สวัสดีครับ
ในที่สุดเราก็เข้าสู่เดือนสุดท้ายของช่วงยื่นแบบภาษีกันแล้วนะครับสำหรับตลอดเดือนมีนาคมนี้ ผมก็ยังจะหยิบเอาสาระดีๆ เกี่ยวกับภาษีมาฝากกันอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคนที่จะนำไปปรับใช้ในการกรอกและยื่น ภ.ง.ด. กันครับหรือจะนำไปต่อยอดกับการวางแผนภาษีก็ดีครับ และเรื่องที่ผมนำมาบอกเล่ากันในวันนี้คือเรื่องของภาษีกับผลตอบแทนจากการลงทุนครับ
ถ้าพูดถึงการลงทุนผมเชื่อว่าส่วนใหญ่คงให้ความสำคัญกับ ผลตอบแทนกันเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นมีทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีและแบบที่ปลอดภาษีดังนั้นเราจึงควรศึกษาประเภทของผลตอบแทนจากการลงทุนให้ดีเพื่อให้เราสามารถเลือกลงทุนได้อย่างคุ้มค่าครับ
เรามาเริ่มกันจากผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทที่ปลอดภาษีกันครับ
- ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ปลอดภาษีหากเป็นเงินไม่เกิน 20,000 บาท/ปีครับ
- ดอกเบี้ยเงินฝากประจำรายเดือนแบบปลอดภาษี ซึ่งโดยทั่วไปจะมีกำหนดฝากเป็นเวลา 2 หรือ 3 ปี โดยที่ยอดรวมฝากต้องไม่เกิน 600,000 บาท
- กำไรจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นของกองทุนรวมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนทองคำ ฯลฯ ก็ปลอดภาษีครับ แต่ถ้าหากเป็นการขาย LTF/RMF ที่ผิดเงื่อนไขของสรรพากร เราต้องนำกำไรมาคำนวณในการยื่นแบบภาษีของปีที่ขายครับ
- ดอกเบี้ยเงินฝากของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งปกติแล้วผู้ที่อายุ 65 ปีขึ่นไป จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทุกประเภท รวมถึงภาษีดอกเบี้ยเงินฝากด้วยครับ ซึ่งได้รับยกเว้นเป็นเงินไม่เกิน 190,000 บาทครับ
- กำไรจากการซื้อขายหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์
- ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์
ต่อไป เรามาดูผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต้องเสียภาษีกันบ้างนะครับ
- ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ โดยเสียภาษี 15%
- ดอกเบี้ยพันธบัตรและหุ้นกู้ โดยเสียภาษี 15%
- เงินปันผลของหุ้นสามัญ โดยเสียภาษี 10%
- เงินปันผลของกองทุน โดยเสียภาษี 10%
สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำพันธบัตร หุ้นกู้ และเงินปันผลของหุ้นสามัญ โดยปกติแล้วเราจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งนี้ หากเรามีฐานภาษีที่ต่ำกว่าอัตราภาษีขอแนะนำให้นำรายได้เหล่านี้กลับมารวมคำนวณเป็นเงินได้หมวด 40(4)เพื่อเสียภาษีตามฐานภาษีจริง และเพื่อความเข้าใจนะครับ ผมมีตัวอย่างมาให้ดูกันครับ
นาย ก ซึ่งปัจจุบันเกษียณแล้วมีเงินได้จากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ (จากทุกธนาคาร) และพันธบัตรรัฐบาลปีละ 150,000บาท หากนาย ก ไม่ยื่นภาษี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำและพันธบัตรฯ จะถูกหักภาษี ณที่จ่ายเป็นเงิน 22,500 บาท แต่หากนาย ก นำรายได้ดังกล่าวไปยื่นภาษี นาย กจะไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากมีรายได้ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ซึ่งในกรณีนี้ นาย กจะได้รับเงินคืน 22,500 บาท
ส่วนเงินปันผลของกองทุนถือว่าเป็นรายได้ประเภท40(8) โดยที่เราสามารถเลือกได้ตอนเปิดบัญชีกองทุนว่าต้องการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือนำไปคำนวณในการยื่นภาษี ในกรณีนี้ หากใครเป็นพนักงานประจำขอแนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายครับ แต่ถ้าใครที่รายได้ต่อปีไม่ถึง 150,000ก็อย่าลืมนำเงินปันผลมาคำนวณเป็นรายได้แล้วยื่นแบบภาษีด้วยนะครับเราจะได้ส่วนที่หัก ณ ที่จ่ายไปกลับคืนมาครับ ทั้งนี้อยากขอย้ำว่าอย่าลืมขอหลักฐานแสดงรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลจากบริษัทที่จ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผลให้เราด้วยนะครับเผื่อไว้ว่ากรมสรรพากรจะขอเรียกดูครับ
และนี่ก็คือภาษีกับผลการตอบแทนที่นำมาฝากกันในวันนี้หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์และช่วยให้ทุกคนวางแผนการเงินการลงทุนได้นะครับสำหรับใครที่มีข้อสงสัยเรื่องการวางแผนการเงิน สามารถส่งอีเมล์มาปรึกษาเราได้ฟรีครับที่k-expert@kasikornbank.com หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ ได้ที่ www.askkbank.xom/k-expert และสำหรับผู้ที่ชอบรับข่าวสารทาง Twitter สามารถไป follow@KBank_Expert เพื่อรับข่าวสารและเกร็ดการเงินการลงทุนส่งตรงจากผู้เชี่ยวชาญทุกวันครับ
Credit: ประกอบจาก www.earningdiary.com