หลังจากที่ถ่ายรูปจนหนำใจ แต่ซื้อของฝากอย่างเหนียมจิตแล้ว เพื่อนอินโดฯ กล้ามโตของเราก็เสนอความคิดให้ไปกินซีฟู้ดที่ Boat Quay (เห็นเค้าอ่านว่า โบ๊ต-คเว แต่เพื่อไม่เป็นการเสี่ยงต่อการออกเสียงและฟังเพี้ยน ซึ่งเป็นไปได้สูงมากอย่าไปเรียกชื่อมันเลยครับ) ซึ่งเป็นแหล่งร้านอาหารซีฟู้ดริมท่าน้ำ อยู่ใกล้ๆ กันกับ Merlion นี่แหล่ะ มองไปก็เห็น แต่สาวๆ ดันบอกว่ายังไม่หิว (ขัดลาภปากซะจริงจริ๊ง) พวกเราผู้ชายก็เลย(จำใจ)ต้องเปลี่ยนแผนไปดูการแสดงน้ำพุเต้นระบำ The Fountain of Wealth ที่ Suntec City Mall แทน
ที่เห็นลิบๆ นั่นคือแสงไฟระยิบระยับของร้านรวงใน Boat Quay ครับ
แล้วเราก็ต้องเดินไปนั่งรถไฟใต้ดินอีกเช่นเดิม แต่ระหว่างทางที่เดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน เราต้องเดินผ่าน Boat Quay ด้วย โอ้โห..แบบว่าบรรยากาศดูดี น่านั่งกินมากๆ ตั้งใจไว้เลยถ้ามีโอกาสได้มาสิงคโปร์อีกต้องมานั่งกินอาหารชมวิวที่นี่ให้ได้ ฮือๆ
และแล้วหลังจากนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งเช่นเคยจำไม่ได้ว่ากี่สถานี ลงที่ไหน สถานีอะไรเราก็มาถึงอาคาร Suntec City Mall ซึ่งเป็นที่ตั้งของลานแสดงน้ำพุ The Fountain of Wealth ครับ
บ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟ ใน Suntec City ระหว่างทางเดินไปดูน้ำพุครับ
เราก็เดินลัดเลาะไปในตึก(ไกลพอควร) พอไปถึงลานแสดงเอาก็ตอนสามทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่าเค้าหมดรอบการแสดงไปแหล่ว -_-" แบบว่าเซ็งโคตรๆ แต่ก็ยังเห็นคนต่อแถวยาวเหยียดทำอะไรไม่รู้ เข้าไปดูใกล้ๆ ก็ปรากฏว่าเค้ายืนรอคิวเข้าไปเดินวนรอบน้ำพุกัน เห็นเค้าเขียนแปะไว้ว่าใครที่เดินเอามือขวาแตะน้ำพุ The Fountain of Wealth วนรอบครบ 3 รอบจะโชคดีและสุขภาพดี
ไอ้พวกผมก็เฉยๆ ครับ ไม่ได้เชื่ออะไร (แหมก็พี่น่ะ น้ำพุสร้างขึ้นชัดๆ เลยครับเพ่) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ อุตส่าห์นั่งรถไฟและเดินมาตั้งไกลแล้ว ก็เลยไปต่อคิวแตะน้ำพุกะเค้าซะหน่อย ดีกว่าเสียเที่ยวเปล่า
อย่าเข้าใจผิดว่าทำพิธีกรรมลึกลับ หรือกำลังติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวนะครับ
ที่จริงมันคือกลุ่มคนที่กำลังเดินวนรอบน้ำพุนั่นเอง
หลังจากแตะน้ำพุให้มือเหนียวเล่นแล้ว น้องสาวเจ้าความคิดก็บอกว่าจะไปชมแสงสีพร้อมกินอาหารอินเดียแบบใช้มือเปิบที่ Little India ซึ่งเป็นย่านที่คนอินเดียอยู่กันเยอะในสิงคโปร์ ประมาณว่าจะโรแมนติคอีกแล้วว เจ้าเพื่อนอินโดฯ มันบอกไม่อยากไปเพราะอันตราย ขโมยเยอะ และไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ไฉนชายอย่างเราๆ จะไปสู้(มารยา)หญิงได้ ก็เลยตกลงไปกัน แต่ด้วยความเมื่อยขา(อย่างแรง) เราเลยพากันเดินไปเข้าคิวเรียกแท็กซี่ที่หน้าตึก
แต่มีเรื่องให้ชื่นชมครับ ก็คงเป็นเหมือนกันทั่วโลกที่เวลาคนเค้าต่อแถวเข้าคิวเรียกแท็กซี่ยาวๆ กัน มันมักจะมีพวกมักง่ายไม่ยอมเข้าคิวแต่จะเดินไปดักเรียกแท็กซี่ที่หน้าทางเข้าตัดหน้าแทน คราวนี้ก็มีครับ คงเป็นพวกคนจีนเดินออกจากตึกมาพวกพี่แกก็ล้งเล้งมามองๆ ที่แถว แล้วเดินไปดักเรียกรถตรงทางเข้า เวลารถแท็กซี่มาถึงมีคนลง พี่แกก็เข้าไปถาม แต่ก็ไม่มีแท็กซี่คันไหนรับขึ้นครับ ชี้ให้มาต่อที่แถวแทน โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยบอกแต่อย่างใด ทำให้สะใจพวกผมมากๆ เป็นแท็กซี่ไทยคงรับไปแล้ว
เอ่อ..นอกเรื่องไปหน่อย ในที่สุดเราก็เรียกแท็กซี่มาถึง Little India ซึ่งโชคดีอยู่อย่างตอนที่เรามานั้นเป็นเทศกาลอะไรซักอย่างของ Little India อยู่พอดี ทำให้มีการประดับประดาไฟตามท้องถนน เห็นเค้าว่ามีปีละครั้ง
บรรยากาศของ Little India
ร้านอาหารอินเดียครับ คนกินเยอะมากๆ
ร้านรวงส่วนใหญ่ของ Little India ก็จะขายพวกเครื่องประดับ ทอง กับผ้าส่าหรีครับ แรกๆ สาวๆ ก็ดี๊ด๊าๆ อยากเดินช๊อปผ้าสาหรี แต่พอเจอคนแขกหน้าตาโหดๆ ก็เริ่มออกอาการหวั่นๆ
และแล้วหลังจากมองไปมองมาว่าจะเดินที่ไหนก่อน ก็เลยตัดสินใจเลือกเดินเข้าตลาดแผงลอยกันดูก่อน เดินเข้าไปหน่อยเดียวดั๊นไปเจอแก็งค์เด็กแขกเล่นปาประทัดใส่กัน บวกกับกลิ่นเครื่องเทศที่รุนแรงมาก สาวๆ เลยต้องยอมบายโดยดี เดินตลาดแผงลอยได้หนึ่งรอบ เลยตัดสินใจเปลี่ยนใจไปหาข้าวกินที่ย่าน China Town แทน ทำให้เราต้องแบกท้องที่ร้องจ๊อกๆ ขึ้นรถไฟใต้ดินอีกแล้ว
บรรยากาศ China Town ครับ
ร้านรวงปิดเกือบหมดแล้ว
และแล้วเรามาถึงย่าน China Town เอาซะเกือบเที่ยงคืน ด้วยอารมณ์ที่ทั้งหิวและเหนื่อย แต่ปรากฏว่าร้านต่างๆ ปิดไปเกือบหมดแล้ว ทำให้บังเกิดความเซ็งจิตเล็กๆ แต่ก็ยังมีความหวังว่าคงยังร้านที่ยังไม่ปิดอยู่บ้าง เราจึงต้องก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อุอุ
ตึกเค้าสวยดีครับ เก่าๆ ได้บรรยากาศดีจัง
ตึกรามบ้านช่องเค้าสวยดีครับ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาพิจารณาเท่าไหร่ (รีบเดินเพราะหิว) แต่แล้วนับว่าสวรรค์ยังเมตตาพวกเรา ยังมีร้านอาหารแบบรถเข็นอยู่ 4-5 ร้านยังไม่ปิด (เย้..รอดตายโว้ย) เรารีบนั่งแล้วแยกย้ายกันสำรวจของกิน
แต่หลังจากสำรวจถ้วนทั่วแล้ว อาหารรถเข็นเกือบทุกอย่าง อย่างต่ำ 5 เหรียญ ซึ่งเท่ากับร้อยกว่าบาท (โอ้..มายก๊อด) แต่ก็ยังมีอาหารถูกที่สุด 3 เหรียญ หรือประมาณ 75 บาททายสิครับว่าอะไร
ติ๊กต๊อกๆ เฉลยล่ะ บะหมี่-เกี๊ยวครับ สรุปทุกคนเลยพร้อมใจกันกิน บะหมี่-เกี๊ยว (โอ้ว...เกิดมาเพิ่งเคยกินบะหมี่-เกี๊ยวรถเข็น 75 บาท) ยกเว้นเพื่อนอินโดฯ มันกินยากิโซบะ ซึ่งราคานี้ก็คงธรรมดาสำหรับมัน แต่ขอบอกไม่รู้ว่าเป็นทุกร้านรึเปล่า บะหมี่-เกี๊ยว โคตรจืด (ชายสี่หมีเกี๊ยวของไทยอร่อยกว่าเยอะ) แถมเครื่องปรุงไม่มีพริก น้ำตาลให้ มีแต่น้ำซีอิ๊วจืดๆ ให้อย่างเดียว แต่อารมณ์นี่ไม่มีใครบ่นแล้วครับโซ้ยลูกเดียว
กินบะหมี่-เกี๊ยว แต่ถ่ายรูปร้านขนมข้างๆ มาแทน อุอุ
พออิ่มท้องรอดตายเราก็เรียกแท็กซี่กลับที่พักแบบหมดแรง พอไปถึงที่พัก ต่างคนต่างพร้อมใจนั่งนวดขาตัวเองได้ซักพักก็แยกย้ายกันอาบน้ำนอนแบบไม่มีอิดออดเพื่อเตรียมตัวตื่นเช้าลุยเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้...
...