Introduction (II): ต้องกล้า'ผิด' เพื่อจะรู้ว่า'ถูก' และ Reverse Theory
คำพูดที่ว่าการที่จะเก่งภาษาต้องลองผิดลองถูก หรือ Practice makes perfect นั้นยังคงใช้ได้ดีเสมอครับ การที่เด็กไปเรียนเมืองนอกเก่งภาษานั้นไม่ใช่เรื่องวิเศษอัศจรรย์แต่อย่างใด อธิบายง่ายๆก็คือกลุ่มนักเรียนเหล่านั้นถูกบีบบังคับให้ใช้ให้พูดภาษาอังกฤษ ต้องดิ้นรนแปรความหมายที่อยากจะสื่อแบบไทยเป็นอังกฤษ เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ คนเราก็จะกล้าพูดกล้าใช้ภาษาโดยปริยาย ความอายก็จะดูเล็กลง โดยปกติเด็กไทยที่ไม่เก่งภาษาเมื่อไปอยู่เมืองนอกได้ 2-3 เดือนก็ควรจะพูดได้พอประมาณครับ แต่อย่างไรก็ตามสังเกตได้ว่าเด็กไทยที่เกาะกลุ่มกันเองจะเป็นภาษาช้าเพราะไม่โดนบีบ ดังนั้นการส่งลูกหลานไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศก็คือการซื้อการบีบบังคับให้ดิ้นรนงัดความรู้เล็กๆน้อยและสร้างความกล้าที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง

อย่างไรดีการส่งเด็กไปเรียนเมืองนอกก็ไม่ใช่ทางออกที่ใช่เสมอไป ส่วนตัวเคยเห็นตัวอย่างเด็กที่พ่อแม่ตั้งใจส่งไปเรียนภาษาที่เมืองนอกเป็นปีๆแต่ไม่ตั้งใจ เกาะติดกลุ่มเพื่อนไทย ไม่ใช้โอกาสที่พ่อแม่ซื้อมาให้ สุดท้ายก็กลับเมืองไทยไปเรียนรู้ภาษาได้มากกว่าเดิมนิดหน่อย พูดยังไม่กล้าพูด แบบนี้ก็น่าเห็นใจพ่อแม่ครับ

ส่วนอีกแบบก็ส่งลูกหลานเรียนโรงเรียนนานานชาติ หวังให้ซึมซับการใช้ภาษา ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่ย่อยนะครับ บางที่ก็แพงเท่ากับส่งไปเรียนเมืองนอกเลยทีเดียว ข้อดีข้อเสียก็มีต่างกันไป ส่วนตัวคิดว่าพ่อแม่สมัยใหม่ที่ฉลาดเดี๋ยวนี้ไม่พึ่งทางโรงเรียนอย่างเดียวครับ เค้าเองก็มีการแข่งขันสูง อยู่บ้านพยายามสรรหา VCD การ์ตูนภาษาอังกฤษให้ลูกดู ดีไปกว่านั้นหากตัวพ่อแม่จบสูงและรู้ภาษาบ้างก็จะพูดคุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง สอนคำศัพท์ ทำแบบนี้ทุกๆวันลูกจะชิน ไม่กลัวภาษา แบบนี้น่าชื่นชมครับ

ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวเวปพันทิปห้องสมุดนี่แหละคับ น่าชื่นชมที่หลายบ้านเริ่มสอนลูกๆภาษาต่างๆ (อังกฤษ จีนกลาง จีนแต้จิ๋ว ฯลฯ) ตั้งแต่เด็กและก็ประสบความสำเร็จ เค้าแนะเคล็ดลับคือควรสื่อสารกับลูกเป็นภาษานั้นๆอย่างสม่ำเสมอและพ่อหรือแม่คนๆนึงต้องเป็นตัวแทนหนึ่งภาษาที่จะสอนเท่านั้น เช่นหากแม่เก่งภาษาอังกฤษก็ต้องเน้นภาษานั้นกับลูก (อย่าไปสอนภาษาจีนด้วย) เมื่อทำเช่นนี้ ลูกก็จะรับรู้ว่าต้องพูดกับแม่เป็นภาษาอังกฤษและจะไม่งงครับ เห็นมั้ยครับว่าการสอนพูดนี่ไม่ยากหากสภาพแวดล้อมอำนวย เด็กไทยที่เกิดเมืองนอก อยู่บ้านก็ต้องพูดภาษาอังกฤษ ยังงัยก็ต้องพูดได้ตาม สรุปคือหากเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยในการใช้ภาษาได้ เรียนที่ไหนก็ได้ภาษาไม่มากก็น้อยครับ ที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือในจุดนี้ด้วย

พูดไปแล้วปัญหาอยู่ตรงที่ว่าหากเด็กที่นี่โตแล้วความคิดอ่านเป็นภาษาไทย จะย้อนเวลากลับไปสอนเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร? อย่างที่กล่าวมา คนที่เป็นภาษาพูดก่อนจะไม่รู้หลัก Grammar ที่ถูกต้อง เค้าต้องมาเรียนรู้หลักทีหลังซึ้งก็ไม่ยากในการสอน ตรงกันข้าม เด็กไทยที่ฝังใจกับหลักก่อนและไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษจะเจอความยากมากในการปรับตัว แล้วจะทำอย่างไร? ง่ายๆเลย Reverse Theory ในความคิดของผมก็คือควรจะโยนหลักGrammar ที่เรียนมาตั้งแต่เด็กไว้ข้างๆ (ไม่ใช่ทิ้งไปเลยนะ) แล้วฝึกจำทางลัด สำนวน การถามคำถาม วิธีเรียบเรียงความคิดเแบบภาษาอังกฤษ ฟังดูไม่ยากเลย แต่คนที่จะทำได้ต้องฝึกฝน ทุกๆคนที่เคยเรียนวิชาภาษาอังกฤษ (อ่าน ABC ออก) ต้องทำได้ครับ มันดูน่าเบื่อตอนแรกๆแต่หากเราชินที่จะปรับใช้ทุกๆครั้งที่จะสื่อสาร (คิด พูด อ่าน เขียน) เป็นภาษาอังกฤษ ก็จะไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ความกลัวที่จะพูดผิดจะลดน้อยลง

เปิดรับ --> จำ --> ลองใช้ --> ปรับประยุกค์ คือเคล็ดลับง่ายๆในการฝึกภาษาครับ

Image Hosted by ImageShack.us

Image Hosted by ImageShack.us



Create Date : 05 มกราคม 2552
Last Update : 11 มกราคม 2552 13:57:09 น.
Counter : 1146 Pageviews.

2 comments
  

โดย: pet.sp วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:11:20:51 น.
  


แวะมาส่งความสุขเนื่องในวันปีใหม่ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ ปีใหม่นี้ก็ขอให้สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตนะคะ ตลอดปีและตลอดไปค่ะ
โดย: แม่น้องแปงแปง วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:20:40:55 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

K-phone
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



หวังว่าการเสนอแนะใน Blog ของผมจะมีประโยชน์บ้าง ไม่ได้เป็นการคิดค้นอะไรที่ใหญ่โต แต่เป็นการอาสานำเอาจุดเล็กๆมาฝึกฝน มาขยายเพื่อเกิดประโยชน์ในการใช้ภาษา หากท่านสมาชิกที่เยี่ยมชม Blog นี้มีข้อคิดเห็นก็ช่วยๆกันแนะนำส่งเสริมได้ครับ

Smiley






Free TextEditor
มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31