ความสำเร็จของเม็กซิกัน กรังด์ปรีซ์ เป็นตัวอย่างที่ดีใน F1
จากการแข่งขันเม็กซิกัน กรังด์ปรีซ์ ครั้งแรกในรอบ 23 ปีเมื่อสัปดาห์ก่อน สิ่งที่ทุกคนพูดถึงกันมากคือจำนวนผู้ชมที่คึกคักตั้งแต่ช่วงซ้อมวันศุกร์ จริงอยู่ที่การแข่งขันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่ได้มีอะไรต้องให้ลุ้นมากนัก และเมื่อผู้ชมออกจากสนามแล้วก็จะต้องเผชิญสภาพการจราจรอันโหดร้ายเนื่องจากสนามตั้งอยู่ในเมืองหลวง หากแต่บรรยากาศในสนามคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนลืมอย่างอื่นไปได้
อะไรที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จในการกลับมาของเม็กซิกัน กรังด์ปรีซ์ ครั้งนี้ เรามาดูกันค่ะ
อย่างแรกต้องชื่นชมความพร้อมใจของชาวเม็กซิกัน เราได้เห็นพ่อแม่ลูกหรือแม้แต่ปู่ย่าตายายพากันเข้าไปให้กำลังใจเซอร์จิโอ เปเรซ นักขับเจ้าบ้านกันอย่างเนืองแน่นพร้อมอุปกรณ์เชียร์หลากหลาย ทั้งป้ายเชียร์ ธง หมวกเสื้อ มีมาพร้อมสรรพ ใครตาดีก็จะเห็นว่าบนแกรนด์สแตนด์ "สเตเดี้ยม" มีคนยกถาดเบียร์เดินขายไม่ได้ขาดด้วย ไม่ว่าเปเรซจะขับผ่านมาเมื่อใด เสียงเชียร์ก็กระหึ่มขึ้นเมื่อนั้น บรรยากาศดูจะเหมือนในสนามฟุตบอลมากกว่าสนามแข่งรถ
จากรายงานในทวิตเตอร์ ผู้ชมวันศุกร์มีจำนวน 90,000 คน วันเสาร์ 111,000 คน และวันอาทิตย์ 134,850 คน รวมจำนวนผู้ชมตลอดสุดสัปดาห์การแข่งขัน 335,850 คน เยี่ยมมากเลยใช่ไหมคะ
ต่อมาเมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้นลง จุดที่ตั้งโพเดียมก็แปลกตาไปกว่าทุกสนาม เม็กซิโกเลือกให้โพเดียมอยู่ใจกลางส่วนของสเตเดี้ยมที่ว่ากันว่ามีความจุ 55,000 คนจากปกติที่โพเดียมของสนามทั่วไปจะอยู่เหนือพิต สร้างบรรยากาศการรับถ้วยรางวัลที่พิเศษสุดจริงๆ
เอริก บูลลิเยร์ ผู้อำนวยการการแข่งขันของแม็คลาเรนให้ความเห็นว่า "ที่จริงสิ่งนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่เม็กซิโกมีการโปรโมทที่ดีต่างหาก สิ่งอำนวยความสะดวกในสนามยอดเยี่ยม วิธีการสื่อสารก็ดีมาก จริงอยู่ที่พวกเขามีนักขับฟอร์มูล่าวันอยู่แล้ว แต่ก็ได้ใช้นักขับสัญชาตติตนช่วยประชาสัมพันธ์การแข่งขันซึ่งเป็นวิธีที่ชาญฉลาด
"เม็กซิโกเป็นประเทศที่มีความกระตือรือร้น แต่รูปแบบสนาม ส่วนสเตเดี้ยม และการเปลี่ยนจุดของโพเดียม ถือเป็นนวัตกรรมก็ว่าได้ พวกเขาคิดค้นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ ผมดีใจด้วยจริงๆ กับผู้จัดการแข่งขันและประเทศเม็กซิโกเพราะนับเป็นความสำเร็จอย่างที่ยากจะมีใครเหมือน"
สุดท้ายเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและความผูกพัน ในระยะหลังฟอร์มูล่าวันอาจประเมินสถานการณ์ผิดที่เลือกไปแข่งขันในสถานที่ใหม่ๆ อย่างตุรกี เกาหลีใต้ หรืออินเดีย แต่ลืมไปว่าประเทศเหล่านั้นไม่ได้มีภูมิหลังของฟอร์มูล่าวันมาเกี่ยวข้องในวัฒนธรรม นอกจากนั้น สนามรุ่นใหม่ของฟอร์มูล่าวันมักตั้งห่างไกลจากเมืองใหญ่ แรงบันดาลใจในการเดินทางไปชมย่อมลดลงหรือไม่มีเลย
ผู้จัดการแข่งขันของสนามเกาหลีใต้เคยกล่าวว่าเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกาหลีไม่ประสบความสำเร็จในจำนวนผู้ชมท้องถิ่นก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักนักขับ นอกจากสมัยนั้นยังไม่มีการระบุหมายเลขประจำตัวนักขับซึ่งทำให้จำได้ยากสำหรับคนที่ไม่เคยติดตามแล้ว พวกเขายังแทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำระหว่างรถของทีมต่างๆ
เมื่อโปรโมเตอร์ของการแข่งขันเม็กซิกัน กรังด์ปรีซ์ รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะสร้างความแตกต่างอย่างมาก พวกเขาจะรอช้าไปทำไม? สนามเบสบอลจึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ "สเตเดี้ยมเซกชั่น" และโพเดียมก็ย้ายมาอยู่ในที่ใหม่ คาร์ลอส สลิม นักธุรกิจชื่อดังของเม็กซิโก บุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลในการนำฟอร์มูล่าวันกลับสู่ประเทศกล่าวว่าการที่ให้โพเดียมมาอยู่ในสเตเดี้ยมเพื่อให้การแข่งขันได้ใกล้ชิดกับผู้ชมยิ่งขึ้น เขาเชื่อว่าจากเม็กซิกัน กรังด์ปรีซ์ ที่จบไปได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้คนต้องการใกล้ชิดฟอร์มูล่าวันมากแค่ไหน เราได้เห็นเด็กๆ และคนดูมากมายที่ไม่ได้ติดตามฟอร์มูล่าวันมามากนัก แต่ทันใดนั้นฟอร์มูล่าวันได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศนี้เสียแล้ว
เราอาจเสียดายรูปแบบสนามเม็กซิโกในวันวาน เราอาจไม่ประทับใจโค้งความเร็วต่ำหลายโค้งที่เพิ่มเข้ามาในเซกเตอร์สุดท้าย แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแต่ละรอบการแข่งขันที่ผ่านไปแฟนๆ มีความสุขมากแค่ไหน บูลลิเยร์เพิ่มเติมว่าการแข่งขันที่นี่คล้ายเป็นงานโชว์สไตล์อเมริกันเล็กน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่ดี เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมของผู้คน เราไม่สามารถจัดพิธีรับถ้วยแบบเงียบเหงาได้ในเม็กซิโก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ธรรมชาติของฟอร์มูล่าวันเปลี่ยนไป เพียงแค่ทำให้แฟนๆ มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
นั่นคือเรื่องจริง...ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน คอนเสิร์ต หรือการแสดงใดก็ตามแต่ จุดหมายปลายทางคือทำให้โชว์ออกมาให้ดีที่สุดเพื่อผู้ชมของพวกเขา
*ข้อมูลจาก motorsport.com และ twitter.com/williamsracing ภาพจาก motorsport.com
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2558 |
|
0 comments |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2558 1:20:16 น. |
Counter : 1634 Pageviews. |
|
|
|