กันยายน 2555

 
 
 
 
 
 
1
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
นวนิยาย..วาดรักกลางตะวัน {บทที่ ๓}

“อู่ดู่ถ่องมะจ้ะ ลุงหู่ลอง” เสียงเอ่ยคำว่า ‘สวัสดี’ เป็นภาษาถิ่นดังขึ้นเจื้อยแจ้ว

 

หู่ลองและลองกาจึงหันขวับไปมองพร้อมกัน พบว่าอาคันตุกะเสียงหวานสดใสคือมาลินนั่นเอง หญิงสาวมาถึงพร้อมอาลูผะดังเช่นทุกครั้ง ทว่าวันนี้แปลกนักที่ทั้งสองมาเยี่ยมเยียนตั้งแต่เช้าตรู่ทั้งที่หมอกยามเช้ายังไม่ทันจางหาย

 

“อู่ดู่ถ่องมะ อามิ อาลูผะ” หู่ลองทักทายตอบแล้วจึงพยักหน้าให้สองสาวมานั่งด้วยกันบนแคร่ไม้ไผ่ด้านนอกเรือนสมุนไพรหรือที่เรียกกันติดปากว่าโรงยานั่นเอง

“ผู้ชายคนนั้นเป็นไงบ้างจ๊ะลุง” มาลินซักหลังจากนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

หู่ลองยิ้ม ใบหน้าอันเต็มไปด้วยริ้วรอยจึงมองดูยับย่นราวกับกระดาษสาขณะตอบ “ก็ดีขึ้น  อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เหลือแต่รอให้แผลแห้งเท่านั้นละ”

 

“ลุงหู่ลองนี่เก่งจัง” อาลูผะชื่นชม

 

“แล้วเฮาล่ะอาลูผะ เฮาก็เป็นลูกมือของพ่อด้วยนะ” ลองกาถามพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

 

อาลูผะย่นจมูก “รอให้ทำได้เหมือนลุงหู่ลองก่อนเถอะลองกา”

 

มาลินส่ายหน้าอย่างระอาแล้วจึงหันไปขออนุญาตผู้ชราซึ่งเงียบเฉยฟังอยู่ “อามิขอเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยได้ไหมจ๊ะลุง”

 

“ฮั่นแน่” ลองกาแซวเพื่อนกลั้วหัวเราะ “รู้สึกอามิจะเป็นห่วงเป็นใยหนุ่มไทยคนนี้เป็นพิเศษเลยนะ”

 

“ก็คนของพ่ออามิทำร้ายเขานี่ จะให้นิ่งดูดายได้ยังไง” คนถูกแซวหันมามองตากลับและทิ้งท้ายก่อนเดินจ้ำเข้าไปในกระท่อมไม้ไผ่

 

 

อาการปวดหนึบบริเวณหัวไหล่ซ้ายทำให้มือใหญ่ที่กำลังตักแกงไก่เข้าปากสั่นระริก วงศ์ตะวันจึงหมดความอดทน เอนกายลงบนหมอนซึ่งลองกานำมาวางซ้อนกันให้เขาพิงขณะนั่งเพื่อไม่ให้ต้องเกร็งหัวไหล่ที่บาดเจ็บอยู่มากเกินไป

 

เสียงเปิดประตูไม้ไผ่ดังขึ้นชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง พบว่ามาลินกำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เป็นไงบ้างคุณ”

 

ดวงตาสีนิลจ้องมองผู้มาใหม่อยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่าเป็นหญิงสาวที่น้ำตกจึงตอบออกไปอย่างเป็นมิตร “ค่อยยังชั่วแล้วครับ”

 

“กินไปนิดเดียวเองคุณ” อาลูผะท้วงหลังจากชะโงกหน้ามองชามข้าวที่พร่องไปไม่ถึงครึ่ง

 

“ตักแกงแล้วเจ็บแผลใช่ไหม มา เดี๋ยวเฮาป้อนให้เอง” มาลินเสนอ

 

“ไม่เป็นไร ผมอิ่มแล้ว” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

 

ทว่าหญิงสาวไม่ฟังเสียง ขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงแล้วรีบยกชามขึ้นมารองไว้ใต้คางของคนเจ็บ ก่อนจะจ้วงช้อนตักแกงขึ้นมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

 

“อ้าปากสิ” มาลินสั่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมให้ความร่วมมือ

 

“ก็ผมอิ่มแล้ว” เขายังคงเถียง

 

สาวเจ้าย่นคิ้วทำหน้าตายุ่งเหยิง พลางขู่ “จะอ้าปากดีๆหรือต้องง้างปากกันล่ะ”

 

วงศ์ตะวันกลั้นอาการขบขันต่อกิริยาของอีกฝ่าย แล้วจึงขยับนั่งตัวตรง อ้าปากออกอย่างช้าๆ

 

“ยอมตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” มาลินค่อยยิ้มออก ก่อนจะตักแกงและข้าวใส่ปากชายหนุ่ม ขณะที่เขายอมทำตามคำสั่งด้วยอาการเขินๆ

 

เมื่ออาหารพร่องลงเกือบหมดชาม หญิงสาวจึงรินน้ำใส่แก้วอลูมิเนียมแล้วนำไปจ่อปากให้แก่เขา พลางถาม “คุณคงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม”

 

วงศ์ตะวันสั่นหน้า “ผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาทำงานที่โครงการหลวงผากิ่ว”

 

มาลินพยักหน้าพลางครุ่นคิด “แล้วคุณก็บังเอิญไปเจอพวกคนร้ายใช่ไหม”

 

“ใช่ ผมไม่ตั้งใจ”

 

“แล้ว เอ่อ คุณไม่กลัวเหรอ ถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไป”

 

“ถ้าคนกลัวอำนาจเถื่อนแบบนี้กันหมด บ้านเมืองจะมีกฎหมายไว้ทำไมล่ะ” วงศ์ตะวันย้อน แล้วจึงขยับไปพิงหมอนในท่าสบายมากขึ้น

 

“ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้ด้วยนะ คุณไม่มีพรรคมีพวกที่นี่ มันอันตรายเกินไป แต่ก็โชคดีนะที่พวกนั้นไม่ทันเห็นหน้าคุณ”

 

วงศ์ตะวันยิ้มกับท่าทางจริงจังของหญิงสาวซึ่งแตกต่างจากความเอาแต่ใจก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง จนลืมตั้งข้อสังเกตว่า เธอรู้เรื่องทั้งหมดโดยที่เขายังไม่ทันได้เล่าอะไรเลย

 

“จริงสิ คุณชื่ออะไรล่ะ” มาลินถามพลางจ้องหน้ารอคำตอบตาแป๋ว

 

“เรียกผมว่าตะวันก็ได้ แล้วคุณล่ะ”

 

“เฮาชื่ออามิ” หญิงสาวตอบสั้นๆก่อนจะลุกขึ้น ”เดี๋ยวเฮาต้องไปช่วยครูปิ๋มสอนเด็กๆที่โรงเรียน เอาไว้เย็นๆเฮาจะมาเยี่ยมใหม่นะ”

 

“ที่นี่มีโรงเรียนด้วยเหรอ มีเด็กเรียนเยอะไหม”

 

มาลินพยักหน้าอีกครั้ง “เด็กทั้งหมู่บ้านแหละ แต่มีครูแค่คนเดียว พอเฮากับอาลูผะเรียนจบแล้วก็เลยมาช่วยสอนที่นี่”

 

“ขอบคุณนะที่ช่วยผมไว้ แล้วยังตามมาคอยดูแลอีก” เขาเอ่ยคำขอบคุณอย่างจริงใจ

 

ผู้ถูกขอบคุณยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นหน้าที่ของเฮาอยู่แล้ว”

 

กล่าวจบหญิงสาวก็รีบผลักบานประตูไม้ไผ่ออกไป ปล่อยให้ผู้ที่นั่งอยู่บนแคร่มองตามด้วยความงงงวย อาการเจ็บของเขาถือเป็นหน้าที่ของเธอได้อย่างไรกัน...

 

 




Create Date : 06 กันยายน 2555
Last Update : 6 กันยายน 2555 18:05:18 น.
Counter : 1110 Pageviews.

3 comments
  
“ติ นยิ ซุ้ม โอว่ หง่า โกะ สิ แหยะ โวย่ เว้ ครบแล้ว เอ้า! นี่...คุณครูปรียาให้ดินสอพวกเราคนละแท่ง” เด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้ผมหน้าม้าในชุดนักเรียนซึ่งค่อนข้างมอมแมมบอกพลางส่งดินสอให้เพื่อนๆทีละคน

“นับเลขเป็นภาษาไทยสิน่อสะจู” มาลินดุเบาๆ

“ค่ะครู” เด็กน้อยรับคำแล้วจึงหันกลับไปคุยกับเพื่อนตามเดิม

หญิงสาวผมซอยสั้น ร่างสูงชะลูด ในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงผ้าสีดำจึงเดินเลี้ยวเข้าในช่องประตูของโรงเรือนไม้โปร่งโล่งซึ่งมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ประมาณสามสิบชุด เอ่ยถามคนที่อยู่ในห้องคนเดียว

“กำลังทำอะไรอยู่หรือคะพี่ปิ๋ม”

“แจกอุปกรณ์การเรียนเด็กๆอยู่จ้ะ วันนี้อาลูผะไม่มาด้วยเหรอ” ประโยคท้ายปรียาย้อนถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินมาลำพัง

“วันนี้อาลูผะต้องไปช่วยแม่ทำสวนน่ะค่ะ” ตอบแล้วมาลินจึงนั่งลงข้างๆ
สาวรุ่นพี่ที่เธอศรัทธาในความตั้งใจทำงานของอีกฝ่ายมานาน
ปรียาเป็นชาวกรุงเทพฯโดยกำเนิด เธอเป็นครูอาสาที่ทำทุกอย่างด้วยตนเองราวกับผู้ชายอกสามศอก แม้บนดอยผากิ่วจะห่างไกลจากความเจริญ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยปริปากบ่น เธอกินอยู่อย่างเรียบง่าย โดยจะขับมอเตอร์ไซค์ลงจากดอยเดือนละครั้งเพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และที่สำคัญเธอมีความเป็นครูทุกลมหายใจเข้าออก มิใช่สักแต่ทำตามหน้าที่ดังที่เห็นกันอยู่ทั่วไป

“อามินี่โชคดีจังนะที่ลุงกาเนร่ำรวยขนาดนั้น ลูกสาวก็เลยไม่ต้องทำไร่ทำสวนเหมือนชาวอาข่าคนอื่นๆ”

“อามิไม่เห็นจะชอบเลยค่ะ อยากเป็นเหมือนคนอื่นๆที่ใช้ชีวิตได้ตามที่ใจต้องการมากกว่า”

ปรียายิ้มปลอบโยน พลางให้ข้อคิด “ไม่มีชีวิตใครจะได้ดั่งใจหมดทุกอย่างหรอกจ้ะอามิ บางทีหลายๆคนอาจจะกำลังอิจฉาในสิ่งที่อามิเป็นอยู่ก็ได้ ในขณะที่อามิไม่รู้ตัวเลยว่าถูกอิจฉาอยู่”

“นั่นสิคะ อามิควรจะพอใจในสิ่งที่ตนเองมีใช่ไหมคะพี่ปิ๋ม” มาลินเงยหน้าขึ้นตอบรุ่นพี่

“ถูกต้องจ้ะ เพราะนั่นจะทำให้เราสบายใจมากที่สุด ชีวิตคนสั้นนัก จะมัวมานั่งน้อยอกน้อยใจในโชคชะตาทำไม เสียดายความสุขที่หล่นหายไปแย่เลย มานี่มา เดี๋ยวพาเด็กๆไปร้องเพลงกัน” ครูสาวสรุปแล้วจึงลุกขึ้นพลางยื่นมือไปดึงแขนคู่สนทนาให้ลุกตาม

มาลินลุกขึ้นบ้าง และก้าวออกไปยังลานกว้างหน้าเสาธงที่แสงแดดอุ่นกำลังทอแสงอยู่รำไร ดอกหญ้าไหวระริกตามสายลม คล้ายจะบอกว่าความงดงามเกิดขึ้นได้เสมอ หากเรามองด้วยหัวใจที่เป็นธรรม


พลั่ก!

เสียงเท้ากระทบร่างงาแบดังสนั่นไปทั้งห้อง ทำเอาหนุ่มอาข่าเซถลาลงไปกองกับพื้นทั้งที่กำลังยกมือไหว้ปลกๆ “เฮาขอโทษด้วยเถอะนาย เฮาพยายามเต็มที่แล้ว”

กาเนกอดอกยืนจังก้ากลางห้อง จ้องมองลูกน้องด้วยความโกรธขึ้ง “หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คำขอโทษของสูมันจะแก้ไขอันใดได้บ้าง หา!”

งาแบก้มหน้ามองพื้นกระเบื้องวาววับด้วยใจประหวั่น รู้ดีว่าหากทำงานผิดพลาดย่อมมีโทษหนัก ซึ่งบางทีอาจหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ แต่เขาเป็นผู้เลือกเส้นทางนี้เอง จะโทษใครได้เล่า..

เดิมทีเขาก็เป็นชาวสวนชาวไร่ดังชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ในระยะหลังเขาเลิกสูบกัญชาเหมือนคนในเผ่า แล้วหันมาทดลองยาเสพติดชนิดรุนแรงขึ้นจนติดงอมแงม เมื่อไม่มีทางหาเงินหรือสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกับยา จึงต้องกลายมาเป็นลูกน้องของกาเนในที่สุด

หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมานานพอสมควร งาแบเคยคิดจะออกจากวงจรนี้อยู่หลายครั้ง ทว่าไม่สามารถทำตามใจต้องการได้ เพราะการทำงานบนเส้นทางสายนรกนี้ เมื่อหลงเข้ามาแล้วคิดจะกลับออกไป ก็มีแต่ตายสถานเดียว

“เฮาขอแก้ตัวครับนาย” ชายหนุ่มกัดฟันพูด
กาเนนิ่งไปชั่วครู่จึงพยักหน้า เอ่ยตอบด้วยเสียงอันดัง “ได้ เฮาจะให้โอกาสสูอีกครั้งหนึ่งงาแบ แต่คราวนี้สูจะต้องเปลี่ยนหน้าที่”

งาแบเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยความดีใจ หยดน้ำตาลูกผู้ชายปริ่มขอบตา หากยังมีโอกาส หมายถึงเขาจะยังสามารถรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้อีกระยะหนึ่ง “ยังไงครับนาย”

กาเนหัวเราะหึๆก่อนตอบ “สูจะต้องไปคุมรถขนกะหล่ำปลีเข้าเมือง”
“
รถขนกะหล่ำปลีเหรอครับ ”หนุ่มอาข่าทวนคำแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ด้วยรู้ดีว่ากะหล่ำปลีที่ว่านั้นมีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่

“ใช่ แต่สูไม่ต้องกลัว เพราะจะมีรถนำหน้าไปคันหนึ่ง คอยดูลาดเลาว่ามีด่านตรวจหรือเปล่า” กาเนอธิบายอย่างใจเย็น

“แต่ว่า...เฮา”

ผู้เป็นใหญ่ในวงการยาเสพติดขึ้นลำลูกเลื่อนปืนพกแล้วหันกระบอกปืนไปยังคู่สนทนาเพื่อเป็นการขู่ “สูขอโอกาสเองไม่ใช่รึ”

“ได้นาย เฮาสัญญาว่าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ” งาแบลนลานบอก

“ถ้างั้นสูก็ออกไปได้ละ เฮามีเรื่องจะปรึกษากับอาเจ่ต่อ” กาเนบอกก่อนจะเดินกลับไปนั่งด้านหลังโต๊ะทำงานซึ่งทำจากไม้สักทองทั้งชุด “สูไปตามอาเจ่มาพบเฮาด่วนเลยนะ”

งาแบรับคำแล้วจึงหมุนตัวเดินจากไปยังทิศทางที่ตั้งของประตู แต่พอสองมือใหญ่ของเขาจับลูกบิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสองครั้งติดๆกัน

ชายหนุ่มรีบเปิดมันออก ก่อนจะค้อมตัวผ่านร่างหญิงวัยปลายกลางคนผู้งดงามสมวัยแล้วปิดประตูตาม

ผู้มาใหม่บอกกับเจ้าของห้องเรียบๆว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ กาเน”

“มีเรื่องอะไรหรือครับคุณญาดา เชิญนั่งก่อนสิ”

ญาดาทำตาม ก่อนตอบ “พรุ่งนี้ฉันจะเข้าเมือง”

“มีอะไรให้ช่วยไหม แล้วถ้าอามิถามจะให้ผมบอกแกว่ายังไง” กาเนถามอย่างใส่ใจ ตลอดเวลาที่ญาดาติดตามเขามายังดอยผากิ่วแห่งนี้ ไม่เคยมีวันใดที่ผู้นำขบวนการอูมอจะไม่ให้เกียรติเธอ ด้วยยึดมั่นเสมอว่าจะต้องดูแลผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาและลูกสาวให้ดีที่สุด

ญาดานิ่งไปอึดใจ แล้วจึงพูดต่อ “บอกอามิว่าฉันไปซื้อของก็แล้วกัน เธอจัดการให้คนไปซื้อของไว้ด้วย ตอนฉันกลับมาลูกจะได้ไม่ผิดสังเกต”

“ครับ แล้วผมจะจัดการให้ คุณต้องการอะไรบ้างล่ะ”
ใบหน้าเรียบเฉยนั้นครุ่นคิด “ก็คงเป็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้านทั่วๆไปนั่นแหละ”

“ครับ”

ญาดาพยักหน้าก่อนลุกขึ้นและหมุนตัวเดินจากไป แต่แล้วก่อนจะถึงประตูห้อง เธอก็หันกลับมามองผู้อยู่เบื้องหลังอีกครั้งหนึ่ง “ขอบใจมากนะกาเนที่พยายามส่งโทรศัพท์มือถือไปให้คุณเทวัญใช้จนได้”
คราวนี้กาเนยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะเบาๆ “ผมไม่เคยลืมว่านายเทวัญมีบุญคุณกับผมมากแค่ไหน”

ญาดายิ้มตอบและเอ่ยซ้ำคำเดิมอีกครั้ง “ขอบใจ”

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่ยอมกินข้าวอีกแล้ว” เสียงแหลมปนขุ่นใจนิดๆของมาลินดังขึ้นทันทีที่โผล่พ้นประตูเข้าไปในเรือนสมุนไพร

วงศ์ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหิวผมก็กินเองแหละ”

หญิงสาวเดินลิ่วๆมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างแคร่ พูดต่อเจื้อยแจ้ว “คุณไม่รู้หรือยังไงว่าคนป่วยน่ะต้องบำรุงเยอะๆ นี่เฮาสั่งลองกาไว้ว่าให้หาอาหารที่มีโปรตีนมาให้คุณกินมากเป็นพิเศษ จะได้หายไวๆ”

ชายหนุ่มก้มหน้ากลั้นยิ้ม ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นมาต่อคำซึ่งดูคล้ายจะเป็นการยั่วเย้าอีกฝ่ายเสียมากกว่า “แล้วถ้าผมไม่กินล่ะ มันจะหายไหม”

“หาย แต่ช้า โปรตีนน่ะจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนะ” หญิงสาวตอบเสียงต่ำ ความไม่พอใจเริ่มแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ”แทนที่คุณจะมาซักถามเฮา กินเสียไม่ดีกว่าเหรอ”

“เวลาเธอสอนเด็กก็พูดแบบนี้ใช่ไหม” วงศ์ตะวันเอ่ยปนหัวเราะสดใสจนเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนจนหัวใจของหญิงสาวสะดุดกึก

“ใช่ แล้วทำไมล่ะ” หญิงสาวกอดอกย้อนถาม

หน็อย คนหวังดียังจะมาถามจุกจิกอีก

“ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกหนน่ะสิ คุณแม่ผมก็ชอบบังคับแบบนี้แหละ”

“เอาละ ไม่ต้องโยกโย้ มา เฮาจะป้อนข้าวให้” มาลินไม่บอกเปล่า โน้มตัวเข้าไปยกชามข้าวขึ้นมาถือไว้ แล้วตักแกงจ่อปากชายหนุ่มเช่นเคย “เร็วๆ เฮาไม่อยากเข้าบ้านมืดค่ำ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะผิดสังเกต”

ชายหนุ่มจึงยินยอมทำตามแต่โดยดี

ครั้นกินข้าวและดื่มยาสมุนไพรเสร็จแล้ว มาลินจึงลุกพรวดขึ้นด้วยท่าทางรีบร้อนอีกครั้ง

“เฮาต้องกลับบ้านละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมาใหม่นะ”

“เดี๋ยวสิ ขอถามอะไรอย่าง”

“อะไร” หญิงสาวย้อนถามพลางจ้องรอฟังอย่างจดจ่อ

“ผมอยากรู้ว่าพวกตัดไม้ที่ยิงผมเป็นใคร”

ดวงตาคู่งามไหวระริก ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะยอมเปิดปากภายหลัง

“คนที่ยิงคุณ…เป็นคนของพ่อเฮาเองแหละ”

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แต่กลับไม่แสดงน้ำเสียงตกใจใดๆออกมาสักนิด “คุณถึงบอกว่า คุณมีหน้าที่ต้องคอยดูแลผมใช่ไหม”

มาลินพยักหน้า ความรู้สึกผิดประดังเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับตนเองเป็นตัวต้นเหตุกระนั้น “คุณเป็นคนบริสุทธิ์นี่ มันไม่ถูกที่จะต้องมาเจ็บหรือตาย ไม่ต้องห่วงนะ เฮาไม่บอกเรื่องนี้กับใครหรอก”

“แสดงว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ที่นี่สิ” เขาถามต่อ

“ใช่ พ่อเคยเล่าว่าเดิมทีเจ้าของสัมปทานคนก่อนเป็นนายของพ่อ แต่พอเขาตายไปพ่อก็เลยมารับช่วงต่อน่ะ”

“แสดงว่าเขาไม่มีลูกหลาน” ชายหนุ่มหยั่งเชิง

“อันนั้นเฮาก็ไม่รู้ รู้เท่าที่พ่อบอกเท่านั้นแหละ” มาลินทำหน้ายุ่งจ้องตอบอีกฝ่ายแน่วแน่ “หมดคำถามหรือยัง”

“ยัง” วงศ์ตะวันยิ้มมุมปาก

หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาแรงๆโดยไม่ปิดบัง “ว่ามา เฮาจะตอบอีกคำถามเดียว แล้วจะกลับละ”

“ในเมื่ออามิก็รู้ว่าการตัดไม้นอกเขตสัมปทานเป็นความผิด ทำไมไม่เตือนพ่อล่ะ”

มาลินเดินเข้าไปใกล้ผู้ถามอีกนิดก่อนตอบฉาดฉาน “คุณคงจะไม่อ่อนต่อโลกเสียจนคิดว่าพ่อทำไปโดยไม่มีเจ้าหน้าที่รู้เห็นหรอกนะ ที่นี่อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก กฎหมายเป็นคำที่เอาไว้พูดโก้ๆเก๋ๆเท่านั้นแหละ”

เขานิ่งไปนาน แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ “โอเค ขอบใจมากนะอามิที่บอกทุกอย่างกับผมตามตรง”

หญิงสาวพยักหน้าตอบ แล้วจึงหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว...
โดย: ผู้หญิงเลือดเย็น วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:18:10:30 น.
  
สวัสดีค่ะพี่ฟ้า
นุ่นไม่ค่อยได้เข้าเฟสเท่าไหร่
พี่บอกราคาหนังสือพลิกผืนฟ้าหารักด้วยนะคะ
เดี๋ยวนุ่นจะโอนไปค่ะ บัญชีเดิมใช่มั้ยคะ
โดย: นุ่น (วันฝัน วันซันเดย์ ) วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:18:10:08 น.
  
พลิกผืนฟ้า+ตราบรักใช่มั้ยคะน้องนุ่น เล่มเดียว ๒๓๐ สองเล่ม ๔๖๐ จ้ะ ส่งมาจากคนละที่เลย
โดย: ผู้หญิงเลือดเย็น วันที่: 9 กันยายน 2555 เวลา:12:05:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้หญิงเลือดเย็น
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ใครเล่นเฟซบุ๊คไปคุยกันได้
ในแฟนเพจ "บ้านน้ำฟ้า"นะคะ