คนเราทุกคน เกิดมาแล้ว ล้วนหนีไม่พ้นกฏธรรมชาติไปได้ คือ เกิด แก เจ็บ และตาย ดู ๆ แล้วคนส่วนใหญ่จะลืมว่า ความตายต้องมาจ๊ะเอ๋กับเราเข้าสักวัน แต่น้อยคนที่จะตระหนักความจริงข้อที่แสนจริงข้อนี้
ทั้ง ๆ ที่ไปงานศพกันโครม ๆ ถ้าเป็นงานศพคนที่ไม่ค่อยรู้จักนัก งานนั้นกลับกลายเป็นงานรวมรุ่นคุยเฮฮา บางที่เมาท์แตกมันส์สุด ๆ จนลืมสำรวม ปล่อยก๊าก ออกกลางงาน จนญาติคนตายหันมา เขวี้ยงค้อนใส่หัวหลายโป๊ก ยังไม่ยอมจะรู้สึก
เรื่องเกี่ยวกับความตาย หรือวินาทีที่จะตาย มีความเชื่อที่ได้ยินกันบ่อยคือ หนึ่ง จะมีคนมารับ สอง สามารถต่อรองกับคนที่มารับได้ เช่น ยังจ่ายหนี้ไม่หมด รออีกสองวัน ลูกหาเงินมาจ่ายหนี้ ถึงตอนนั้นก็พร้อมจะเท่งทึง
เรื่องการต่อรองเวลาตาย ได้ยินบ่อย และเป็นเหตุการณ์ที่ประสพกับญาติของตัวเอง
เมื่อก่อนฉันเกิด คุณย่าป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดรุนแรง การแพทย์สมัยก่อนก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ คุณพ่อซึ่งเป็นวัยรุ่น ก็ไม่มีความรู้เรื่องแพทย์ รู้อยู่อย่างเดียวว่า แม่ชอบทานขนมหวาน ก็หามาเอาใจ คุณย่าก็ชอบทานอยู่แล้ว เลยล่อเสียเกลี้ยงด้วยความปลื้มใจ
วันนั้น เป็นวันเกิดคุณพ่อ คุณย่าเพียบหนัก แต่ด้วยความรักลูก ก็ยังกล่าวอวยพรลูกรัก และบอกให้ลูกไปฉลองให้สนุกสมวัยของลูก พอพ่อกลับมาบ้าน ก็พบว่าคุณย่าสิ้นแล้วในวันเกิดของตัวพ่อเอง คุณย่า ท่านคงกัดฟันอยู่รอวันนี้ วันเกิดของลูกรัก เพื่อให้พรลูก เมื่อหมดภาระ ท่านก็ลา
.
น้าอู๊ด เป็นน้าเขยของเพื่อนสนิท ท่านก็เป็นอย่างนี้เหมือนท่านเพียบหนักเพราะมะเร็งขั้นสุดท้าย สภาพของท่าน จากชายชาติตำรวจมาดแมน ด้วยเวลาอันรวดเร็ว รูปพรรณของท่านตอนนี้ คือ หนังหุ้มกระดูก เน้น หนังหุ้มกระดูก ฉันและเพื่อนสนทซ่อนใบหน้าที่แสดงความตกใจไว้ไม่ทันจริง ๆ ถึงกระนั้นท่านยังพยายามจะสนทนาด้วย
ก่อนวันที่ 5 พฤษภาคม ท่านบอกว่า ท่านเห็นคนจีนใส่ชุดจีนมาหาท่านสองสามคน ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ เป็นวันเกิดลูกสาวคนเล็ก อยากอยู่อวยพรลูกสาวก่อน ลูกสาวสวดมนต์ข้างหูพ่อตลอด เพื่อน้อมนำจิตพ่อ พอเช้าวันที่ 5 พค. หลังจากที่ลูกสาวกราบขอพร และน้าอู๊ดให้พรวันเกิดลูกเป็นครั้งสุดท้าย (ฉันสุดจะจินตนาการความรู้สึกเหล่านี้จริง ๆ) ช่วงบ่าย น้าอู๊ดก็ไปสวรรค์
เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า น้องสาวเธอเสียชีวิต ก่อนหน้านั้น คนป่วยนอนซม พูดไม่ได้ กินไม่ได้ แต่ก่อนจะสิ้นสักสองวันก็ลุกขึ้นมาร่าเริง อยากกินโน่นกินนี่ คุยเฮฮา ทุกคนดีใจ ยังไงน้องหายแล้ว เย้
สักพักน้องสาว ก็ชี้ไปที่ประตู แล้วบอกว่า อาแป๊ะกงมา อาแป๊ะกงมา ทุกคนไม่มีใครเห็น แป๊ะกงเป็นใคร ? ว่าแล้วเธอก็ทำท่ารับเสื้อผ้าจากคนที่ ไม่มีใครมาเห็นมาทำท่าสวมใส่เสื้อผ้า และพูดกับคนที่ไม่มีใครมองเห็น ชวนกินขนม พร้อมยื่นขนม ให้ The invisible People กินด้วยอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้น... จากที่เฮฮา กลายเป็นทรุดฮวบ แล้วก็
อีกรายหนึ่ง เล่าทางทีวีว่า คนป่วยใกล้ตายแต่ลุกขึ้นมาเฮฮา และบอกว่า เนื่ยมีคนมาสี่คน (ตอนนั้นเป็นช่วงเช้า) และบอกว่า พวกนี้จะกลับมาใหม่ตอนหกโมงเย็น ให้จัดเก้าอี้ไว้สี่ตัวด้วย ฉันจะต้องไปตอนหกโมงเย็นละนะ พยาบาลก็แสนดี กุลีกุจอจัดสถานที่ตามความประสงค์ และเมื่อเวลา หกโมงเย็นมาถึง ท่านนั้นก็จากไปอย่างสงบตามคำบอกของเจ้าตัวเอง
ส่วนใหญ่แล้ว เวลามีคนใกล้ตายพูดอะไร เราจะไม่ใส่ใจเพราะว่าคิดว่าเขาเพ้อเพราะพิษไข้
อ่านมาถึงตรงนี้ ประเด็นคงไม่ใช่เรื่องอะไรที่ลึกลับ แต่อยากจะยกประเด็นที่ว่า อย่าละเลยคำพูด คำขอของคนใกล้ตาย หากไม่เหลือวิสัย ก็ทำให้เขาเถอะ นึกถึงใจเขาใจเรา หากเราอยู่ในสภาพใกล้ตาย ไปเห็นหรือรู้อะไร แล้วขอให้ญาติช่วยจัดการให้หน่อย แต่ญาติเฉยเมย ต่อคำขอครั้งสุดท้าย คนที่กำลังจะจากไป จะรู้สึกน้อยใจเพียงไร เขาคงจากไปอย่างไม่สงบและเต็มไปด้วยความกังวล จริง ๆ แล้ว หากเราเจอสถานการณ์เช่นนี้ ทำอะไรให้เหล่าเขาได้ก็ทำเถอะ ถึงแม้คำขอร้องของพวกเขาจะดูทะแม่ง ๆ ชอบกลอยู่ แต่ไหน ๆ มันเป็นการขอครั้งสุดท้าย !!!!
ไม่ให้ตอนนี้ แล้วจะให้ตอนไหน
© : โสมรัศมี |