ความฝัน เค้าว่ามันเป็น สิ่งที่สะท้อนจิตใจ
ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตอน หกโมงเช้า อีกทีก็ตอน เจ็ดโมง
ผมตื่นมาปกติ หกโมงเช้างัวเงีย คิดได้ว่า เออ วันนี้วันเสาร์นี่หว่าไม่ต้องทำงาน กดที่มือถือมั่วๆ
มันดังอีกทีตอน หกโมงยี่สิบ อืม หลับตางัวเงียปิดอีกรอบ ความมึนๆหลังจากไปท่องราตรียังคงค้าง
เอาวะ หลับ ต่อดีกว่า แล้วฝันร้ายก็มาเยือน
ผมจำได้ผมจำได้มันเหมือนจริง เหมือนจริงจน ผมนึกคำพูดจากหนังเรื่องหนึ่งได้ดี
“ใครว่าความฝันมันไม่เจ็บ มันไม่จริงหรอก”
ผมตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ที่หอ มึนๆจากการเที่ยวกลางคืนมา วันเสาร์มาคิด เออ ทันไดนั้นโทรศัพท์ก็ดังนึ้นเธอนั้นเองมัจจุราชของผม โทรมาเธอให้ผมไปหา เมื่อผมพบเธอเธอดูแย่มาก เธอไม่สบายหนัก ผมก็ดูแลเหมือนอย่างที่เคย หายาให้กิน เอาเธอนอนตรงที่เคยนอนที่เตียงของผม เธอบอกว่าเหม็นจัง ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วเธอก็หลับไป ผมนอนมองเธออยู่ข้างๆ คอยลูบหัวเบาๆอย่างเคย ดูใบหน้านั้นหลับไป ผมก็หลับตาม ตื่นมาเธอก็ดีขึ้นเธอชาวผมไปช่วยงานที่มหาลัย ผมก็ไป พองานเสร็จ เราก็ไปกินข้าวกันไปกับเพื่อนๆ ของเธอ เธอแนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนๆ พวกเราคุยกัน สักพักผมก็พบว่าเธอหายไป ผมก็พูดคุยกับเพื่อนๆ เธอหายไป เธอหายไป แล้วผมก็หันไปเห็น เธอนั่งคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอย่างสนิทสนมเกินไป ผู้ชายคนใหม่ของเธอ
ผมอยากจะหายไปหายไป อยากหนีไปจากตรงนั้น มันทรมาณมาก มันปวดไปทั้งหัวใจ แทบจะขาดใจ
แล้วผมก็หลุดพ้นจากความทรมาณนั้น ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโทรมกาย ใจสั่น น้ำตาปริ่มออกมาจากขอบตา แปดโมงสามสิบสามนาที ผมดูนาฬิกา
ผมรู้สึกดีว่าเออ อย่างน้อยมันก็แค่ความฝัน ถึงมันจะไม่ใช่ความจริง แต่มันก็เป็นความฝันที่เหมือนจริง เป็นความจริงที่ผมไม่อยากเจอ
อย่างน้อยมันทำให้ผมยังคงตัดใจจากเธอไม่ได้ ผมคงยังไม่พร้อมที่จะเจอเธอ คงยังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น ผมคงทนไม่ได้ที่จะพบเธอกับผู้ชายคนใหม่ของเธอ มันคงถึงเวลาที่ต้องจบ จบ สักที
สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดแบบไม่มีวันสิ้นสุด
ขอให้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปได้ด้วยความเข้มแข็งนะคะ