แพทย์นิวยอร์กชี้ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่ใช่แค่ปัญหาบนเตียง เตือนจุดบ่งชี้โรคร้ายแฝงตัว

มีคำพยากรณ์ว่าในอนาคต ผู้ชายทั่วโลกจะมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ต่อคำพยากรณ์ดังกล่าว บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมยาคุณภาพของไทยและของโลก จึงจัดบรรยายให้ความรู้เพื่อเตรียมป้องกันและรับมือในหัวข้อเรื่อง ไขข้อข้องใจปัญหาสุขภาพเพศชายแบบเจาะลึก เพื่อชี้ถึงสาเหตุและแนวทางรักษาที่เหมาะสม

ศาสตราจารย์ นายแพทย์จอห์น มัลฮอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศแนวหน้าของโลกและเลขาธิการสมาคมเวชศาสตร์ทางเพศแห่งอเมริกาเหนือ กล่าวว่า อาการหย่อนสมรรถภาพเพศ หรือ อีดี (Erectile Dysfunction) คืออาการที่อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสุขสม เกิดได้จากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งโรคทางร่างกายพบสูงถึงร้อยละ 80 สาเหตุเกิดจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศมีขนาดเล็กมาก ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงและขยายตัวได้ ส่งผลให้องคชาติไม่แข็งตัวได้เต็มที่

“ผู้ที่มีอาการอีดีจึงไม่ควรละเลย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและทำการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพราะอีดีเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยกำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และไขมันในเส้นเลือดสูง” ศ.นพ.มัลฮอลล์ กล่าว

แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะผู้ชายสามารถสังเกตอาการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง โดยการ ประเมินค่าความแข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erection Hardness Sore หรือ EHS) ที่เทียบให้เข้าใจง่าย ๆ เป็นระดับเกรดรัก 1-4 โดยนำระดับดังกล่าวไปอธิบายอาการให้แพทย์ฟัง จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

เกรด 1 (EHS1) คือ การที่อวัยวะเพศตื่นตัว ขยายขนาดพองขึ้นแต่ไม่แข็ง (อาการอีดีระดับรุนแรง)
เกรด 2 (EHS2) คือ อวัยวะเพศแข็งตัวแต่ไม่เพียงพอที่จะสอดใส่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ (อีดีระดับกลาง)
เกรด 3 (EHS3) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวไม่เต็มที่ แต่เพียงพอที่จะสอดใส่ได้ (อาการอีดีระดับต้น)
เกรด 4 (EHS4) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ทำให้สามารถร่วมรักได้อย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย และเป็นเป้าหมายของการรักษาอาการอีดี (ปลอดจากอาการอีดี)

สำหรับการรักษา ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพศชาย เผยว่า พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ส่วนอาการหย่อนสมรรถภาพฯ ปัจจุบันมียาเม็ดชนิดรับประทานที่ได้รับการยอมรับทั้งจากแพทย์และคนไข้ แต่ควรระวังไม่ควรรับประทานร่วมกับกลุ่มยาไนเตรต ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในกลุ่มคนไข้โรคหัวใจขาดเลือด

หากเริ่มมีอาการ รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของปัจจัยที่จะนำพาให้ชีวิตรักสุขสม