Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
7 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 





บันทึกมั่วโลก--เหยียบโลกก้าวแรกแบบปวดน่องที่ 'สิงคโปร์' ครับ (captainฯ go inter) episode2


explose date:
22/OCT/05


ความเดิม ตอนที่แล้ว กั๊บ...


หลังจากที่เดินกันพอได้ปาดเหงื่อเพราะอากาศอบอ้าวมากๆ แต่พวกเราก็มาถึง Merlion กันจนได้ คนที่มาดู Merlion เยอะพอสมควรครับ คนไทยเพียบเช่นเคย

เล่าเกร็ดนิดนึง แต่ฟังหูไว้หูนะครับ เพราะผมก็ฟังเค้ามาอีกที (อาจมีมั่วกันบ้างตามปกติ แหะ แหะ) Merlion ที่สิงคโปร์จะมีหลักๆ อยู่ 3 ตัวคือที่นี่ 2 ตัว เค้าบอกว่าเป็นตัวแม่ กับตัวลูก ส่วนตัวพ่อ อยู่ที่เกาะ Sentosa ซึ่งตามแพลนเราจะไปดูกันพรุ่งนี้

แต่เดิมเนี่ยจะมีแค่ Merlion ตัวพ่อ กับแม่ ยังไม่มีตัวลูก โดย Merlion ตัวพ่อมีหน้าที่อวยพรให้ชาวสิงคโปร์(สมัยก่อน)ที่ล่องเรือไปค้าขายต่างประเทศเดินทางปลอดภัย ส่วน Merlion ตัวแม่มีหน้าที่เรียกดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยว มาลงทุนในสิงคโปร์ พูดง่ายๆ คือเอาเงินมาให้นั่นเอง (คงประมาณนางกวัก แต่ก็ได้ผลตามวัตถุประสงค์จริงๆ นะเนี่ย)

คราวนี้ไอ้เจ้า Merlion ตัวพ่อก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ตัวแม่นี่สิ แต่เดิมไม่ได้อยู่ตรงนี้ครับ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปหลังสะพานที่ใช้เดินมาที่นี่ ซึ่งแต่ก่อนเกาะสิงคโปร์มีพื้นที่แค่ตรงนั้น แต่ต่อมามีการถมดินขยายเกาะ สร้างสะพาน ทำให้ไปบดบัง Merlion ตัวแม่ จึงได้ทำการเคลื่อนย้ายมาไว้ตรงจุดปัจจุบัน แต่ก็เกิดปัญหาถกเถียงกันว่าจะให้หันหน้าไปทางไหนดี (กลัวเรียกแขกไม่ได้ว่างั้น) เถียงกันไปเถียงกันมา เลยสรุปหันหน้าอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี่แหล่ะครับ แล้วสร้าง Merlion ตัวลูกหันหน้าไปฝั่งตรงข้ามเรียกแขกอีกด้านซะเลย แต่เท่านั้นยังไม่พอ เดี๋ยวไม่ถูกใจพระเดชพระคุณครบทุกท่าน พี่แกเลยสร้าง Merlion ตัวเล็กๆ ทั้งหมด 12 ตัว หันมันทุกทิศทางเลย แล้วฝังไว้ใต้ฐาน Merlion ตัวแม่อีกที (ขนาดนั้น)


Merlion ตัวลูก หันหน้าในทิศตรงข้ามกับตัวแม่




Merlion ตัวแม่ครับ



ก็ฟังกันเล่นๆ นะครับ ฟังหูไว้สองหูเพราะข้อมูลนี้ผมฟังเค้ามาอีกที ไม่คอนเฟิร์มครับ แต่ที่พอจะคอนเฟิร์มได้ก็คือ ถ้าจะซื้อของที่ระลึก อย่าซื้อที่เป็นแผงลอยอยู่ตรงรูปปั้นนะครับ เดินไปอีกหน่อย แถวๆ สะพานจะมีคล้ายๆ ศูนย์ขายของที่ระลึกครับ ถูกกว่า ของเยอะกว่า แถมมีแอร์ให้เดินตากเล่นๆ ด้วยนะเออ อุอุ




อีกมุมนึงของ Merlion ตัวแม่ พ่นน้ำแรงดีเน๊าะ



หลังจากที่ถ่ายรูปจนหนำใจ แต่ซื้อของฝากอย่างเหนียมจิตแล้ว เพื่อนอินโดฯ กล้ามโตของเราก็เสนอความคิดให้ไปกินซีฟู้ดที่ Boat Quay (เห็นเค้าอ่านว่า โบ๊ต-คเว แต่เพื่อไม่เป็นการเสี่ยงต่อการออกเสียงและฟังเพี้ยน ซึ่งเป็นไปได้สูงมากอย่าไปเรียกชื่อมันเลยครับ) ซึ่งเป็นแหล่งร้านอาหารซีฟู้ดริมท่าน้ำ อยู่ใกล้ๆ กันกับ Merlion นี่แหล่ะ มองไปก็เห็น แต่สาวๆ ดันบอกว่ายังไม่หิว (ขัดลาภปากซะจริงจริ๊ง) พวกเราผู้ชายก็เลย(จำใจ)ต้องเปลี่ยนแผนไปดูการแสดงน้ำพุเต้นระบำ The Fountain of Wealth ที่ Suntec City Mall แทน


ที่เห็นลิบๆ นั่นคือแสงไฟระยิบระยับของร้านรวงใน Boat Quay ครับ


แล้วเราก็ต้องเดินไปนั่งรถไฟใต้ดินอีกเช่นเดิม แต่ระหว่างทางที่เดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน เราต้องเดินผ่าน Boat Quay ด้วย โอ้โห..แบบว่าบรรยากาศดูดี น่านั่งกินมากๆ ตั้งใจไว้เลยถ้ามีโอกาสได้มาสิงคโปร์อีกต้องมานั่งกินอาหารชมวิวที่นี่ให้ได้ ฮือๆ

และแล้วหลังจากนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งเช่นเคยจำไม่ได้ว่ากี่สถานี ลงที่ไหน สถานีอะไรเราก็มาถึงอาคาร Suntec City Mall ซึ่งเป็นที่ตั้งของลานแสดงน้ำพุ The Fountain of Wealth ครับ




บ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟ ใน Suntec City ระหว่างทางเดินไปดูน้ำพุครับ


เราก็เดินลัดเลาะไปในตึก(ไกลพอควร) พอไปถึงลานแสดงเอาก็ตอนสามทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่าเค้าหมดรอบการแสดงไปแหล่ว -_-" แบบว่าเซ็งโคตรๆ แต่ก็ยังเห็นคนต่อแถวยาวเหยียดทำอะไรไม่รู้ เข้าไปดูใกล้ๆ ก็ปรากฏว่าเค้ายืนรอคิวเข้าไปเดินวนรอบน้ำพุกัน เห็นเค้าเขียนแปะไว้ว่าใครที่เดินเอามือขวาแตะน้ำพุ The Fountain of Wealth วนรอบครบ 3 รอบจะโชคดีและสุขภาพดี

ไอ้พวกผมก็เฉยๆ ครับ ไม่ได้เชื่ออะไร (แหมก็พี่น่ะ น้ำพุสร้างขึ้นชัดๆ เลยครับเพ่) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ อุตส่าห์นั่งรถไฟและเดินมาตั้งไกลแล้ว ก็เลยไปต่อคิวแตะน้ำพุกะเค้าซะหน่อย ดีกว่าเสียเที่ยวเปล่า




อย่าเข้าใจผิดว่าทำพิธีกรรมลึกลับ หรือกำลังติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวนะครับ




ที่จริงมันคือกลุ่มคนที่กำลังเดินวนรอบน้ำพุนั่นเอง



หลังจากแตะน้ำพุให้มือเหนียวเล่นแล้ว น้องสาวเจ้าความคิดก็บอกว่าจะไปชมแสงสีพร้อมกินอาหารอินเดียแบบใช้มือเปิบที่ Little India ซึ่งเป็นย่านที่คนอินเดียอยู่กันเยอะในสิงคโปร์ ประมาณว่าจะโรแมนติคอีกแล้วว เจ้าเพื่อนอินโดฯ มันบอกไม่อยากไปเพราะอันตราย ขโมยเยอะ และไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ไฉนชายอย่างเราๆ จะไปสู้(มารยา)หญิงได้ ก็เลยตกลงไปกัน แต่ด้วยความเมื่อยขา(อย่างแรง) เราเลยพากันเดินไปเข้าคิวเรียกแท็กซี่ที่หน้าตึก

แต่มีเรื่องให้ชื่นชมครับ ก็คงเป็นเหมือนกันทั่วโลกที่เวลาคนเค้าต่อแถวเข้าคิวเรียกแท็กซี่ยาวๆ กัน มันมักจะมีพวกมักง่ายไม่ยอมเข้าคิวแต่จะเดินไปดักเรียกแท็กซี่ที่หน้าทางเข้าตัดหน้าแทน คราวนี้ก็มีครับ คงเป็นพวกคนจีนเดินออกจากตึกมาพวกพี่แกก็ล้งเล้งมามองๆ ที่แถว แล้วเดินไปดักเรียกรถตรงทางเข้า เวลารถแท็กซี่มาถึงมีคนลง พี่แกก็เข้าไปถาม แต่ก็ไม่มีแท็กซี่คันไหนรับขึ้นครับ ชี้ให้มาต่อที่แถวแทน โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยบอกแต่อย่างใด ทำให้สะใจพวกผมมากๆ เป็นแท็กซี่ไทยคงรับไปแล้ว

เอ่อ..นอกเรื่องไปหน่อย ในที่สุดเราก็เรียกแท็กซี่มาถึง Little India ซึ่งโชคดีอยู่อย่างตอนที่เรามานั้นเป็นเทศกาลอะไรซักอย่างของ Little India อยู่พอดี ทำให้มีการประดับประดาไฟตามท้องถนน เห็นเค้าว่ามีปีละครั้ง




บรรยากาศของ Little India




ร้านอาหารอินเดียครับ คนกินเยอะมากๆ



ร้านรวงส่วนใหญ่ของ Little India ก็จะขายพวกเครื่องประดับ ทอง กับผ้าส่าหรีครับ แรกๆ สาวๆ ก็ดี๊ด๊าๆ อยากเดินช๊อปผ้าสาหรี แต่พอเจอคนแขกหน้าตาโหดๆ ก็เริ่มออกอาการหวั่นๆ

และแล้วหลังจากมองไปมองมาว่าจะเดินที่ไหนก่อน ก็เลยตัดสินใจเลือกเดินเข้าตลาดแผงลอยกันดูก่อน เดินเข้าไปหน่อยเดียวดั๊นไปเจอแก็งค์เด็กแขกเล่นปาประทัดใส่กัน บวกกับกลิ่นเครื่องเทศที่รุนแรงมาก สาวๆ เลยต้องยอมบายโดยดี เดินตลาดแผงลอยได้หนึ่งรอบ เลยตัดสินใจเปลี่ยนใจไปหาข้าวกินที่ย่าน China Town แทน ทำให้เราต้องแบกท้องที่ร้องจ๊อกๆ ขึ้นรถไฟใต้ดินอีกแล้ว




บรรยากาศ China Town ครับ




ร้านรวงปิดเกือบหมดแล้ว



และแล้วเรามาถึงย่าน China Town เอาซะเกือบเที่ยงคืน ด้วยอารมณ์ที่ทั้งหิวและเหนื่อย แต่ปรากฏว่าร้านต่างๆ ปิดไปเกือบหมดแล้ว ทำให้บังเกิดความเซ็งจิตเล็กๆ แต่ก็ยังมีความหวังว่าคงยังร้านที่ยังไม่ปิดอยู่บ้าง เราจึงต้องก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อุอุ




ตึกเค้าสวยดีครับ เก่าๆ ได้บรรยากาศดีจัง



ตึกรามบ้านช่องเค้าสวยดีครับ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาพิจารณาเท่าไหร่ (รีบเดินเพราะหิว) แต่แล้วนับว่าสวรรค์ยังเมตตาพวกเรา ยังมีร้านอาหารแบบรถเข็นอยู่ 4-5 ร้านยังไม่ปิด (เย้..รอดตายโว้ย) เรารีบนั่งแล้วแยกย้ายกันสำรวจของกิน

แต่หลังจากสำรวจถ้วนทั่วแล้ว อาหารรถเข็นเกือบทุกอย่าง อย่างต่ำ 5 เหรียญ ซึ่งเท่ากับร้อยกว่าบาท (โอ้..มายก๊อด) แต่ก็ยังมีอาหารถูกที่สุด 3 เหรียญ หรือประมาณ 75 บาททายสิครับว่าอะไร

ติ๊กต๊อกๆ เฉลยล่ะ บะหมี่-เกี๊ยวครับ สรุปทุกคนเลยพร้อมใจกันกิน บะหมี่-เกี๊ยว (โอ้ว...เกิดมาเพิ่งเคยกินบะหมี่-เกี๊ยวรถเข็น 75 บาท) ยกเว้นเพื่อนอินโดฯ มันกินยากิโซบะ ซึ่งราคานี้ก็คงธรรมดาสำหรับมัน แต่ขอบอกไม่รู้ว่าเป็นทุกร้านรึเปล่า บะหมี่-เกี๊ยว โคตรจืด (ชายสี่หมีเกี๊ยวของไทยอร่อยกว่าเยอะ) แถมเครื่องปรุงไม่มีพริก น้ำตาลให้ มีแต่น้ำซีอิ๊วจืดๆ ให้อย่างเดียว แต่อารมณ์นี่ไม่มีใครบ่นแล้วครับโซ้ยลูกเดียว




กินบะหมี่-เกี๊ยว แต่ถ่ายรูปร้านขนมข้างๆ มาแทน อุอุ


พออิ่มท้องรอดตายเราก็เรียกแท็กซี่กลับที่พักแบบหมดแรง พอไปถึงที่พัก ต่างคนต่างพร้อมใจนั่งนวดขาตัวเองได้ซักพักก็แยกย้ายกันอาบน้ำนอนแบบไม่มีอิดออดเพื่อเตรียมตัวตื่นเช้าลุยเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้...





...เฮ้อ..เวรกรรมเล่ามาตั้งยืดยาวเพิ่งหมดวันแรก ไม่เป็นไร สู้โว้ย ยังไงก็ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้าแวะมาอ่านนะครับ : )





















Create Date : 07 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2548 10:35:32 น. 12 comments
Counter : 2727 Pageviews.

 
ไปอธิษฐานรักหน้า Merlion ป่าวคะ



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:6:51:10 น.  

 
น่าสนุกนะคะ

มีทริปอื่นๆที่ยังไม่ได้อ่านด้วย

ขอนั่งอ่านก่อนนะคะ :)


โดย: khim (ขิม เมธาวี ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:20:48 น.  

 
เอ๋า..ตายล่ะ Merlion เค้าให้อธิษฐานรักได้เหรอครับคุณโบว์ ตายๆ พลาดอย่างแรง สงสัยผมต้องไปใหม่แล้วละครับ (เพื่ออธิษฐานรักโดยเฉพาะ อิอิ)


โดย: captainfakenature วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:30:59 น.  

 
สวัสดีครับคุณขิม เมธาวี เดี๋ยวผมปูเสื่อ เอาหมอนให้นะครับ จะได้เอนหลังอ่านสบายๆ


โดย: captainfakenature วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:34:06 น.  

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนนะค่ะ ... ต่อจากทริปที่แล้ว อ่านเรื่องแท็กซี่แล้วสะใจดีเหมือนกันค่ะ คนพวกนี้นะไม่ว่าจะที่ไหนใดๆ ในโลกมีเหมือนกันโม้ดดด ถ้ามีแบบพวกแท็กซี่ที่สิงค์โปร์นะค่ะนิดว่าจะเลิศมาก เพราะคนที่อยู่กฏในเกณฑ์จะได้ช่วยกันกระทุ้งพวกเห็นแก่ตัว ไม่มีวินัยเอาไว้บ้าง สะใจดีแท้ๆ นะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:59:02 น.  

 
ตายแล้วววววว
นี่เพิ่งหมดวันแรกเหรอ

วันหลังทำเป็นพงศาวดารดีกว่าพี่กัปตัน
จะได้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วย

ปล.เข้ามาขอของฝาก


โดย: THE BEGINNING วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:10:36 น.  

 
อ้าว เขาให้ไปอธิษฐานรักกันหน้า Merlion เหรอครับ พลาดไปแล้วเรา
เที่ยวสิงคโปร์ผมว่ารถไฟใต้ดินกับเดินนี่แหล่ะประหยัดสุดๆ แท็กซี่แพงเนอะ ชาร์จเพิ่มตอนกลางคืนอีก


โดย: T_Ang วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:56:37 น.  

 
อ่า..เพิ่งมีเวลามาตอบ แหะ แหะ ซะหน่อยๆ

สวัสดีคุณนิดครับ เรื่องแท็กซี่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยคร้าบ ที่เมืองไทยเวลาต่อคิวยาวๆ แล้วมีพวกบ้าๆ มาจากไหนไม่รู้ อยู่ดีๆ เดินมา แล้วตัดหน้าเรียกแท็กซี่ไปได้เนี่ย มันจี๊ดจริงๆเน๊าะครับ

อ่า..คุณน้องเบลล์ครับ ทุกทีมีแต่จิกกัด ใช้วาจาเชือดเฉือนทำร้ายจิตใจอันบอบบางของพี่ ยังจะมาขอของฝากอีกเร๊อะครับ อย่างเค้าเรียกว่าหน้า.............
..........สวยครับ อุอุ

จริงด้วยครับคุณ T_Ang แท็กซี่แพงจริงๆ ตามยามเดินมากๆ จนปวดขา ก็ทำให้จำใจจ่ายไหวนะ แหะแหะ อาศัยไปหลายคน แต่แท็กซี่ที่นี่ห้ามนั่งเกิน 3 คนด้วยเน๊าะ เคี่ยวชะมัด จะมั่วนิ่มนั่ง 5 คนซะหน่อยก็ไม่ได้


โดย: captainfakenature วันที่: 8 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:03:14 น.  

 
ตามพี่กัปตันไปเที่ยวค่ะอยากสิงคโปร์จังเลยค่ะ


โดย: yadegari วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:7:21:56 น.  

 
มาเลยครับน้องแบม ว่าแต่ว่าอยากสิงคโปร์นี่อยากอะไรอ่ะ


โดย: captainfakenature วันที่: 27 ธันวาคม 2548 เวลา:2:34:03 น.  

 
หิวตามเลยค่ะ ชอบยากิโซบะ

น่าไปจริงสิงค์โปร

ไปคนเดียวอันตรายหรือเปล่าค่ะ


โดย: อยู่ไกลบ้าน วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:11:27:33 น.  

 
หวา..เพิ่งเห็นครับ คุณ อยู่ไกลบ้าน

อันตรายน่ะคงไม่หรอกครับ แต่ไปไหนมาไหนอาจจะลำบากหน่อยนึงนะ มันออกจะงงๆ เอ..หรือผมงงอยู่คนเดียว


โดย: captainfakenature วันที่: 10 เมษายน 2549 เวลา:3:29:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

deadromeo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





สวัสดีครับ ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมนะครับ ไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไง เอาเป็นว่าค่อยๆรู้จักกันไปที่ละนิดๆละกันนะครับ--





Google





หาทุกซอกทุกมุมในพันทิปก็มีมั้ง



Friends' blogs
[Add deadromeo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.