คนไทยไม่รู้จักผู้หญิงแกร่ง เชื้อสายแคะแห่งไต้หวันคนนี้ไม่ได้แล้ว

เธอชนะเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (57.2% ของคะแนนทั้งหมดเปรียบเทียบกับ 30% ของคู่แข่ง Eric Chu แห่งพรรครัฐบาลก๊กหมินตั่ง)

เธอเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน Democratic Progressive Party (DPP) ที่ชนะใจคนเกาะแห่งนี้ ด้วยนโยบายจะไม่เออออห่อหมก กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปักกิ่ง

ความพยายามของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง แห่งจีนที่จะน้าวโน้มให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของไต้หวัน ลงคะแนนให้กับผู้สมัครจากพรรครัฐบาลไต้หวัน ด้วยการยอมพบกับประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่ว ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์ให้ฮือฮาก็เป็นอันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

นโยบายของไช่อิงเหวิน ที่โกยคะแนนชนะเลือกตั้งครั้งนี้อย่างล้นหลามคือ “status quo” หรือ “รักษาสถานภาพเดิม” ในความสัมพันธ์ไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่

พูดง่าย ๆ คือนโยบายของเธอจะไม่เหมือนของหม่าอิงจิ่วที่ถูกมองว่าพยายามจะ “จูบปาก” กับปักกิ่ง ใกล้ชิดเกินไปจนทำให้คนไต้หวันรู้สึกหวั่นไหวในอิทธิพลของแผ่นดินใหญ่ต่อเกาะแห่งนี้

หลังผลเลือกตั้งออกมาเมื่อคืนวันเสาร์ ไช่อิงเหวิน ยืนยันว่านโยบายของเธอต่อจีนแผ่นดินใหญ่จะ “อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีเซอร์ไพรส์และยั่งยืน” (consistent, predictable and sustainable)

ที่เธอย้ำว่าไต้หวันจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับญี่ปุ่น (ขณะที่ปักกิ่งกับโตเกียวกำลังแยกเขี้ยวใส่กัน)

ประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวัน เรียนด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ก่อนที่จะไปเรียนปริญญาโท และเอกจากมหาวิทยาลัยดังระดับโลกอย่าง Cornell University ของสหรัฐฯและ London School of Economics ของอังกฤษ

เรียนหนังสือจบ เธอเป็นอาจารย์สอนกฎหมายอยู่หลายปี ก่อนจะเข้าทำงานการเมืองกับพรรคก๊กหมินตั่ง ที่เป็นรัฐบาลเมื่อปี 1993 และหนึ่งในผลงานสำคัญของเธอคือร่าง “ลัทธิความสัมพันธ์พิเศษระหว่างรัฐต่อรัฐ” ให้ประธานาธิบดีหลี่เติงฮุยในช่วงนั้น

พอเฉินสุยเปี่ยนเป็นประธานาธิบดีในปี 2000 เธอได้รับเชิญเป็น “รัฐมนตรีว่าด้วยกิจกรรมแผ่นดินใหญ่” ในฐานะเป็นนักวิชาการที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด

ต่อมาอีก 4 ปี เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค DPP และไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับจากตำแหน่งรองนายกฯ ถึงปี 2007 ตอนที่คณะรัฐมนตรีไขก๊อกทั้งชุด และปีต่อมาเธอก็ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคหลังจากที่พรรคเธอแพ้เลือกตั้งให้กับพรรคก๊กหมินตั่ง

ถึงปี 2012 ไช่อิงเหวินลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่แพ้หม่าอิงจิ่ว เธอจึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรค

และเมื่อกระแสการเมืองเปลี่ยน คนไต้หวันต้องการให้พรรคฝ่ายค้านขึ้นมาแทนพรรครัฐบาล เธอจึงกระโดดลงสมัครอีกครั้ง คราวนี้ทุกสำนักโพลทำนายตั้งแต่ไก่โห่ว่าเธอคือผู้จะได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างแน่นอน

ผลเลือกตั้ง ส.ส. วันเดียวกันก็ทำให้พรรครัฐบาลเสียการควบคุมรัฐสภาด้วย เพราะ DPP ของเธอสามารถยึด 68 ที่นั่งจากทั้งหมด 113

เธอประกาศในการแถลงข่าวหลังผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนว่าเธอคือผู้นำคนใหม่ว่า “ประชาธิปไตยอยู่ในสายเลือดของคนไต้หวันทั้ง 23 ล้านคนชั่วนิรันดร์”

แต่เธอก็ยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็น “ความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายที่จะมีวิธีที่เป็นที่ยอมรับซึ่งกันและกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุและเซอร์ไพรส์”

สำนักข่าวซินหัว กระบอกเสียงของปักกิ่ง ไม่รอช้า ออกบทความเห็นว่าผลการเลือกตั้งไต้หวันเป็นเรื่อง “ท้าทายอย่างรุนแรง” ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวัน

วันเดียวกัน China Daily ตีพิมพ์บทนำเตือนผู้นำคนใหม่ไต้หวันว่าทั้งสองฝั่งต่างต้องเคารพใน “ความเห็นพ้องเมื่อปี 1992” หรือ “The 1992 Consensus” ซึ่งหมายถึงข้อตกลงของปักกิ่งกับไต้หวันในปีนั้นที่ประกาศว่าในโลกนี้มี “จีนเดียว” (One China Policy)

แต่เอกสารชิ้นนั้นก็ยอมรับว่าแม้จะตกลงได้ว่ามี “จีนเดียว” แต่ไต้หวันกับปักกิ่งตีความกันไปคนละแบบได้

ยังไง ๆ จีนแผ่นดินใหญ่ก็จะนั่งยันนอนยันว่าประเด็นไต้หวันเป็น “เรื่องภายในของจีน” คนอื่นอย่ามายุ่ง!

 นี่คือเหตุผลที่สีจิ้นผิงแห่งปักกิ่งต้องคิดหนักว่าจะปฏิบัติต่อหญิงแกร่งแห่งไต้หวันคนนี้อย่างไรจึงจะไม่เกิดศึกสงครามระหว่างสองฝั่งของช่องแคบแห่งนี้ในขณะที่ต่างก็ตระหนักว่าทั้งสองฝั่งต่างก็พึ่งพาด้านการลงทุน, การค้าขายและการแลกเปลี่ยนทุก ๆ ด้านที่ได้กระชับเข้าใกล้ชิดมากขึ้นทุกวัน

การเมืองเรื่อง “จีนเดียว สองผู้นำ สามความเห็น” จะเข้มข้นขึ้นจากวันนี้เป็นต้นไป/จบ

.................................................................................................................................

- See more at: //www.bangkokbiznews.com/blog/detail/636683#sthash.UhFZPCCf.dpuf