Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
15 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
เรื่องราวลึกลับที่เกิดขึ้นในพระบรมมหาราชวัง



พระบรมมหาราชวังหรือที่ชาวบ้านนอกรั้ววังมักใช้เรียกขานกันสั้นๆ ว่า “วังหลวง”นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2325




“วังหลวง”เป็นสถานที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเป็นสถานที่เคร่งครัด เข้มงวดในกฎระเบียบและประเพณีในราชสำนัก ชาววังหลวงเชื่อกันว่าทุกบริเวณในเขตรั้ววังล้วนมีเทวดาปกปักรักษา แม้แต่ประตูพระราชวังก็มีประเพณีที่เคร่งครัด โดยเฉพาะ “ธรณีประตู”ซึ่งมีกฎว่า ใครจะเข้าออกก็เดินข้ามไปได้แต่จะเหยียบธรณีไม่ได้ เพราะเป็นประเพณีที่ถือกันมาว่าประตูพระราชวังทุกแห่งมี “เทพยดารักษา”ขนาดว่าถ้าผู้ใดไม่รู้แล้วเผลอไปเหยียบเข้าก็จะถูกเจ้าหน้าที่กรมโขลน ผู้รักษาประตูดุเอา หรือบางทีอาจถึงกับถูกสั่งให้ก้มลงกราบธรณีประตูเพื่อขอขมาลาโทษเลยทีเดียว

ประตูที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เป็นประตูเครื่องยอดไม้ทรงมณฑปซ้อนสามชั้น ทาดินแดง เช่นเดียวกับประตูพระราชวังที่กรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ฯ ประตูและป้อมจึงสร้างแบบหอรบ มีคฤห์อยู่ส่วนบน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ได้เปลี่ยนแปลงยอดเครื่องไม้เป็นก่ออิฐ ถือปูน เป็นแบบซุ้มทรงฝรั่ง ปัจจุบันประตูดังกล่าวเหลืออยู่เพียงบางแห่งเช่นที่ประตูรัตนพิศาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้เปลี่ยนประตูจากทรงฝรั่งเป็นทรงปรางค์ เช่น ประตูวิมานเทเวศน์ ประตูวิเศษไชยศรี ประตูมณีนพรัตน์ ประตูสวัสดิโสภา ประตูเทวาพิทักษ์ ประตูศักดิ์ชัยสิทธิ ประตูดังกล่าวแม้จะเป็นทรงปรางค์แบบไทย แต่ก็ประกอบด้วยซุ้มบัณแถลง โดยเลียนเครื่องยอดทรงมณฑป ลดชั้นองค์ระฆังยอดใส่ปรางค์ แทนที่จะใส่เหมและบัวกลุ่ม นับว่าเป็นทรงปรางค์อีกแบบหนึ่งที่แปลกออกไป ส่วนประตูศรีสุนทร ทำเป็นทรงปรางค์ มีบัณแถลงใหญ่ ที่สันบัณแถลงใส่บราลีแบบบราลี ปักยอดปราสาท เป็นบราลีแบบปรางค์จึงนับว่าเป็นประตูที่แปลกอีกประตูหนึ่ง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ประตูวังได้เปลี่ยนเป็นประตูยอดแบบใหม่เพียงประตูเดียวคือ ประตู เทวาภิรมย์ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตก ยอดประตูแห่งนี้ได้เปลี่ยนจากประตูหอรบเป็นประตูยอดในคราวเดียวกันกับประตูประตูสามยอด

ประตูชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง มีทั้งหมด๑๓ ประตู เรียงลำดับจากด้านตะวันตกของ กำแพงพระบรมมหาราชวัง เวียนขวา(ทักษิณาวัตร)ได้ดังนี้
ประตูรัตนพิศาล อยู่ทางด้านตะวันตก (เรียกชื่อ สามัญว่า ประตูยี่สาน)
ประตูพิมานเทเวศน์ อยู่ทางด้านทิศเหนือ
ประตุวิเศษไชยศรี อยู่ทางด้านทิศเหนือ
ประตูมณีนพรัตน์ อยู่ทางด้านทิศเหนือ ตรงกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านเหนือ (เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าประตูฉนวนวัดพระแก้วมรกต เพื่อออกไปทุ่งพระเมรุ)
ประตูสวัสดิโสภา อยู่ด้านทิศตะวันออก ตรงกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตะวันออกตรงกับศาลาว่าการกลาโหม(มีชื่อเรียกเป็นสามัญว่าประตูทอง เพราะมีผู้เอาแผ่นทองคำเปลวไปปิดบูชาพระแก้วมรกตอยู่เสมอ)
ประตูเทวาพิทักษ์ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ทางเหนือพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ใต้ป้อมสิงขรขันธ์
ประตูศักดิ์ไชยสิทธิ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ทางใต้พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
ประตูวิจิตรบรรจง อยู่ทางด้านทิศใต้ ตรงข้ามกับวัดพระเชตุพนทางด้านเหนือ และข้างในตรงกับพระตำหนักเดิมสวนกุหลาบ (ประตูฉนวนชั้นนอกออกไปวัดโพธิ์)
ประตูอนงคารักษ์ อยู่ทางด้านทิศใต้ ตรงข้ามกับวัดพระเชตุพนทางด้านเหนือ (มีชื่อเป็นสามัญว่าประตูผีชั้นนอก)
ประตูพิทักษ์บวร อยู่ทางด้านทิศใต้ เป็นประตูด้านสกัดทางใต้ ตรงกับถนนมหาราช ข้างในตรงกับถนนสกัดกำแพง พระบรมมหาราชวัง (มีชื่ออย่างหนึ่งว่าประตูแดงท้ายสนม เพราะทาสีแดง ตั้งอยู่ริมตลาดชื่อท้ายสนม)
ประตูสุนทรทิศา อยู่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นประตูด้านสกัดทางเหนือตรงกับถนนแปดตำรวจเดิม
ประตูเทวาภิรมย์ อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามท่าราชวรดิษฐ์ (เรียกชื่อเป็นสามัญว่า ประตูท่าขุนนางหน้าโรงทาน)
ประตูอุดมสุดารักษ์ อยู่ทางด้านทิศใต้ เป็นประตูฉนวนออกทางตรงพระที่นั่งที่ท่าราชวรดิษฐ์





ทุกสถานที่เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาและยิ่งเป็นสถานที่เก่าแก่มีความเป็นมายาวนาน ก็ย่อมต้องมีเรื่องราวของความลี้ลับและอาถรรพ์ปะปนอยู่เสมอเป็นของคู่กัน เรื่องเล่าของชาววังในอดีตเกี่ยวกับอาถรรพ์และวิญญาณในวังหลวงจึงล้วนแต่น่าฟังและชวนติดตาม



เล่ากันว่าชาววังในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็กลัวผีเหมือนกัน มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวชวนขนลุกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นและยังเล่าสืบต่อกันมาไม่รู้จบว่า พวกในวังมักมีที่เล่นสำราญสนุกสนานที่บริเวณสระน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่งภายในวัง สระน้ำนี้จะมีท่อธารน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองด้านหัวและท้ายสระจะมีบันไดอิฐถือปูนเป็นทางสำหรับลงไปตักน้ำได้ว่ากันว่าเมื่อแรกสร้างนั้นน้ำเต็มเปี่ยมใสสะอาดดี เพราะมีกฎข้อห้ามจากเจ้านายไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปอาบหรือทำความสกปรกในบริเวณใกล้ขอบสระนั้น

ที่บริเวณสระน้ำนี้ยังมีต้นปีบขนาดใหญ่ สูงระหง กับต้นจันทน์ทอดกิ่งก้านสาขาใบดกเขียวร่มรื่น ปีบออกดอกขาวร่วงหล่นอยู่ที่โคนต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ชาววังสมัยนั้นก็มักจะมาเที่ยวเก็บดอกบีบและลูกจันทน์เล่น

แต่ต่อมาได้เกิดเสียงเล่าลือไปในทางไม่เป็นมงคล ทำให้ชาววังเกิดอาการกลัวผีกันนักหนา กลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้าออกไปไหน แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ยังไม่ยอมไปเพราะทางที่จะไปต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ทั้งนี้เพราะว่า “พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรทัยเทพกัญญา”ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประชวรด้วยพระโรคเรื้อรังกระเสาะกระแสะอยู่นานได้สิ้นพระชนม์ลง แม้จะทรงรักษาพระอาการประชวรด้วยวิธีแพทย์หลวงและทางไสยศาสตร์ หรือจะทรงหมั่นบำเพ็ญพระกุศลหวังจะให้หายจากพระโรค ก็ไม่หาย(เล่ากันภายในว่าทรงเป็นพระโรคประสาทและทรงกระทำวัตธิพิฆาตกรรมพระองค์เองจนสิ้นพระชนม์)


หมายเลข๑๗.คือ พระองค์เจ้าอรทัยเทพกัญญา


เมื่อพระองค์เจ้าพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ลงต่อมาก็มีการโจษจันกันว่ามีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยในยามวิกาล มีการกล่าวขวัญกันต่อๆ มาและสรุปว่าเป็นเพราะเสด็จพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ คงจะทรงไปทนทุกขเวทนาอยู่ เลยทำให้หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง

จนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้อาถรรพ์นี้ด้วยวิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน และทรงสั่งให้ขุดสระน้ำขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นให้พ้นทุกข์ เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสด็จก็มีพิธีฉลองสระ บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลายก็พากันเสด็จมาร่วมบำเพ็ญพระกุศล ตั้งแต่นั้นมาเรื่องเล่าของชาววังเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเงียบหายไป ส่วนสระน้ำที่ขุดใหม่นี้ชาววังในสมัยนั้นจะเรียกว่า “สระพระองค์อรทัย”

เรื่องลี้ลับของชาววังหลวงไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหลายๆ คนก็เจอดีและมีประสบการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้อันแปลกแหวกแนวไปคนละอย่าง โดยเฉพาะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในสมัยหลังช่วงรัชกาลที่ 8-9 ก็มีเรื่องเล่าถึงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเข้ามาซ่อม “พระแท่นราชอาสน์”ซึ่งเป็นของสูงที่องค์พระมหากษัตริย์ได้ทรงใช้เอนพระวรกายมาแล้วหลายพระองค์ จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดารักษา แต่ช่างชาวจีนซึ่งเป็นสามัญชนคนนี้ไม่รู้ประเพณีการให้ความเคารพในของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผิดกับช่างไทยถ้าจะทำงานกับของสูงเช่นนี้จะต้องมีการเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายสักการะ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากดวงพระวิญญาณ เพราะการซ่อมนั้นช่างจำเป็นจะต้องขึ้นไปเหยียบย่ำบนพระแท่นเพื่อรื้อของเก่าออก

เมื่อช่างจีนผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไม่ได้บวงสรวงสักการะ พอมาถึงก็ขึ้นไปเหยียบย่ำรื้อเลย ทำให้จู่ๆ ก็พลาดตกลงมาจากพระแท่นราชอาสน์จนถึงกับสลบและมีอาการกระอักเลือดออกมาทางทวารทั้งเก้า ทั้งๆ ที่พระแท่นราชอาสน์นั้นมีระยะสูงจากขอบพระบัญชรถึงพื้นไม่ถึงเมตรแต่กลับทำให้ช่างจีนคนนั้นถึงกับสิ้นใจตาย จึงเป็นเหตุให้ทางผู้รับเหมางานนี้ต้องรีบเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาถวายสักการะเป็นการใหญ่

บรรยากาศในวังหลวงสมัยก่อนในตอนกลางวันเมื่อเวลาไม่มีผู้คนสภาพแวดล้อมค่อนข้างน่ากลัวเพราะเงียบเชียบและยิ่งดึกๆ ก็ยิ่งวังเวง เรื่อง “ผีและโอปปาติกะ”ในวังหลวงมีอีกหลายเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา บ้างก็ว่ามีทั้งวิญญาณของเจ้านายฝ่ายในและบางครั้งก็เป็นเทวดา





มีเรื่องเล่าจากบันทึกของตำรวจหลวงในวังท่านหนึ่งซึ่งท่านเล่าไว้อย่างสนุกและน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ชวนพิศวงเมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึกช่วงระหว่างงานพระราชพิธีนั้น พอพระบรมวงศานุวงศ์แขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว ก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ ในส่วนของการยืนยามด้านในซึ่งเป็นที่ไว้พระโกศศพทำด้วยทองคำแท้ๆ นั้นจะมีทหารมารักษาการณ์เฉพาะตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยเฝ้าอยู่

สำหรับทหารที่มาเข้าเวรก็เป็นที่รู้กันว่าเมื่อเดินมาถึงจุดนี้จะต้องทำความเคารพพระบรมศพเสียก่อนด้วยการวันทยาหัตถ์ แต่ก็มีบางคนที่มาเข้าเวรใหม่ยังไม่รู้ธรรมเนียมจึงไม่ได้แสดงความเคารพ มาถึงก็ยืนเข้าที่เลย ปรากฏว่าโดนดีกันเป็นแถวเพราะถูกฝ่ามือลึกลับของใครก็ไม่ทราบมาตบที่ท้ายทอยจนหัวคะมำ พอหันมาดูรอบๆ ตัวก็ไม่มีใคร ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ บางครั้งทหารยืนยามมาทั้งคืนพอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหว ต้องทรุดลงนั่งและหลับยามไปงีบหนึ่งแต่พอเจ้านายมาตรวจเวรก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัว บอกให้ตื่นเจ้านายมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวคนปลุกซักครั้งเดียว




Create Date : 15 มิถุนายน 2550
Last Update : 15 มิถุนายน 2550 11:12:58 น. 3 comments
Counter : 14949 Pageviews.

 
พิศวงมากเลยคับ
ขอบคุณคับ


โดย: โอซารัน วันที่: 19 มิถุนายน 2550 เวลา:14:40:45 น.  

 
น่าสงสัยนะคะ


โดย: ทอใยรัก (toryairuk1 ) วันที่: 9 สิงหาคม 2550 เวลา:12:43:40 น.  

 
มั่่วเลยอะไรก็เขาว่าเขาว่า เล่าอย่างกะเห็นเอง


โดย: กรรม IP: 124.120.239.185 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:0:02:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

K_chang
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เฟิร์นคับ เป็นคนภูเก็ต แต่ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ งานอดิเรกก็มีบ้าง แต่ที่ติดอยู่ตอนนี้คือการทำบล็อก
และก็คงจะไม่เลิกง่ายๆซะด้วย

ยินดีต้อนรับเข้าสู่K_chang BLOG นะคับ…
Kittipong Jarusathorn
Instagram

Google
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add K_chang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.