Lesson One: นั่นคืออะไร What is it?
การฝึกภาษาไม่ว่าจะเป็นเพื่อพูดหรือเขียน บางครั้งก็ต้องใช้วิธีครูพักลักจำ บางอย่างไม่ต้องรู้ถึงเบื้องลึกว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น (แต่ก็เป็นการดีหากเราขวนขวายหาที่มาของคำนั้นๆ แต่อาจไม่จำเป็นเพื่อความรวดเร็วในการเรียนรู้) บางท่านอาจนึกถึง Theory of Classical Conditioning ที่แสดงให้เห็นว่าการทำซ้ำๆหรือจำสัญญาณ Signal สามารถก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้านพฤติกรรม หรือการปฏิบัติตามนั่นเอง เช่นเดียวกันครับ หากเราเรียนรู้ที่จะจำตัวอย่างคำพูด สำนวน การสร้างประโยคที่ดี แล้วนำมาใช้ประยุกต์จนมันกลายเป็นเรื่องปกติ ก็ถือว่าเราก้าวข้ามขั้นการเรียนรู้ภาษาเช่นกัน เมื่อยืนอยู่ระดับสูงๆแล้วจึงควรหันมาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหลักที่มาของการใช้ภาษา โครงสร้างประโยคจริงๆมันเป็นอย่างไร นั่นแหละครับที่หลัก Grammar เข้ามามีบทบาททำให้ภาษาเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

ใครบอกว่าการเรียนที่ดีไม่ควรจำแต่ควรเข้าใจ….ผมถียงหัวชนฝาครับ ใครบ้างที่ไม่ท่องจำหลักการ มีแต่หากเราเข้าใจหลักการขั้นพื้นฐานได้แล้ว หลักการขั้นสูง (ในเรื่องเดียวกัน หรือเกี่ยวข้องกัน) ก็จะเข้าใจง่ายครับ ใครบ้างที่ไม่ท่องจำ Vocab? เรื่อง(ท่อง)จำอย่างไรก็หนีมันไม่พ้นหรอกครับในแวดวงการศึกษา ระดับที่ต้องจำมากน้อยก็ขึ้นกับความเข้าใจที่เราสะสมมาเบื้องต้น

ก่อนจะเริ่มบทแรก ผมอยากบอกว่าการเขียน blog นี้จะอิงกับอย่างที่ตัวเองประสบในชีวิตประจำวันและที่คาดว่าคนเราต้องพบเจอ มาเป็นแนวแนะการคิดและใช้ภาษา จะมีการหยิบยกข้อมูลจากแหล่งการสอนอื่นๆที่เหมาะสมครับ

ตอนเริ่มเขียนบทแรก ผมใช้เวลาคิดว่าควรสอนแนะเรื่องอะไรดีเพื่อไม่ให้เหมือนหนังสือ Grammar ทั่วไป ว่าแล้วควรเริ่มจากเรื่องง่ายๆก่อน จึงหวนนึกถึงเด็กทารกและการเลี้ยงเด็กครับ การเลี้ยงเด็กมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็น Arts and Science ผู้เลี้ยงเด็กต้องมีความอดทนสูง เด็กก็เป็นเสมือนผ้าขาวหรือ Flash Drive (USB) ที่ว่างเปล่า ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสอนและใส่อะไรเข้าหัวเค้า เมื่อเด็กโตประมาณ 5-6 เดือนพอที่จะตอบสนองกับการคุยของเราก็เริ่มมีการหยอกล้ออย่างชัดเจน โต้ตอบโดยใช้ภาษามือ สีหน้า ฯลฯ เราก็จะเริ่มพูดคุยเล่นกะเด็ก นั่นเป็นวิธีสื่อสารและสอนเค้า มักเป็นการหยิบยกสิ่งรอบๆตัวและพูดให้เค้ารับรู้กับสิ่งที่เราสื่อสารหรือสอน เช่นกันหากเราจะหัดพูดภาษาอังกฤษ บทแรกๆที่ง่ายสุดก็คือการชี้บอกหรือถามเกี่ยวกับสิ่งของรอบๆตัวครับ อยากให้หมั่นใช้ It (It is), They (They are), There (There is และ There are) ก่อน คำเหล่านี้เป็นคำศัพท์แรกๆที่คุณครูประถมให้เราท่องจนขึ้นใจ แต่ก็มักไม่ทราบว่าใช้กันจริงๆอย่างไรหรือตอนไหน

“It is a book!” (ฮา)….
ครับ It is ก็คือ ‘มันคือ’ ใช้คำนี้ง่ายมากครับ เช่น หากมีคนถามเราว่าเราถืออะไรอยู่ในมือ:
What is it? หรือ What is that? (แล้วชี้สิ่งที่เราถืออยู่)
ง่ายๆเลยครับ ให้ตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า ‘It is a ……’

ประโยคนี้เคยเจอในหนังไทยตลกเรื่องหนึ่ง จำได้ว่าเป็นคุณถั่วแระที่กะจะมั่วพูดภาษาอังกฤษ อะไรๆก็ตอบว่า ‘It’s a book!’ครับ หากใครเคยดูเรื่องนี้ก็จะจำได้ หยิบมาใช้ได้เลยครับ ‘It is a …….’ ใช้ตอบหรือบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร และที่ต้องรู้คือ ต้องใช้ ‘It’ คู่กับ ‘is’ นะครับ

หากเป็นของหลายอย่างหละ จะใช้ ‘It is’ ไม่ได้แล้วครับ ต้องเปลี่ยนเป็น ‘They are’ที่แปลว่า ‘พวกเขา หรือ สิ่งของเหล่านั้น’ ดังนั้นหากเป็นคุณถั่วแระที่กำลังถือ Books หลายๆเล่มก็จะตอบกลับมาว่า: ‘They are books!” ครับ

อีกอย่าง คำกลุ่มนี้ใช้บอกถึงการเคลื่อนไหว (Verbs) ก็ได้ ง่ายๆคือใช้บอกคนอื่นว่า ‘สิ่งนั้น’ กำลังทำอะไร เช่นหากคุณเห็นสุนัขกำลังวิ่งมาหา อยากตะโกนบอกน้องให้หลบไปซะ (เดี๋ยวสุนัขกัดเอา) ก็พูดได้ว่า:
‘It (the dog) is coming!’ ครับ ก็ให้นึกถึงคำท่าทาง อาการเป็นภาษาอังกฤษ ในกรณีนี้คือ ‘วิ่ง’ หรือ ‘run’ นี่เอง ก็สอนเด็กว่าให้เอา ‘It is’ บวกกับ ‘run’ เป็น ‘It is run’ ซึ่งจะได้ใจความที่จะบอกพอประมาณ แต่ต้องเปลี่ยนเป็น ‘running’ (เพิ่ม ‘ing’) เพื่อบอกลักษณะอาการว่ากำลังทำ (วิ่ง) อยู่ หากเราจำหลักที่ผิดในโครง ‘It is + ท่าทาง’ ได้ การบอกว่าให้เพิ่ม ‘ing’ ในท่าทาง จะง่ายขึ้นครับ

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้กลุ่มคำง่ายๆนี้บอกอธิบายรูปแบบ รูปร่าง และลักษณะสิ่งของได้ (Adjectives) เช่น เพื่อนถามว่ารองเท้าที่เราใส่สีอะไร ก็ตอบว่า
‘They (the shoes) are red’ ซึ่งคำตัวหลังก็จะเป็นคำตอบที่เราอยากบอกลักษณะว่าเป็นอย่างไร สีอะไร ไซส์อะไร ราคาแพงถูกแค่ไหน หรือกระทั่งเป็นของใคร ฯลฯ โครงสร้างประโยคนี้ใช้ง่าย ใช้ได้บ่อยครับ แค่ต้องรู้ว่าสิ่งที่เอ่ยเป็นจำนวนเยอะหรือเปล่า หากเป็นสิ่งเดียว อันเดียวก็ใช้ ‘It is’ หากมากกว่าหนึ่งเช่นเป็นคู่ หลายอัน ก็ใช้ ‘They are’ ครับ

อีกกลุ่มคำที่เหลือก็คือ ‘There is/ are’ พวกนี้จะใช้บอกบอกอ้างอิงกับสิ่งที่เราจะเอ่ยถึง ให้นึกถึงตอนที่เราเมาส์ นินทาคนอื่นครับว่า เช่น ‘นี่ๆ มีคนๆหนึ่งที่….’ ก็ให้ใช้ ‘There is/are….’ ได้เลยครับ
‘There is a cat in the room’ ก็คือ ตอนนี้มีแมวตัวนึงอยู่ในห้อง
‘There are cats in the room’ หรือว่าตอนนี้มันมีแมวหลายตัวอยู่ในห้อง

เท่านี้เองครับ การเริ่มประโยคหรือเขียนเล่าสิ่งที่พบเห็นว่ามีอะไร เป็นอย่างไรก็สะดวกขึ้น ตอนประถมแรกๆที่ผมเขียนเรียงความก็ติดจากภาษาพูด ‘Got’ ครับ เช่นอยากบอกว่ามีรถจอดที่นั่นก็เขียนไปว่า ‘Got a car there’ ซึ่งผิดอย่างจัง (และอายด้วย) ต้องแก้เป็นภาษาเขียนว่า ‘There is/was a car there’ จากนั้นก็รู้เลยว่าให้หมั่นใช้ ‘There is/are…’ ในการบอกถึงสิ่งของที่เราจะเล่าครับ





Create Date : 05 มกราคม 2552
Last Update : 6 มกราคม 2552 9:40:07 น.
Counter : 7542 Pageviews.

3 comments
  
ชอบครับชอบ เขียนอีกครับ
โดย: ลานสน วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:15:22:57 น.
  
เข้ามาอ่านก่อนนอนค่ะ
ไม่ได้หมายความว่าเขียนน่าเบื่อนะคะแต่ว่า
อ่านก่อนนอนแล้วจะได้จำติดหัวไปนานๆค่ะ
โดย: ploy_angjoe วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:5:46:01 น.
  
บล็อคนี้ดีจัง ...เป็นคนนึงที่กลัวการพูดภาษาอังกฤษ..แต่ก็อ่อน grammar ด้วย..เจอฝรั่งต้องวิ่งหนี..5555

จะตามมาอ่านเรื่อยๆ
โดย: sim.mm วันที่: 19 มีนาคม 2552 เวลา:22:01:25 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

K-phone
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



หวังว่าการเสนอแนะใน Blog ของผมจะมีประโยชน์บ้าง ไม่ได้เป็นการคิดค้นอะไรที่ใหญ่โต แต่เป็นการอาสานำเอาจุดเล็กๆมาฝึกฝน มาขยายเพื่อเกิดประโยชน์ในการใช้ภาษา หากท่านสมาชิกที่เยี่ยมชม Blog นี้มีข้อคิดเห็นก็ช่วยๆกันแนะนำส่งเสริมได้ครับ

Smiley






Free TextEditor
มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31