ถ้าจำไม่ผิดผมซื้อเจ้าสมุดดีดเล่มเล็กๆ เล่มนี้จากบูธในงานเทศกาล '100 ปี ภาพยนตร์ในประเทศไทย' เมื่อปี 2540 (วู้ววว...เกือบสิบปีแล้วเร๊อะเนี่ย) เจ้าสมุดดีดเล่มนี้จัดทำโดย 'มูลนิธิหนังไทย' เป็นการภาพจากส่วนหนึ่งของหนังไทย ที่สร้างโดยฝีมือคนไทยล้วนๆ ที่มีเรื่องราว และออกฉายในเชิงพาณิชย์ (ก็เก็บสตางค์นั่นแหล่ะ) เรื่องแรกของคนไทย เรื่อง 'โชคสองชั้น' ครับ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมเลยหาข้อมูลประวัติความเป็นมาของหนังไทยมาฝากซักเล็กน้อยก่อนครับ อ่านกันเล่นหนุกๆ สำหรับคนที่ยังไม่ทราบครับ (ใครรู้แล้วหรือขี้เกียจอ่าน ก็ข้ามๆ ไปละกันเน้อ)
ประวัติความเป็นมาของภาพยนตร์ในประเทศไทย หนังเรื่อง 'โชคสองชั้น' นี้จะนับเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างและแสดงโดยฝีมือคนไทยล้วนๆ ครับ แต่หนังไทยเรื่องแรกเลย ที่จริงแล้วคือเรื่อง 'นางสาวสุวรรณ' ซึ่งสร้างโดยฝรั่งชื่อ 'อเล็กซานเดอร์ แม็กเร' นักสร้างหนังชาวอเมริกันจากฮอลลีวู้ดครับ ออกฉายครั้งแรกในประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ.2466 สมัยรัชกาลที่ 6 (ตอนนั้นน่าจะยังเป็นประเทศสยามอยู่นะ ยังไม่เป็นประเทศไทย) หนังเรื่อง 'นางสาวสุวรรณ' เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวในสมัยนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนสภาพบ้านเมือง วัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวชายทะเล ทรัพยากรป่าไม้ในภาคเหนืออีกด้วย และต่อมา พ.ศ. 2468 ก็มีอีกเรื่องเป็นฝีมือฝาหรั่งอีกเช่นกัน ได้มีคณะถ่ายทำภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดอีกคณะหนึ่งเดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยเรื่อง 'ช้าง' อันนี้เค้าไม่ไม่ได้เล่าเนื้อเรื่อง แต่ผมก็เดาๆ ด้วยความฉลาดว่าเรื่องก็คงเกี่ยวกับช้างน่ะแหล่ะ แหะ แหะ และแล้วก็มาถึงคราวคนไทยบ้าง ในรัชกาลที่ 7 สภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มตกต่ำ เงินในท้องพระคลังเหลือน้อยลงทุกที ก็ได้มีการพยายามแก้ปัญหาโดยให้ข้าราชการออกจากงานเป็นจำนวนมาก ได้มีคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นอดีตข้าราชการโดนไล่ออก กำลังเตรียมการจะสร้างหนังเรื่องที่สร้าง และแสดงโดยฝีมือคนไทยขึ้นเองเป็นครั้งแรก ในนาม 'บริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย' โดยมี หลวงสุนทรอัศวราช (จำรัส สรวิสูตร) เป็นหัวหน้าคณะ ประกอบด้วยเพื่อนร่วมงาน คือ พันโทหลวงสารานุประพันธ์ (ขาว ปาจิณพยัคฆ์) พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (อำนวย โรจนานนท์) นายพลพันหุ้มแพร (ไกลวัลย์ จันทนบุพผา) โดยกลุ่มคนทั้งหมดนี้ประกาศจะสร้างหนังเรื่องแรกที่เป็นฝีมือของคนไทยเรื่องแรกออกมา แต่แล้ว 'บริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย' ก็ถูกตัดหน้าซะก่อน (เสียฟอร์ม) โดยผู้สร้างหนังอีกรายหนึ่ง คือ กลุ่มพี่น้องสกุลวสุวัต กับพรรคพวกในคณะหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์และศรีกรุง ได้จัดตั้งเป็นคณะสร้างหนังเรื่องแสดงขึ้นบ้าง ในนาม 'กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท' โดยประกาศสร้างหนังเรื่อง 'โชคสองชั้น' และสามารถสร้างสำเร็จนำออกฉายได้ก่อนบริษัทแรก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2470 ณ โรงภาพยนตร์พัฒนากร 'โชคสองชั้น' ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทดำเนินเรื่องเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทยทั้งหมด โดย นายมานิต วสุวัต เป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ประดิษฐ์ศิลป์ (คงประมาณกำกับศิลป์ตอนนี้ละเน๊าะ แหม..เรียกซะเพราะเชียว..ผู้ประดิษฐ์ศิลป์) หลวงบุณยมานพพานิช (นักประพันธ์ผู้มีนามปากกาว่า 'แสงทอง' นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้น) ทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ หลวงกลการเจนจิต ทำหน้าที่ถ่ายภาพ นายกระเศียร รับหน้าที่ตัดต่อ และ หลวงอนุรักษ์รัถการ ข้าราชการแห่งกรมรถไฟหลวง ทำหน้าที่กำกับการแสดง เหตุที่ 'กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท' สามารถสร้างภาพยนตร์ได้สำเร็จก่อน เพราะมีความพร้อมมากกว่า น้องชายของนายมานิตสองคน หลวงกลการเจนจิตกับนายกระเศียร ก็เคยทำงานประจำในกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวของกรมรถไฟหลวง โดยหลวงกลการเจนจิต ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างถ่ายและภาพยนตร์ และกลุ่มของนายมานิต วสุวัต ได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์ เชิงข่าวสารคดีมาเรื่อยๆ เช่น ภาพยนตร์บันทึกการแสดงยุทธกีฬาทหารบก ภาพยนตร์สารคดีนำเที่ยวนำชมน้ำตกไทรโยค พอได้มาทำหนังใหญ่ที่มีเรื่องราวจึงสามารถทำได้สำเร็จก่อน (สรุป...เก๋ากว่าว่างั้น)
ภาพยนตร์เรื่อง 'โชคสองชั้น' 'โชคสองชั้น' เป็นหนังเงียบ 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ มีความยาวฟิล์มทั้งหมด 9 ม้วน ออกฉายครั้งแรกเมื่อ วันที่ 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2470 หรือในรัชสมัยรัชกาลที่ 7 ณ โรงภาพยนตร์พัฒนากร 'โชคสองชั้น' ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ไทยที่มีการดำเนินเรื่อง และฉายเพื่อการค้าเรื่องแรก ที่สร้างโดยคนไทยทั้งหมด ซึ่งสร้างโดย 'กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท'
ทีมงาน นายมานิต วสุวัต อำนวยการสร้างและประดิษฐ์ศิลป์ หลวงบุณยมานพพานิช บทภาพยนตร์ หลวงกลการเจนจิต ถ่ายภาพ นายกระเศียร ตัดต่อ หลวงอนุรักษ์รัถการ กำกับการแสดง
นักแสดง
มานพ ประภารักษ์ แสดงเป็น กมล ม.ล. สุดจิตร์ อิศรางกูร แสดงเป็น วลี หลวงภรตกรรมโกศล แสดงเป็น วิง เนื่อเรื่องย่อ เรื่องราวของ 'โชคสองชั้น' เป็นเรื่องราวของ กมล นายอำเภอหนุ่มที่ได้รับมอบหมายให้มาจับโจรร้ายที่หลบหนีมาซ่อนตัวในกรุงเทพฯ ในระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ กมล ก็ได้มาพักที่บ้านของพระยาคนหนึ่ง และแล้วพระเอกของเราก็ไปพบรักกับ วลี นางเอกสาวที่มีหนุ่มหมายปองอยู่แล้ว และหนุ่มที่ว่านี้ชื่อ วิง และนายวิงนี่เองก็คือก็คือคนร้ายที่พระเอกตามหาอยู่ ต่อมานายวิงรู้ว่ากมลจะมาจับตนจึงวางแผนกำจัดซะ แต่พระเอกของเราก็ไหวทัน (ตามฟอร์ม) จึงต่อสู้กัน ระหว่างนั้นคนร้ายฉุดนางเอกขึ้นรถหนีไป กมลจึงขึ้นรถไล่กวดกัน กระทั่งต่อสู้กันและพระเอกก็ชนะในที่สุด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่อง 'โชคสองชั้น' คือพระเอกได้โชคสองชั้นมันสองเด้งทั้งจับคนร้ายได้และได้พบรักกับนางเอกอีกด้วย...และแล้วเรื่องก็เอวัง จบลงด้วยประการฉะนี้แล
สมุดดีด 'โชคสองชั้น' ฟิล์มภาพยนตร์ของหนังเรื่อง 'โชคสองชั้น' ได้ปะปนอยู่กับฟิล์มหนังของกรมรถไฟหลวง ซึ่งหอภาพยนตร์แห่งชาติได้ค้นพบ และอนุรักษ์โดยการชำระพิมพ์สำเนาใหม่เอาไว้ได้เพียง 42 ฟุต คิดเป็นภาพนิ่งได้ทั้งหมด 1,319 ภาพ กินเวลาฉายประมาณ 1 นาที แต่ก็เป็น 1 นาที ที่มีคุณค่า เพราะทำให้เห็นถึงศักยภาพการทำหนังไทยในยุคแรกเริ่ม ได้เห็นลีลาการแสดง การตัดต่อ เทคนิคการสร้าง ฯลฯ ของคนในสมัยนั้น ซึ่งจาก 1,319 ภาพ นั้น มูลนิธิหนังไทยก็ได้คัดมาทำสมุดดีดเล่นนี้ 36 ภาพ เป็นฉากที่ วลี นางเอกของเราโดนนายวิงผู้ร้ายฉุดขึ้นรถ (เหมือนๆ จะโดนจุ๊บด้วย...เลิฟซีนเล็กๆ อิอิ) ส่วน กมล พระเอกของเราก็ยงโย่ยงหยกอยู่บนรถอีกคันตามมาติดๆ ตอนแรกผมก็คิดไม่ตกว่าจะเอาสมุดดีดเล่มนี้มาให้เพื่อนๆ ดูยังไงดี จะเอารูป 36 รูปมาแปะให้ดูก็ใช่ที่ ไม่ได้อารมณ์สมุดดีด สุดท้ายเลยเอา 36 ภาพมาต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหวซะเลย เมื่อต่อกันแล้วเลยได้คลิปซึ่งมีความยาวมากกกกกกก ถึงประมาณ 4 วินาที -_-" เพราะฉนั้นอย่ากะพริบตานะครับ เพราะมันจะจบก่อนท่านกะพริบตาเสร็จซะอีก แหะๆ (ล้อเล่นน่ะ...ผมแก้ปัญหาโดยให้มันเล่นวนซะเลย) ส่วนใครดูแล้วขัดใจ อยากเห็นของจริง ดูเต็มๆ 1 นาที ก็คงต้องไปดูที่หอภาพยนตร์แห่งชาติก็แล้วกันนะครับ...
happy monday ครับผม