|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
|
อ่านเรื่อง "ให้ถือว่าทุจริต ??" กันคะ
เตือนใจ เจริญพงษ์ วันนี้นำความคืบหน้าของกฎหมาย ป.ป.ช.มาฝากนะคะ ของ ท่าน รศ.ดร. กำชัย จงจักรพันธ์ อดีต คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อ่านกันนะคะ ................................................................................................. เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับให้ถือว่าทุจริต ?? ................................................................................................. คงไม่มีใครปฏิเสธว่า....... ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่ ที่มีความสำคัญ ร้ายแรงและเรื้อรังมาก ความพยายามในการจัดการกับปัญหานี้มีมาโดยตลอด เช่น ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะคือ สนง.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในวงราชการ หรือที่เรียกว่า ป.ป.ป. ตั้งแต่ปี 2518 จนกระทั่งมาเป็น............ ................................................................................................. สนง.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในปัจจุบัน แต่ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันก็มิได้ลดน้อยลงแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม ผลการศึกษา สำรวจ และ ประเมินของหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งในและระหว่างประเทศ ก็ยังจัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศในลำดับต้น ๆ ที่มีการทุจริตคอร์รัปชัน.................................... ................................................................................................. ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่โดยตรง ในการจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันดังกล่าว จึงได้วางมาตรการและดำเนินการต่าง ๆ หลายประการเพื่อรับมือกับปัญหานี้ และ หนึ่งในมาตรการนั้นก็คือ การเสนอแก้ไขกฎหมายของ ป.ป.ช. ซึ่งก็คือ.... ................................................................................................. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ................................................................................................. สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายของ ป.ป.ช. คือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ป.ป.ช. ปี 2542 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้มีการประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ................................................................................................. ประเด็นหนึ่งที่สำคัญในร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวคือ มาตรา 103/1 ซึ่ง บัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า ความผิดในหมวดนี้ ให้ถือว่าเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม แล้วแต่กรณี ................................................................................................. ความผิดในหมวดนี้............... ก็คือหมวด 9 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม มีบทบัญญัติอยู่เพียง 3 มาตรา กำหนดเกี่ยวกับ 2 เรื่อง คือ มาตรา 100-102 กำหนดความผิดเรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กับมาตรา มาตรา 103 กำหนดความผิดเรื่องรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ................................................................................................. มาตรา 100 บัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่ หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีรับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือ ลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการหรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่งให้ เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ................................................................................................. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ประกาศลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 กำหนดให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 100 และกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาประกาศกำหนดตำแหน่งอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก 55 ตำแหน่งให้อยู่ภายใต้มาตรา 100 ต่อไป ................................................................................................. มาตรา 103 บัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ................................................................................................. บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วยังไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโลม ................................................................................................. คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ออกประกาศลงวันที่ 30 พ.ย. 2543 กำหนดหลักเกณฑ์ให้เจ้าหน้าที่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดได้เฉพาะกรณีรับจากญาติ รับจากการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป และเป็นการรับตามโอกาสต่าง ๆ ได้ไม่เกินสามพันบาท ................................................................................................. มาตรา 100 คือการกำหนดฐานความผิดเรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม มาตรา 103 คือการกำหนดฐานความผิดเรื่องการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยให้เป็นความผิดอาญา และมีโทษจำคุก ซึ่งก่อนหน้านี้ มิได้เป็นความผิดอาญาเอกเทศมาก่อน .................................................................................................สาเหตุที่ต้องกำหนดให้การขัดกันของผลประโยชน์ และการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นความผิดอาญาฐานหนึ่งโดยเฉพาะ ก็เพราะการขัดกันของผลประโยชน์ก็ดี การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดก็ดี เป็นปัจจัยที่จะทำให้หรืออาจทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลยพินิจ หรือปฏิบัติหน้าที่ไปโดยเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม หรือทำให้เกิด อคติ ไม่เป็นกลางในการทำหน้าที่ได้ และยังเป็นการเอื้อ หรือเปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน หรือทำให้ส่วนรวมเสียหาย เสียประโยชน์ได้โดยง่าย ................................................................................................. โดยสภาพของความผิด 2 ฐานนี้มีความเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวโยง ใกล้ชิดกับการทุจริตคอร์รัปชันมาก อย่างไรก็ตามการที่บุคคลอยู่ในสถานการณ์การขัดกันของผลประโยชน์ก็ดี หรือการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดก็ดี ................................................................................................. ก็มิได้หมายความว่า บุคคลดังกล่าวนั้นได้กระทำการทุจริตคอร์รัปชันเสมอไป และ หากบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ทั้งสองนั้นได้ใช้โอกาสหรือสภาวะการณ์ดังกล่าวทุจริตคอร์รัปชัน แสวงประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเอง บุคคลนั้นก็จะต้องรับผิดฐานทุจริตคอร์รัปชัน หรือฐานรับสินบนตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ................................................................................................. มาตรา 103/1 กำลังถูกแก้ไขให้หนักขึ้น นอกจากเดิมที่กำหนดให้เป็นความผิดอาญาฐานหนึ่งโดยเฉพาะแล้ว ที่แก้ไขใหม่ ให้ถือว่าเป็นความผิดฐานทุจริต ... โปรดสังเกตว่าที่ต้องเขียนหรือบัญญัติไว้ให้ถือว่าเป็นการทุจริต ... ก็เพราะยอมรับว่า การขัดกันของผลประโยชน์ก็ดี การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ก็ดี ไม่ใช่ทุจริตโดยตัวของมันเอง ................................................................................................. การกำหนดให้การขัดกันของงผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมของผู้มีอำนาจหน้าที่ และการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เป็นความผิดอาญาและมีโทษโดยเฉพาะนั้น เป็นทิศทางในการป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่นานาอารยประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกเขาดำเนินการ ประเด็นนี้จึงพอเข้าใจและยอมรับได้ แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่าต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและประกาศป.ป.ช. ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ปล่อยให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำร้ายกัน ....ฯลฯ ................................................................................................. อนึ่ง........ สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 103/1 ที่กำลังจะเป็นกฎหมายในในอนาคตอันใกล้นี้ โดยให้ถือว่า การกระทำความผิดทั้ง 2 ฐานดังกล่าว ................................................................................................. ขอขอบพระคุณ ท่านกำชัยเป็นอย่างสูงคะ เห็นของดีมีค่าเลยนำมาฝากพวกพ้องกันคะ อ้าว!!นักกฎหมายคะ...... รู้จริง...รู้แจ้ง...เรื่องนี้แล้วหรือยังคะ.......... .................................................................................................
Create Date : 17 เมษายน 2554 |
Last Update : 17 เมษายน 2554 16:40:55 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1113 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: Ken IP: 223.206.222.140 วันที่: 18 เมษายน 2554 เวลา:18:49:48 น. |
|
| |
|
justice0009 |
|
|
|
|