึ่งบางเรื่องฉายในปี 48 บางเรื่องก็เป็นหนังก่อนหน้าปี 47 ซึ่งไม่ได้ฉายในประเทศไทยแต่จะเลือกที่อายุยังไม่มาก Eternal Sunshine of the Spotless Mindไม่น่าเชื่อว่า หนังเรื่องนี้จะได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นม้ามืดสำหรับปีนี้ โดยส่วนตัวชอบหนังที่เขียนบทโดย ชาร์ลี คอฟแมนอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้เข้าถึงประเด็นของการตั้งคำถามของหนังที่ว่า เมื่อคุณสามารถลบความทรงจำที่เลวร้ายของคุณได้ คุณจะเลือกที่จะลบมันไหม ในเมื่อความทรงจำที่เลวร้ายของคุณนั้นมันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่คุณรู้สึกดี ๆ โดยเฉพาะเรื่องของความรัก หนังมีบทภาพยนตร์ที่ดูเก๋ไก๋ และยังเลือกที่จะไม่เล่าตามลำดับเหตุการณ์ของเรื่อง และให้แง่คิดในเรื่องของความรักได้อย่างน่าสนใจสัตว์ประหลาดหนังของผกก.เจ้ย ที่ไปคว้ารางวัลในสายประกวดหลักของคานส์ได้เป็นคนแรกของไทย แต่ในเมืองไทยกลับให้ความสำคัญของหนังเรื่องนี้น้อยมาก แต่มันกลับทำให้หนังสามารถเลือกกลุ่มคนดูหนังได้อย่างชัดเจน เพราะหนังไม่เป็นหนังสำหรับคนดูทุกคน มันท้าทายสำหรับนักดูหนังในประเทศ เพราะเป็นหนังที่มีฟอร์มไปในทางศิลปะที่ชัดเจน หนังถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือครึ่งแรกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ narrative form และครึ่งหลังเป็น non-narrative form ซึ่งการเลือกที่จะทำในแบบหลัง คนดูหลายคนมักจะต้องการหาคำตอบของหนัง ที่จะโยงเหตุการณ์ และสารที่ผกก.ต้องการจะสื่อ แต่ก็คงต้องปวดหัวไปตาม ๆ กัน สำหรับผม เลือกที่จะซึมซับอารมณ์ที่ได้จากภาพ และคิดให้น้อยลง เพื่ออิ่มเอมกับอารมณ์ของตัวหนัง ส่วนตัวชอบกับการนำเสนอเรื่องราว และอารมณ์ของหนังที่ถ่ายทอดออกมา Old Boyหนังเกาหลีเรื่องแรกที่ได้รางวัลในสายประกวดในเทศกาลหนังที่คานส์ได้พร้อมกับเรา หนังได้ชอยมินซิกมารับบทนำที่ดูสมบทบาทมากที่สุด หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อเดียวกัน และยังได้ผกก.อย่าง พักชานวูค ผกก.สุดเซอร์ของเกาหลี การนำเสนอของหนังน่าสนใจตรงที่ ใช้ภาพที่ดูรุนแรงโหดร้าย แต่กลับนำเสนอด้วยภาพที่ตัดฉับไว และดูสนุก เรื่องราวของการแก้แค้นของชายคนหนึ่ง ที่ถูกขังในคุกเป็นเวลา 15 ปี โดยไม่รู้ว่า เหตุใดตนจึงต้องทนทุกข์อยู่ในคุกนานขนาดนั้น เมื่อตนออกมา จึงต้องตามหาเหตุผลที่แท้จริงและตามล้างแค้นคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาอยู่ในคุก หนังมีบทภาพยนตร์ที่ซับซ้อน และหักมุมNobody Knowsหนังเรื่องนี้ได้ผกก.อย่าง ฮิโรคาซุ โคริเอดะ(After Life, Maborosi) ที่ทำหนังประเภท Semi-Documentary ได้อย่างน่าสนใจ หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเด็กสี่คนที่ต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่ในอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่ง พวกเขาต้องอาศัยอยู่อย่างลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล หนังถ่ายทอดเรื่องราวแบบเหมือนจริง โดยไม่มีบทสนทนาที่ดูเหมือนละคร และการแสดงของนักแสดงนำอย่าง อากิระ ยูยะ ที่สามารถส่งให้เขาได้เป็นนักแสดงเด็กที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปีนี้ ทวิภพหนังเรื่องนี้ที่ชอบจริง ๆ ก็ด้วยเหตุผลของการที่หนังกล้าที่จะนำเสนอในรูปแบบที่แปลกไปจากหนังที่ลงทุนสูง และประเด็นที่ใช้ในหนังในเรื่องของการเสียดินแดนในรัชสมัยรศ.112 นั้นใช้การถ่ายทอดโดยผ่านเรื่องราวของบทประพันธ์อมตะของทมยันตี หนังยังเปลี่ยนเรื่องของบทประพันธ์ที่นำเสนอเรื่องราวจากในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ไปเป็นรัชกาลที่ 4 และมีประเด็นอีกหลาย ๆ ประเด็นที่สอดแทรกเข้าไป แต่ทว่า หนังกลับไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายรับเท่าที่ควร และในแง่ของรางวัลที่หนังได้ ก็ไม่ได้รับมาสักเท่าไหร่ แต่หนังก็เป็นที่พูดถึงในแง่ของการถ่ายทอดในแง่ของการแสดงออกถึงความเป็นชาติไทย และยังได้รับเกียรติ์เป็นตัวแทนของหนังไทยไปในการฉายหนังไทยในต่างประเทศหลายครั้งSwallowtail Butterflyปีนี้จริง ๆ ได้ดูหนังของชุนจิ อิวาอิ อยู่สองเรื่อง คือ All About Lilly Chou Chou และเรื่องนี้ แต่ที่ตัดสินใจเลือกเรื่องนี้ อาจไม่ใช่เพราะ Lilly Chou Chou เป็นหนังไม่ดี หรือไม่ชอบ แต่เป็นเพราะจะรวบยอดเป็นปี 48 เพราะได้เข้าฉายในบ้านเราในปีนี้ ซึ่ง Swallowtail Butterfly นั้นเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่อิวาอิไม่ได้เลือกที่จะเล่าเรื่องของวัยรุ่นโดยตรง แต่เป็นการถ่ายทอดปัญหาต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ทั้งเรื่องของเงินตราที่มามีอำนาจเหนือสิ่งอื่น และการถ่ายทอดเรื่องราวที่มาจากจินตนาการนั้น ก็ทำได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะสำรวจจิตใจเด็กสาวคนหนึ่งที่เธอต้องสูญเสียแม่ และออกมาเผชิญโลกอันโหดร้ายคนเดียว หนังยังมีแง่มุมของมิตรภาพ และความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ของผู้คนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับสังคมที่โหดร้ายSince Otar Leftหนังจากฝรั่งเศสเรื่องนี้ถูกใจผมยิ่งนัก เหตุผลเพราะบทนั้นโดนมาก ๆ เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่รอคอยการกลับมาของออตต้า ซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านที่มีหญิงสามคน สามรุ่น คือ คุณยาย คุณแม่ และคุณลูก คุณยายมีความหวังที่จะรอออตต้ากลับมาบ้าน ทั้งที่แม่และลูกได้รับข่าวแล้วว่า ออตต้าเสียชีวิต และปิดบัง หนังนำเสนอเรื่องราวของหญิงสามวัยได้อย่างลงตัว โหมโรงผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ มีคนชอบมากกว่าคนไม่ชอบ หนังสร้างจากชีวประวัติของท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ครูระนาดที่ต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิตกับดนตรีไทย หนังได้รับการตอบรับจากคนดูในระยะแรกไม่ค่อยดี จนกระทั่งกระแสอินเตอร์เน็ตทำให้หนังที่กำลังจะถูกถอดรอบออกไป กลับมามีคนดูเพิ่มขึ้นจนแน่นโรง อีกทั้งยังได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งนักวิจารณ์และประชาชนทั่วไป หนังสะท้อนแง่มุมของสังคมไทย และการวิจารณ์สังคมไทยในปัจจุบันได้อย่างดีGood Bye, Lennin!!!หนังเยอรมันเรื่องนี้นำเอาประเด็นความเจ็บปวดหลังสงครามโลกครั้งที่สองของเยอรมันที่เป็นประเทศแพ้สงครามได้เป็นอย่างดี ความเจ็บปวดที่เบอร์ลินเมืองหลวงของประเทศต้องถูกแบ่งโดยกำแพงเบอร์ลินซึ่งไม่ได้แยกกันเฉพาะอาณาเขตเท่านั้น แต่มันยังแบ่งลัทธิทางการเมืองอีกด้วย ในฝั่งตอ.ที่ประเทศเป็นลัทธิสังคมนิยม ที่ประชาชนคนหนึ่งอย่างคาร่าลุกขึ้นมาจากความเจ็บปวด เพื่อทำงานเป็นผู้นำชุมชนที่หัวเอนซ้ายไปทางสังคมนิยม แต่ทว่าวันหนึ่งที่เธอป่วยถึงขั้นโคม่า ในระหว่างที่เธอนอนอยู่ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเบอร์ลินก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการที่กำแพงเบอร์ลินทลายแล้ว เมื่อเธอตื่นขึ้น ลูก ๆ ของเธอถูกหมอกำชับนักว่าอย่าให้เธอต้องสะเทือนใจ ทำให้อเล็ซต้องคอยสร้างโลกลัทธิสังคมนิยมให้กับแม่ของเขา ทั้งที่โลกภายนอกรับความคิดและความเจริญจากฝั่งตต.แล้ว หนังเรื่องนี้ยังสอดแทรกแง่มุมและเสียดสีสังคมเยอรมันได้เป็นอย่างดี House of Flying Daggersหนังของจางอี้โหมวเรื่องนี้ต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ ของเขาตรงที่หนังของเขาครั้งนี้ บทภาพยนตร์มีความสำคัญน้อยลง แต่ให้ความสำคัญกับฉากอลังการมากขึ้นและก็ไม่ลืมที่จะใช้บทนั้นให้เป็นประโยชน์กับฉากต่าง ๆ อีกเช่นกัน ซึ่งในครั้งนี้ หนังทำออกมาได้ดีทั้งในแง่ของความสนุก และฉากที่ดูยิ่งใหญ่ บอกได้คำเดียวว่า ใครไม่ได้ดูเรื่องนี้ในโรงต้องเสียดายเอามาก ๆ เพราะภาพนั้นได้ผลที่สุดในโรงจริง ๆ และหนังยังได้นักแสดงดังจากฮ่องกงสองคน หลิวเต๋อหัว กับทาเคชิ ทาเนชิโร่ และได้สาวสุตฮอตของจีนอย่างจางจื่อยี่มาร่ายรำกระบวนเพลงดาบและเพลงรำได้อย่างวิจิตร ทำให้หนังเรื่องนี้ผมต้องยกนิ้วให้ว่า ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้
เราชอบหลายเรื่องอยู่เหมือนกันนะ
สบายดีนะคะ?