สวัสดีครับ
เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ก็จะหมดช่วงยื่นภาษีปี2555 แล้วนะครับ ช่วงนี้ในออฟฟิศก็เลยจะยังคงได้ยินคนพูดถึงการยื่นภาษีกันอยู่ บ้างก็ยื่นแล้วบ้างก็ยังไม่ได้ยื่น บ้างก็มีข้อสงสัยเรื่องสิทธิลดหย่อนต่างๆก็นำมาเป็นหัวข้อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นกันไปแต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือนอย่างเราแต่เรามักจะมองข้ามหรือลืมกันไปนั่นก็คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นั่นเองครับ ดังนั้นวันนี้ผมเลยหยิบยกสาระและประโยชน์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาบอกเล่าครับซึ่งมีสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีด้วยนะครับเผื่อไว้ว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านในช่วงระยะยื่นภาษีปี 2555 ครับ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการออมเงินระยะยาวรูปแบบหนึ่งที่ลูกจ้างกับนายจ้างทำร่วมกันโดยที่ลูกจ้างยินยอมให้นายจ้างตัดเงินเดือนส่วนหนึ่งไปเป็น เงินสะสม เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และนายจ้างก็จ่าย เงินสมทบ เข้ากองทุนของลูกจ้าง เรียกได้ว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ลูกจ้างสามารถจ่ายเงินสะสมได้สูงสุด15% ของเงินเดือนโดยที่นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบให้ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินสะสมของลูกจ้างจะจ่ายให้สูงกว่าก็ได้แต่ห้ามต่ำกว่า ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บริษัทก็จะจ่ายให้เท่าๆกับอัตราเงินสะสมของลูกจ้างนั่นแหละครับ นั่นคือหากเราจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนเดือนละ 5% นายจ้างก็ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนของเราไม่ต่ำกว่า5% ครับ
เงินสะสมตรงนี้เราไม่สามารถเบิกถอนมาใช้จ่ายได้นะครับเนื่องจากกองทุนนี้มีวัตถุประสงค์คือเพื่อให้ออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณดังนั้นเราจะได้เงินก้อนนี้มาก็ต่อเมื่อ 1) อายุครบ 55 ปี หรือ 2) กลายเป็นผู้พิการหรือ 3) เสียชีวิต กรณีใดกรณีหนึ่งเท่านั้นครับและเมื่อได้เงินก้อนนี้มาตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งจาก 3 ข้อนี้ เงินก้อนนี้ก็จะได้รับการละเว้นทางภาษีคือเราไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีนั่นเองครับ
ส่วนในกรณีที่ออกจากงานก่อนเกษียณอายุ(Early Retirement) หรือย้ายที่ทำงาน เราไม่จำเป็นต้องลาออกจากกองทุนนะครับเพราะว่าเราสามารถโอนย้ายเงินในกองทุนเดิมไปยังกองทันใหม่ได้ครับหรือหากยังไม่ได้งาน ก็สามารถฝากเงินของเราให้กองทุนเดิมดูแลต่อให้ได้ครับโดยที่ระยะเวลาในการรับฝากตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อบังคับกองทุนครับ เมื่อเราได้งานใหม่และบริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเราก็ค่อยโอนย้ายเงินของเรามาลงในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใหม่ ทั้งนี้ตราบใดที่เรายังไม่ลาออกจากกองทุนเราก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินก้อนนี้ไปรวมคำนวณภาษีครับ
ในกรณีที่ลาออกจากบริษัทเราก็จะได้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครับโดยที่เป็นเงินสะสมที่เราจ่ายเข้ากองทุนคืนเต็มจำนวน ส่วนเงินสมทบจะได้รับตามเงื่อนไขของนายจ้างที่ตกลงเอาไว้กับเราตั้งแต่แรกครับเช่น
- อายุงานน้อยกว่า 1 ปี จะได้รับเงินสมทบ 10%
- อายุงานน้อยกว่า 1-5 ปี จะได้รับเงินสมทบ 10-50% ตามจำนวนปีที่ทำงาน
- อายุงาน 5 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสมทบเต็มจำนวน
ทั้งนี้หากบริษัทมีอัตราเงินสะสมให้เลือกจ่ายเช่น ให้เราเลือกว่าจะจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนฯ 5% หรือ 10%ขอแนะนำว่าเลือก 10% จะดีกว่า 5% ครับ เพราะว่าหากเราจ่าย 10% นายจ้างก็ต้องจ่ายสมทบให้เรา10% เป็นอย่างต่ำ ซึ่งจะดีกับตัวเราเองสองถึงด้านครับ คือ 1)เป็นการสร้างวินัยการออมรายเดือนให้ตัวเอง ซึ่ง 10% หรือ 15%ถ้านับจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอัตราการออมที่สูงจนเป็นภาระหรอกครับ และ2) ได้เงินสมทบในอัตราที่สูงขึ้น เช่น เราเลือกจ่ายสะสมที่ 10% เราก็จะได้จากบริษัทอีก 10% ฟรีๆ กลายเป็น 20%ครับ เรียกได้ว่าออมเงินเท่าไร รับไปเป็นเท่าตัวครับ
ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือเราสามารถนำยอดเงินที่เราจ่ายสะสมเข้ากองทุนฯ ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินเดือนทั้งปีรวมกันหรือไม่เกิน 500,000 บาทครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือประโยชน์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครับเรียกได้ว่าเป็นวธีการออมเงินที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวนะครับสำหรับใครที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเรื่องการวางแผนภาษีการวางแผนการเงิน ก็สามารถส่งอีเมล์มาปรึกษาเราได้ครับ ที่ k-expert@kasikornbank.com หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ ได้ที่ www.askkbank.com/k-expert หรือผู้ที่สนใจรับข้อมูลทาง Twitter สามารถ follow@KBank_Expert เพื่อรับข่าวสารและเกร็ดการเงินการลงทุนจากทีม K-Expertทุกวันครับ
ก่อนจากกันวันนี้ผมขอฝากโปรแกรมดีๆ อย่าง Tax Buddy สำหรับคุณหมอ ที่จะช่วยให้การกรอกแบบภ.ง.ด. 94 กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ครอบคลุมที่งแบบคณะบุคคลและบุคคลธรรมดา ดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้www.askkbank.com/k-expert ครับ
Credit: ประกอบจาก //2.bp.blogspot.com
ภาคแรกนี้คือภาคขาเข้าเป็นสมาชิก
อยากทราบขาออกด้วยครับ ต้องเสียภาษีหรือไม่อย่างไร