ถ้าคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่ากำลังแข่งพายเรือกับนักการเมือง, ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ความจริง ถ้าคนร่างรัฐธรรมนูญมองไม่ตรงกับนักการเมืองก็ควร จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ถ้าคนเขียนกติกากับคนทำตามกติกาเ ห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย, นั่นซิน่ากลัวกว่า การเขียนกติกาของบ้านเมืองโดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง ควรจะเป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องวางกรอบไว้ให้แน่ใจว่าการเมือง ต่อจากนี้ไปต้องตรวจสอบได้ ต้องลงโทษนักการเมืองฉ้อฉลได้ และหากใครเห็นว่าไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ที่ผ่านความเห็นชอบของ ประชาชนแล้ว, ก็ไม่ควรจะเข้ามาเล่นการเมือง คณะกรรมาธิการยกร่างฯก็เป็นเพียงคน ยกร่าง เท่านั้น ต้องผ่านกระบวนการที่สะท้อนความเห็นชอบของประชาชนก่อน จึงจะถือว่าเป็นกติกาของบ้านเมืองได้ ในคำปาฐกถาพิเศษเรื่อง สานพลังเครือข่าย ภาคประชาสังคมในการมีส่วนร่วม และรับฟังความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ วันก่อน คุณบวรศักดิ์เปรียบเปรย ได้น่าสนใจ ใครจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ท่านบอกว่า กมธ. ยกร่างฯเปรียบเสมือนเป็นคนพายเรือ สปช. เป็นลูกเรือ เรือลำนี้กำลังแข่งกับนักการเมืองซึ่งเตรียมทีมแจวไว้อย่างดี เป็นการปรองดองครั้งแรกระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ในการถล่มร่างรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นความร่วมมือของ สปช. และทุกหน่วยงานมีความสำคัญมากในการช่วยกันจัดทำรัฐธรรมนูญ การทำกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายเพื่อ ทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเกิดความสำเร็จ... ความเห็นของนักการเมืองเป็นประเด็นที่คนร่างต้องรับฟัง แต่เพราะนักการเมืองเป็นคนกระโดดลงไปเล่นด้วย จึงไม่อาจจะถือว่าเป็นความเห็นที่ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นจึงต้องประเมินว่าความเห็นใดเป็นการกลั่นกรองจากประสบการณ์ เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และความเห็นใดเป็นเรื่องของการปกปักรักษาผล ประโยชน์ของคนมีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเลือกตั้งและการเมืองเอง สมาชิก กมธ. ยกร่างฯ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เอง ก็อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนอำพรางอยู่ การถกแถลงเพื่อหาสูตร ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศชาติอย่างแท้จริง จึงจะต้องทำอย่างกว้างขวาง, โปร่งใสและถ่วงดุลอำนาจของคนในสังคม ให้เหมาะสมโดยหยิบเอาบทเรียนในอดีตมาแก้ไข และยืนหยัดบนหลักการของ การสร้างระบอบประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับประเทศไทย ไม่ยอมให้ ศรีธนญชัย ครอบงำสังคมการเมือง และต้องให้มีการตรวจสอบผู้มีอำนาจในทุก ๆ ด้านโดยอำนาจของประชาชนเอง สมาชิก สปช. ก็เตรียมจะวิพากษ์วิจารณ์ร่างของ กมธฯ ยกร่างอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเด็น นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือระบบเลือกตั้งแบบเยอรมัน, หรือการเปิดทางให้ ส.ส. ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง อีกทั้งเรื่องการได้มาของสมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ล้วนแล้วแต่มีแง่มุมที่ละเอียดอ่อน และจำเป็นที่ประชาชนจะต้องได้รับทราบ ข้อดีข้อเสียอย่างกว้างขวางก่อนที่จะมีการตัดสินใจ ท้ายที่สุดการลงประชามติในประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ น่าจะเป็นการตอกย้ำความชอบธรรมของการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ เพราะหากเป็นเพียงการต่อสู้กันระหว่างกรรมการยกร่างฯ, สปช., สนช. และนักการเมืองกับนักวิชาการบางคนบางกลุ่มเท่านั้น, เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าปลายทางของการร่างกติกาใหม่นี้จะสะท้อนความต้องการ ของประชาชนที่แท้จริงหรือไม่อย่างไร การเดินทางของการร่างรัฐธรรมนูญจากนี้ไปตามคำบอกเล่าของคุณบวรศักดิ์ ก็คือ 26 พฤษภาคม ถึง 23 กรกฎาคมนี้ กมธ. ยกร่างฯเข้าสู่กระบวนการทบทวน เนื้อหาตั้งแต่มาตรา 1 ถึง มาตรา 315 โดยนำคำขอแก้ไขเพิ่มเติมจากทุกฝ่าย มาประกอบการพิจารณา จากนั้นส่งต่อให้ สปช. ลงมติภายในวันที่ 6 สิงหาคม ถ้า สปช. ลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ คุณบวรศักดิ์บอกว่า แฝดอินจัน คือ กมธ. ยกร่างและ สปช. ก็ตายไปด้วยกัน ถูกจับใส่หม้อถ่วงน้ำ เสียชื่อวงศ์ตระกูล ถ้า สปช. เห็นชอบ ประธาน สปช. ก็มีเวลาระหว่าง 7 สิงหาคมถึง 4 กันยายน ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ ครม. ดำเนินการตามขั้นตอน ขั้นตอนต่อจากนั้น ภายใน 60 วันต้องดำเนินการพิจารณากฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับคือ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองและ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง ทั้งหมดนี้ให้เสร็จใน 90 วัน หากกระบวนการนี้เป็นไปโดยไม่มีการทำประชามติ การเลือกตั้งก็น่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม 2559 แต่ถ้า ครม. ตัดสินใจทำประชามติ ก็บวกเวลาเพิ่มอีก 3 เดือน การเลือกตั้งก็คงเป็นช่วงเดือนมิถุนายน 2559 แต่นั่นยังไม่ได้ตกลงกันว่า ประชามติ จะตั้งคำถามประชาชนอะไรบ้าง หรือ ประชามติ ควรจะเป็นการตั้งคำถามที่กำลังถกแถลงกัน เพื่อให้การยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตาม ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง หรือไม่ ดังนั้น ที่ว่า กมธ.ยกร่างฯกำลังพายเรือแข่งกับนักการเมืองนั้น อาจไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ถูกต้องนัก ความจริงทั้ง กมธ.ม สปช. และ ครม. กับ คสช. จะต้องสำนึกในหน้าที่การร่วมกันสร้าง รัฐนาวา ลำใหม่ที่จะฝ่าคลื่นลมข้างหน้าอย่างเต็มที่มากกว่า แล้วอย่าลืมถามเจ้าของรัฐนาวาให้รอบด้านเสียก่อนในทุก ๆ ประเด็น ที่สำคัญต่อการเดินทางรอบใหม่เพื่อไม่ให้อับปางอีกรอบ! เพราะพายุข้างหน้าหนักหน่วงนัก และ แป๊ะ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเรือคนเดียว! .................................................................................................................................... |