Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
10 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 

ยูโทเปีย เล่มที่ 2 จริยปรัชญา

จริยปรัชญา

ชาวยูโทเปียประหลาดใจที่มีคนยินดีในประกายของอัญมณีชิ้นเล็กๆ ในเมื่อเขาอาจมองดูดวงดาว หรือแม้แต่พระอาทิตย์เองได้ เขาอัศจรรย์ใจที่มีคนโง่พอที่จะคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น เพราะเนื้อผ้าอันงดงามของเสื้อขนสัตว์ของตน เพราะไม่ว่าเส้นด้ายจะละเอียดอ่อนสักแค่ไหน มันก็เคยเป็นขนแกะมาก่อน และแกะก็ยังคงเป็นแกะไม่ว่าจะสวมใส่มานานเพียงใด6 พวกเขาประหลาดใจที่ทองคำซึ่งปราศจากคุณค่าใดๆในตัวมันเองกลับเป็นสิ่งที่เทิดทูนกันทุกแห่งหน จนกระทั่งมนุษย์เองซึ่งเป็นผู้ใช้และทำให้มันมีค่าขึ้นมากลับมีค่าน้อยกว่าทอง และพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนโง่ที่ไม่มีสมองมากไปกว่าต้นเสา และทั้งเลวทั้งโง่จึงมีคนฉลาดและคนดีๆมารับใช้เพียงเพราะคนโง่นั้นบังเอิญมีทองอยู่มาก ถ้าหากว่าเขาต้องสูญเสียเงินทองทั้งหมดแก่ใครสักคนที่ไร้ค่าในครัวเรือนของเขาไป ไม่ว่าจะโดยความบังเอิญหรือกลอุบายทางกฎหมาย (ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้เท่าๆกับที่ก่อโดยความบังเอิญ) ในไม่ช้าเขาก็จะเป็นคนใช้คนหนึ่งของบุคคลนั้นราวกับว่าเขาเป็นสมบัติของเงินทองนั้นและผูกพันที่จะต้องเป็นไปตามโชคชะตาของมัน แต่ที่ชาวยูโทเปียเย้ยหยันหนักเข้าไปอีกก็คือความเขลาของคนที่ยกย่องคนร่ำรวยจนเกือบเหมือนพระเจ้า ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นหนี้เป็นสินคนรวยแต่อย่างใด และไม่ต้องกลัวเขาด้วยว่าที่จริงแล้วไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปเคารพนับถือเขา นอกจากว่าเขาร่ำรวย และพวกเขาก็อาจจะรู้อยู่ตลอดเวลาว่าคนรวยนั้นตะกละและโลภถึงขนาดที่ว่าตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่เขาจะไม่ให้เงินแก่ตนเลยแม้แต่หนึ่งเพนนีจากกองเงินอันมหาศาลของเขา ชาวยูโทเปียได้ทัศนคติอย่างนี้และที่คล้ายคลึงกันนี้ส่วนหนึ่งก็โดยการศึกษาอบรม เพราะพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูมาท่ามกลางขนบประเพณีและธรรมเนียมที่ต่อต้านความโง่เขลาเช่นนั้นเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ความคิดเหล่านี้มาจากการศึกษาและวรรณคดีด้วย มีคนเพียงไม่กี่คนในนครที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำงานเพื่อที่จะได้อุทิศตนเองให้แก่การศึกษา บุคคลเหล่านี้ได้แก่ผู้ที่ได้แสดงความสามารถพิเศษและความปรารถนาที่จะเรียนรู้ในวัยเด็ก แต่เด็กชายทุกคนได้รับการศึกษาและประชากรส่วนใหญ่ทั้งบุรุษและสตรีใช้เวลาว่างในการอ่านตลอดชีวิต

พวกเขาอ่านหนังสือในภาษาของตนเองอันเป็นภาษาซึ่งมีคำต่างๆครบถ้วน มีเสียงเสนาะหู และแสดงออกซึ่งความคิดได้ดีเลิศ ภาษาเดียวกันนี้เป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในเขตนั้นของโลกแม้ว่าจะไม่แท้เท่าเทียมกันทุกแห่ง

ก่อนที่เราจะไปถึงที่นั้น ชาวยูโทเปียไม่เคยได้ยินชื่อปรัชญาเมธีที่ยกย่องกันในโลกส่วนของเราเลย แต่ในเรื่องดนตรี ตรรกวิทยา เลขคณิตและเรขาคณิตนั้น พวกเขารู้ดีเท่าๆกับที่ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตเหล่านั้นได้ค้นพบมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเทียบเท่ากับคนสมัยก่อนในแทบทุกสิ่ง แต่พวกเขาล้าหลังนักตรรกวิทยาปัจจุบันของเรามาก เพราะพวกเขายังไม่ได้คิดค้นการจำแนกแจกแจงที่ลึกซึ้งตลอดจนยังมิได้ค้นพบข้อสมมติฐานต่างๆซึ่งสำนักตรรกวิทยาอันกระจ้อยร่อยของเราได้คิดค้นขึ้นมาสอนเด็กๆที่นี่ และพวกเขาก็ยังมิได้ก้าวหน้าถึงขนาดที่จะเข้าใจ “ความเข้าใจในระดับรองลงไป”7 ไม่มีพวกเขาสักคนเดียวที่สามารถเห็นมนุษย์สากล8 (อย่างที่พวกนักตรรกวิทยาเรียกกัน) ได้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะชี้ตรงไปที่เข่าด้วยนิ้วของข้าพเจ้าและมนุษย์สากลนั้นก็ (อย่างที่ท่านรู้) ใหญ่กว่ายักษ์เป็นไหนๆและมหึมาจริงๆ ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเข้าใจวงจรของดวงดาวและการเคลื่อนไหวของขอบเขตสวรรค์อย่างปรุโปร่ง พวกเขาได้ประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆที่คำนวณการโคจรและตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และวัตถุอื่นๆแห่งสวรรค์ ที่เห็นในท้องฟ้าของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ สำหรับเรื่องอำนาจชั่วร้ายของดวงดาวและการกำหนดอิทธิพลที่เป็นมิตร หรือศัตรูให้กับอิทธิพลของดวงดาวนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของพวกเขา จากประสบการณ์อันยาวนานพวกเขาสามารถทำนายพายุฝน ลม และการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นของอากาศได้ สำหรับสาเหตุของสิ่งเหล่านี้และสาเหตุของระดับน้ำทะเล และความเค็มของน้ำ และเกี่ยวกับกำเนิดและธรรมชาติของดินและฟ้านั้น พวกเขาบางครั้งก็มีความคิดอย่างเดียวกันกับที่ปรัชญาเมธีโบราณของเขาเชื่อถือ และเช่นเดียวกันกับที่ปรัชญาเมธีโบราณมีความเห็นแตกต่างกัน นักคิดชาวยูโทเปียเองก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันเมื่อพูดถึงเรื่องทฤษฎีใหม่ๆ

ในเรื่องจริยปรัชญาพวกเขาก็โต้แย้งกันมากเหมือนอย่างที่เราทำกัน พวกเขาพิจารณาว่าอะไรดีอย่างแท้จริง ทั้งสำหรับร่างกายและจิตใจ และดูว่าเป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่จะเรียกของภายนอกว่าดีหรือจะเรียกว่าเช่นนั้นกับเฉพาะของในจิตใจ พวกเขาไถ่ถามถึงธรรมชาติของคุณธรรมและความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เรื่องใหญ่ของพวกเขาคือเรื่องความสุขของมนุษย์ ว่าความสุขนั้นประกอบด้วยสิ่งเดียวหรือหลายสิ่ง พวกเขามีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่จะเชื่อว่าความสุขทั้งมวลหรือเกือบจะทั้งมวลของมนุษย์อยู่ที่ความเพลิดเพลินและสิ่งที่อาจจะดูแปลกก็คือ พวกเขาหาข้อสนับสนุนปรัชญาความสนุกสนานเพลิดเพลินของพวกเขาจากศาสนา ซึ่งเอาจริงเอาจังและดุดัน ค่อนข้างจะหนักและต้องห้าม เพราะพวกเขาไม่เคยพิจารณาความสุขโดยไม่เชื่อมโยงมันเข้ากับหลักเหตุผลของปรัชญากับหลักการที่เอามาจากศาสนา พวกเขาเชื่อว่าการแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับความสุขที่แท้จริงนี้ยังคงอ่อน และบกพร่องอยู่ ถ้าไม่ได้มีรากฐานอยู่ที่ศาสนา

หลักการทางศาสนาของชาวยูโทเปียมีดังต่อไปนี้คือ จิตของมนุษย์นั้นเป็นอมตะ และโดยความเมตตาของพระเจ้าจึงได้ถูกกำหนดมาให้มุ่งสู่ความสุข และหลังจากชีวิตนี้จะมีรางวัลกำหนดไว้สำหรับคุณธรรม และผลงานที่ดีของเรา และมีการลงโทษสำหรับบาปของเรา พวกเขาคิดว่า ถึงแม้ความเชื่อเหล่านี้เป็นเรื่องของศาสนา แต่มันก็ชอบด้วยเหตุผลที่สิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นที่เชื่อถือและยอมรับ พวกเขาไม่ลังเลที่จะกล่าวว่าถ้าหลักการเหล่านี้ถูกปฏิเสธเสียแล้ว ก็คงไม่มีใครที่โง่ถึงกับที่จะไม่เชื่อว่าเขาควรจะแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยไม่คำนึงถึงความผิดความถูก มนุษย์เพียงแค่คอยดูแลไม่ให้ความสนุกสนานเล็กๆน้อยๆมากีดขวางความสนุกสนานที่ใหญ่กว่า และไม่แสวงหาความเพลิดเพลินที่จะนำความทุกข์มาให้เท่านั้น ตามทัศนะเช่นนี้ก็เป็นการบ้าที่จะปฏิบัติตามคุณธรรม ซึ่งดูยากและลำบาก และจะต้องเสียสละความเพลิดเพลินในชีวิตและทนต่อความเจ็บปวดอย่างเต็มใจ และโดยไม่มีอะไรขึ้นมาเลย เพราะเราจะหวังอะไรได้อีกหลังจากที่ชีวิตปราศจากความสุข คือ ชีวิตแห่งความทุกข์ยาก ถ้าไม่มีสิ่งตอบแทนให้หลังจากความตาย ?

ชาวยูโทเปียไม่ได้เชื่อว่ามีความสุขอยู่ในความเพลิดเพลินทุกอย่าง แต่มีอยู่เฉพาะในความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ดีและซื่อสัตย์ พวกเขาเชื่อว่าธรรมชาติของเราถูกดึงดูดไปสู่ความเพลิดเพลินเช่นนั้น เหมือนดังที่ธรรมชาติของเราถูกดึงไปสู่ความดีสูงสุดของตัวเองก็โดยคุณธรรม ความคิดที่ตรงกันข้ามกับความคิดนี้ก็คือ ความคิดที่ว่าความสุขประกอบด้วยคุณธรรมเพียงอย่างเดียว

พวกเขาให้คำนิยามคุณธรรมว่าได้แก่การดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ พวกเขากล่าวว่า เราถูกกำหนดมาโดยพระเจ้าให้ไปสู่เป้าหมายนี้ การทำตามธรรมชาติคือการปฏิบัติตามคำสั่งของเหตุผลในสิ่งซึ่งเราแสวงหาและหลีกเลี่ยง คำสั่งแรกของเหตุผลก็คือจงรักและเคารพพระเจ้าซึ่งให้เรามีอยู่เป็นอยู่ และให้ความสุขที่เราสามารถมีได้ ประการที่สอง เหตุผลตักเตือนและเรียกร้องให้เรามีชีวิตอย่างเยือกเย็น และอย่างร่าเริงเท่าที่เราจะทำได้ และให้ช่วยเหลือคนอื่นๆทั้งปวงโดยความสัมพันธ์ร่วมกันตามธรรมชาติให้บรรลุถึงจุดประสงค์นี้

พวกเขาไม่เห็นด้วยกับผู้นิยมคุณธรรมที่เคร่งขรึมและเศร้าหมองผู้ซึ่งเกลียดชังความบันเทิงและเรียกร้องให้เราทำงานหนัก และระวังระไวและให้ปฏิเสธตนเองโดยอยู่อย่างซอมซ่อ และในขณะเดียวกันพวกนี้ก็สั่งให้เราปัดเป่าและแบ่งภาระ และความยากจนของผู้อื่นเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ของเรา พวกนี้ประกาศว่าชัยชนะของธรรมชาติของมนุษย์อยู่ที่การแบ่งเบาความทุกข์ยากของผู้อื่น รื้อฟื้นความสุขของการมีชีวิตอยู่ กล่าวคือ ความสนุกสนานกลับคืนมาโดยการขจัดความเศร้าออกไป ชาวยูโทเปียแย้งว่าถ้านี่เป็นจริงก็จะไม่ตรงกันดอกหรือว่าธรรมชาติเรียกร้องให้เรากระทำการอย่างเดียวกันกับตัวเราเอง ? ถ้าชีวิตที่ร่าเริง (คือชีวิตแห่งความเพลิดเพลิน) เป็นสิ่งที่เลวแล้วเราก็ไม่ควรจะช่วยเหลือผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม เราควรจะกีดกันเขาจากสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าชีวิตที่ร่าเริงเป็นชีวิตที่ดี และถ้าเราควรจะช่วยผู้อื่นให้มีชีวิตอย่างนี้แล้วทำไมเราจึงไม่ควรจะหาชีวิตอย่างนั้นให้ตัวเราเองเท่าๆกับผู้อื่น ? ธรรมชาติไม่เคยสอนให้เราเหี้ยมเกรียมและทารุณต่อตัวเองในขณะที่มีความเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น

เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงสรุปว่า ธรรมชาติเองได้กำหนดชีวิตที่ร่าเริง (กล่าวคือ ชีวิตที่สนุกสนานเพลิดเพลิน) ว่าเป็นเป้าหมายของชีวิต นี่คือสิ่งที่พวกเขาหมายถึงเมื่อเขากล่าวว่าคุณธรรมหรือการมีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และในขณะที่ธรรมชาติสั่งให้เรามีชีวิตที่ร่าเริงและยินดีร่วมกัน ธรรมชาติก็ห้ามเราครั้งแล้วครั้งเล่ามิให้ทำลาย หรือลดหย่อนความสนุกสนานเพลิดเพลินของผู้อื่นในการแสวงหาความสนุกสนานของเราเอง ไม่มีใครที่อยู่เหนือเพื่อนมนุษย์คนอื่นจนเขาเป็นสิ่งเดียวที่ธรรมชาติดูแล ธรรมชาติชื่นชมในทุกๆคนที่อยู่ในชุมชนแบบเดียวกันเหมือนๆกัน

ดังนั้นพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ควรจะรักษาข้อตกลงส่วนตัว และความเคารพกฎหมายของบ้านเมืองที่ผู้ปกครองที่ดีได้บัญญัติไว้ หรือที่ซึ่งประชาชนได้รับรองโดยเสรี มิใช่อิทธิพลหรือกำลังหรือการฉ้อโกงแต่อย่างใด เพราะเหตุว่ากฎหมายเช่นนั้นกำหนดการแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์ และทรัพย์ย่อมมาก่อนความสนุกสนานเพลิดเพลิน

พวกเขาคิดว่าเป็นการรอบคอบสำหรับมนุษย์ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของตนเท่าที่กฎหมายจะอนุญาตให้ แต่พวกเขาถือว่าเป็นการชอบด้วยหลักศาสนาที่คนเราจะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง กล่าวคือ เป็นการผิดที่ใครสักคนจะแสวงหาความสนุกสนานของตนโดยการขัดขวางความสนุกสนานของผู้อื่น แต่การที่จะลดความเพลิดเพลินของตนลงเพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินให้แก่ผู้อื่นนั้นพวกเขาถือว่าเป็นงานแห่งมนุษยชาติและความเมตตากรุณาและยิ่งกว่านั้นยิ่งเป็นคุณแก่ตนพอๆกับที่เป็นคุณแก่ผู้อื่น ด้วยเหตุว่า ในยามต้องการเขาก็อาจจะได้รับความเมตตาอย่างเดียวกันตอบแทน แม้เมื่อสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นการรู้ตัวว่าเขาได้กระทำสิ่งที่ดีและการระลึกถึงความรู้คุณของผู้ที่เขาได้ทำประโยชน์ให้ก็จะทำให้จิตใจของเขามีความสุขยิ่งกว่าที่ความสนุกสนานซึ่งเขาได้ผละไปนั้นจะทำให้ร่างกายของเขาเพลิดเพลินได้ ในที่สุดพวกเขาเชื่อว่าศาสนาจะชักจูงจิตใจที่โน้มไปในทางที่ดีอยู่แล้วให้เกิดศรัทธาว่าพระเจ้าจะตอบแทนการสูญเสียความสนุกสนานรื่นรมย์ที่สั้นและชั่วครู่ชั่วยามด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่และนิรันดร์

ดังนั้นหลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาสรุปว่าการกระทำของเราทั้งหมดก็ดี คุณธรรมของเราก็ดี ในที่สุดแล้วก็มุ่งสู่ความสนุกสนานเพลิดเพลินและความสุขเป็นเป้าหมาย ความสนุกสนานเพลิดเพลินของเขาก็คือ การกระทำและสภาพของร่างกายหรือจิตใจซึ่งมนุษย์ชื่นชมโดยธรรมชาติแต่เขาหมายรวมเฉพาะความชื่นชมที่ธรรมชาติชักนำเท่านั้น และเขายืนยันว่าธรรมชาตินั้นชักนำเราไปสู่เฉพาะความชื่นชมที่เหตุผลและความรู้สึกสนับสนุนนั่นคือเฉพาะความชื่นชมที่เรามีโดยไม่ทำร้ายใคร หรือไม่ต้องสูญเสียความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ยิ่งใหญ่ไปเพื่อแลกกับอันที่น้อยกว่า หรือไม่ต้องเป็นทุกข์ภายหลัง สำหรับสิ่งที่เย้ายวนและไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและที่ซึ่งมนุษย์เรียกว่าเป็นความชื่นชมแต่เพียงเสกสรรค์ปั้นแต่ง (ราวกับว่ามนุษย์อาจเปลี่ยนธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการเปลี่ยนชื่อ) นั้น ชาวยูโทเปียกล่าวว่าทำให้ความสุขลดน้อยลงแทนที่จะเพิ่มขึ้นเพราะมนุษย์ผู้ซึ่งในใจมีแต่ความคิดเรื่องความเพลิดเพลินที่ผิดๆจะไม่มีโอกาสเหลืออยู่สำหรับความเพลิดเพลินที่แท้จริงและความชื่นชมที่แท้

มีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างที่ในตัวของมันเองแล้วไม่มีอะไรที่น่าชื่นชม แต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีความขื่นขมอยู่ไม่น้อย กระนั้นก็ดีจากการยั่วยวนโดยความปรารถนาที่ชั่วช้า สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งซึ่งมิเพียงแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นความสนุกสนานอันยิ่งใหญ่เท่านั้น หากแต่ถือกันว่าเป็นวัตถุประสงค์อันรีบด่วนที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำ ในบรรดาผู้ซึ่งแสวงหาความสนุกสนานเทียมเช่นนี้ ชาวยูโทเปียรวมเอาผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงแล้วคือ ผู้ซึ่งคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นตรงที่มีเครื่องแต่งกายที่ดีกว่านั้นเข้าไปด้วย คนเช่นนั้นเข้าใจผิดถึงสองชั้น เขาเข้าใจผิดว่าเสื้อผ้าของเขาดีกว่าผู้อื่นเท่านั้นไม่พอ เขายังเข้าใจผิดอีกว่าตัวเขาเองดีกว่าผู้อื่น ว่าเฉพาะเรื่องเครื่องแต่งกายทำไมเล่าขนสัตว์ที่ทำจากเส้นใยที่ละเอียดจึงจะดีกว่าขนสัตว์ที่ทำจากเส้นใยที่หยาบ กระนั้นก็ดีคนเหล่านี้ก็ยังเดินชูคอและคิดว่าตนสูงกว่าผู้อื่นราวกับว่าพวกตนนั้นดีเลิศโดยธรรมชาติและไม่ใช่โดยความเห็นที่ผิดๆนี่แหละพวกเขาจึงเรียกร้องเอาเกียรติที่ตนคงไม่กล้าหวัง หากแต่ตัวไม่ดีและถ้ามีใครถากถางหน่อยพวกเขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

การยินดีกับความเคารพนอกหน้าอันไร้ค่าก็เป็นความโง่ดุจเดียวกัน ถ้าใครเปิดหมวกหรือย่อเข่าให้ท่าน ท่านได้รับความเพลิดเพลินที่แท้จริงตามธรรมชาติอะไรหรือ ? ความปวดในเข่าของท่านเบาบางลงหรือความบ้าคลั่งในหัวของท่านหายไปหรือ คนที่นิยมชมชื่นกับตนเองว่ามีเชื้อสายเก่าแก่หรือมีทรัพย์ศฤงคารมากมายด้วยเหตุว่าในปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเป็นชนชั้นสูงขึ้นมาได้นอกจากทรัพย์ นั้นก็หลงผิดเช่นเดียวกัน ถึงกระนั้นก็ดีพวกเขาไม่ได้คิดว่าตนเองสูงส่งน้อยลง แม้บรรพบุรุษจะไม่ได้เหลืออะไรให้เลยหรือแม้ว่าเขาจะได้ผลาญมรดกจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม

ชาวยูโทเปียจัดเอาพวกที่คลั่งเพชรนิลจินดาและคิดว่าตนเองมีความสุขราวกับเทพยดาถ้าตนได้เพชรพลอยที่หายาก และถือว่ามีราคาสูงในประเทศของตนในขณะนั้น (เพราะสิ่งเหล่านี้มีราคาแตกต่างกันไปตามยุคสมัยและในหมู่ชนต่างๆกัน) เข้าไว้ในพวกนี้ด้วย พวกนี้จะไม่ยอมซื้ออัญมณีจนกว่าจะเอามันออกมาจากตัวเรือนทองคำ และจนกว่าคนขายจะได้สาบานว่ามันเป็นของแท้ เพราะพวกเขากลัวว่าตาของตนเองจะถูกของปลอมหลอก แต่ถ้าคิดดูดีๆก็ในเมื่อตาของท่านเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมแล้ว ทำไมเพชรพลอยจึงจะให้ความสุขแก่ท่านน้อยลงเล่า มันย่อมมีค่าเท่าๆกันสำหรับท่าน เพราะท่านก็เหมือนกับคนตาบอดนั่นเอง

นอกจากนั้นก็มีพวกที่ชอบสะสมทรัพย์สิน มิใช่เพื่อประโยชน์อะไร แต่เพื่อความสุขในการมองดูเท่านั้น พวกนี้มีความเพลิดเพลินที่แท้จริงหรือ หรือว่าเขาถูกหลอกลวงโดยความเพลิดเพลินจอมปลอม ? แล้วยังพวกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติที่ตนไม่มีวันจะได้ใช้และบางทีอาจจะไม่ได้เห็นเลยอีกเล่า ? เพราะเป็นห่วงที่จะรักษามันไว้พวกเขาก็เลยสูญเสียมันไปจริงๆ เมื่อคนเราซ่อนเร้นทรัพย์สมบัติจากตนเองและจากมนุษยชาติมันก็เป็นเช่นนี้แหละ ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็กลับคืนไปสู่ดินอีกครั้งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ตามเมื่อเขาได้ซ่อนทรัพย์สมบัตินั้นเขาก็รู้สึกมั่นใจและมีความสุข ที่นี้ลองสมมติว่ามันถูกขโมยไปและเจ้าของไม่ได้รู้เลยว่าถูกขโมยจนอีกสิบปีต่อมา ตลอดเวลานั้นการที่เงินถูกขโมยไปหรือไม่จะมีความหมายอะไร ไม่ว่าในกรณีใดมันไม่มีประโยชน์อะไรแก่เขาทั้งสิ้น

ในประเภทเดียวกันกับความเพลิดเพลินโง่ๆเหล่านี้ ชาวยูโทเปียก็รวมเอาการพนัน (ซึ่งเขารู้ก็แต่เท่าที่ได้ยินมา) การล่าสัตว์และการล่าเป็ดป่าไว้ด้วย ชาวยูโทเปียจะถามว่า การทอดลูกเต๋าสนุกอย่างไร ? ถ้ามีความสนุกอยู่ในนั้นแล้วการทอดลูกเต๋าครั้งแล้วครั้งเล่าจะมิทำให้เราเบื่อดอกหรือ ? อะไรคือความบันเทิงที่ได้จากการได้ยินเสียงเห่าและเสียงหอนของสุนัข ? ทำไมการที่สุนัขไล่กระต่ายป่าจึงสนุกกว่าการที่สุนัขไล่สุนัขด้วยกัน ? เพราะในแต่ละกรณีก็มีของอย่างเดียวกันคือการวิ่งถ้าหากว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าสนุก แต่ถ้าคนอยากเห็นกระต่ายป่าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆต่อหน้าเขา เขาก็ควรจะมีความสงสารกระต่ายป่าที่ขี้กลัวและปราศจากอันตรายใดๆที่วิ่งหนีสุนัขเพียงเพื่อจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆโดยสัตว์ที่ดุร้ายนั้นเอง ดังนั้นชาวยูโทเปียซึ่งเห็นว่าการล่าสัตว์เป็นสิ่งซึ่งไม่มีคุณค่าพอสำหรับผู้ที่เป็นไทแก่ตนจึงได้มอบภาระนี้ให้แก่คนฆ่าสัตว์ของตนซึ่ง (ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว) ก็คือทาสของพวกเขา พวกเขาถือว่าการล่าสัตว์เป็นงานฆ่าสัตว์ที่ต่ำที่สุด การเลี้ยงปศุสัตว์ไว้และฆ่าเมื่อต้องการเป็นสิ่งที่มีเกียรติมากกว่า แต่นักล่าสัตว์นั้นหาความเพลิดเพลินจากการฆ่าและเชือดเฉือนสัตว์เล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้เพียงอย่างเดียว พวกเขาคิดว่าความสุขที่ได้จากการดูความตายแม้แต่จะเป็นความตายของสัตว์ร้ายย่อมมาจากความใจร้ายที่มีแฝงอยู่หรือเกิดจากกิจนิสัยที่ถือเอาความทารุณเป็นความเพลิดเพลิน

ชาวยูโทเปียยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนซึ่งมนุษยชาติจำนวนมากถือว่าเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับความเพลิดเพลินเลย เพราะมันไม่เป็นที่ชื่นชมโดยธรรมชาติ บ่อยครั้งมันทำให้มีความรู้สึกรื่นรมย์ (และดูคล้ายกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน) แต่นี่ก็มิได้มีความหมายอะไร มันไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ในตัวของมันเอง แต่เกิดจากขนบประเพณีอันเสื่อมเสียของมนุษย์ มนุษย์ยอมรับสิ่งที่ขมว่าหวานอย่างเดียวกับที่หญิงซึ่งตั้งครรภ์คิดว่าน้ำมันดินและไขหวานกว่าน้ำผึ้งไม่ว่าจะเนื่องจากความเจ็บไข้หรืออิทธิพลของขนบประเพณี รสนิยมของคนไม่อาจเปลี่ยนคุณสมบัติอันแท้จริงของสิ่งใด และมันก็ไม่อาจเปลี่ยนธรรมชาติของความสนุกสนานเพลิดเพลินได้เช่นกัน

ชาวยูโทเปียแยกแยะความสนุกสนานเพลิดเพลินที่แท้จริงออกเป็นหลายชนิด บ้างก็เป็นของจิตใจ บ้างก็เป็นของร่างกาย ความเพลิดเพลินทางใจคือความรู้และความชื่นชมซึ่งเกิดจากการใคร่ครวญหาสัจจะ การหวนคำนึงถึงความหลังอันชื่นชมของชีวิตและความหวังในอนาคตอันแสนสุข

พวกเขาแบ่งความเพลิดเพลินของร่างกายออกเป็นสองชนิด ชนิดแรกได้แก่สิ่งซึ่งทำให้ประสาทสัมผัสมีความรู้สึกเพลิดเพลินในทันที สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อส่วนต่างๆของร่างกายได้รับการบำรุงให้สดชื่นด้วยอาหารและเครื่องดื่ม หรือเมื่อส่วนเกินในร่างกายมนุษย์ได้รับการปลดปล่อยอย่างเช่น การถ่ายอุจจาระ การสืบพันธุ์ หรือ การถู การเกาส่วนที่คัน

ความเพลิดเพลินของร่างกายอย่างที่สองไม่ได้เกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือปลดปล่อยอะไรให้ร่างกายของเราแต่เป็นสิ่งซึ่งกระตุ้นความรู้สึกของมนุษย์ด้วยพลังที่ซ่อนเร้นและไม่มีผิดพลาดซึ่งจะทำให้ความรู้สึกภายในนั้นเองมีความชื่นชม นี่คือความสนุกสนานเพลิดเพลินที่เกิดจากดนตรี

ความเพลิดเพลินทางกายอีกแบบหนึ่งเกิดจากลักษณะที่ดีและสมบูรณ์ของร่างกายคือ สภาพที่ดีโดยทั่วๆไปเมื่อไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน สภาพเช่นนี้โดยตัวมันเองก่อให้เกิดความชื่นชมภายในแม้จะไม่ถูกกระตุ้นจากภายนอก ถึงแม้ว่านี่จะมีผลต่อประสาทความรู้สึกน้อยกว่าความพึงใจที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่ม แต่หลายคนก็ถือว่านี่เป็นความเพลิดเพลินที่เหนือกว่า ชาวยูโทเปียส่วนใหญ่ถือว่านี่คือรากฐานของความเพลิดเพลินอื่นๆทั้งหมด เนื่องจากสภาพเช่นนี้อย่างเดียวเท่านั้นที่ก่อให้เกิดสภาพที่สงบและเป็นที่ปรารถนา ถ้าไม่มีสิ่งนี้เสียก็ไม่มีโอกาสที่จะมีความสนุกสนานเพลิดเพลินแบบอื่นๆลำพังการไม่มีความเจ็บปวดนั้นพวกเขาเรียกกันว่า ความปราศจากความรู้สึก ไม่ใช่ความเพลิดเพลิน เว้นแต่ว่ามันจะมีสภาพแห่งสุขภาพดังกล่าว

ในสมัยก่อนนั้นได้มีการโต้แย้งกันอย่างมากว่าสุขภาพที่มั่นคงและสงบนั้นเป็นความเพลิดเพลินที่แท้จริงหรือเปล่า เพราะกว่าจะรู้สึกตัวก็ต่อเมื่อถูกคุกคามโดยสิ่งตรงกันข้าม ทุกวันนี้พวกเขาเห็นพ้องกันว่าสุขภาพคือความชื่นชมทางร่างกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาถือว่าความทุกข์ทรมานมีแฝงอยู่ในความไข้ฉันใดความสนุกสนานเพลิดเพลิน (ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความทุกข์ทรมาน) ก็มีแฝงอยู่ในสภาพตรงกันข้าม คือ สุขภาพฉันนั้น ถ้าใครกล่าวว่าโรคภัยไข้เจ็บมิใช่ความทุกข์ทรมาน แต่เป็นเพียงว่ามีความทุกข์ทรมานอยู่ข้างใน พวกเขาก็บอกว่านั่นมิก่อให้เกิดข้อแตกต่างอย่างใด เพราะไม่ว่าสุขภาพเองจะเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลินหรือเป็นเพียงสาเหตุของความสนุกสนานเพลิดเพลิน (อย่างไฟกับความร้อน) ใครก็ตามที่มีสุขภาพก็มีความชื่นชมที่แท้จริงในสุขภาพนั้น พวกเขากล่าวว่าเมื่อเรารับประทานอาหารสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสุขภาพของเราซึ่งเริ่มอ่อนแอลง ก็ต่อสู้กับความหิวโดยมีอาหารเป็นพันธมิตร ในการต่อสู้นี้เมื่อเราค่อยๆได้กำลังวังชาและความแข็งขันคืนมาเราก็รู้สึกสบายอันเกิดจากการได้รับบำรุงเลี้ยง และสุขภาพของเราที่รู้สึกชื่นชมระหว่างการต่อสู้นี้จะไม่ยินดีในชัยชนะที่ได้รับหรือ ? เมื่อสุขภาพของเราได้ความมีชีวิตชีวากลับคืนมาอย่างสมบูรณ์มันจะไม่รู้สึกในสภาพที่ดีของตัวมันเองหรือ ? ด้วยเหตุนี้ชาวยูโทเปียจึงยืนยันว่าสุขภาพที่ดีนั้นเจ้าของจะรู้สึกได้ ถ้ามนุษย์ไม่เจ็บป่วยเขาก็รู้สึกสบายเมื่อเขายังตื่นอยู่ มีใครเล่าที่โง่หรือซึมเซาเสียจนไม่รู้ว่าสุขภาพนั้นเป็นที่น่าชื่นชม ? และความชื่นชมนั้นคืออะไร ถ้าไม่ใช่อีกชื่อหนึ่งของความสนุกสนานเพลิดเพลิน ?

ในบรรดาความชื่นชมทั้งมวลนั้น พวกเขานิยมความชื่นชมของจิตใจมากเป็นพิเศษ เพราะเขายกย่องมันไว้สูงสุด โดยเชื่อว่าความชื่นชมนี้เกิดจากการปฏิบัติคุณธรรมและความรู้สึกสำนึกในชีวิตที่ดี ในบรรดาความชื่นชมทางกายนั้น พวกเขายกให้สุขภาพอยู่อันดับหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าความเพลิดเพลินที่เกิดจากการกินและการดื่ม และความชื่นชมอย่างอื่นๆของร่างกายเป็นที่ปรารถนาก็ตราบเท่าที่มันคงรักษาสุขภาพไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมในตัวของมันเองแต่มันเป็นที่น่าชื่นชมก็ต่อเมื่อมันต่อต้านการรุกล้ำของโรคภัยไข้เจ็บ คนฉลาดคิดว่าการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บนั้นดีกว่าการหายารักษา และการเอาชนะความยากลำบากนั้นดีกว่าการแสวงหาสิ่งปลอบประโลม ดังนั้นการปฏิเสธความเพลิดเพลินทางร่างกายเหล่านี้จึงดีกว่าการที่จะถูกมันครอบงำ ถ้าใครคิดว่าเขามีความสุขในท่ามกลางความเพลิดเพลินเหล่านี้แล้ว เขาก็ต้องสารภาพว่าเขาคงจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด ถ้าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับความหิว ความกระหาย อาการคันซึ่งตามด้วยการกิน การดื่ม การเกาและการถูอย่างไม่มีวันจบสิ้น ใครบ้างที่ไม่เห็นว่าชีวิตเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะต่ำช้า หากแต่ยุ่งยากด้วย ? นี่คือความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ต่ำที่สุด และไม่บริสุทธิ์ที่สุด เพราะมันผสมกับความเจ็บปวดอยู่เสมอ เช่นเดียวกับความหิวที่ผูกพันกับความเพลิดเพลินในการกินและความเจ็บปวดมีมากกว่าความเพลิดเพลินยิ่งนัก ความเจ็บปวดมิเพียงแต่จะรุนแรงกว่าเท่านั้น หากแต่ยังคงทนกว่าด้วย เพราะมันมาก่อนความเพลิดเพลินและมิได้หมดสิ้นไปจนกระทั่งความเพลิดเพลินหมดสิ้นไปพร้อมๆกับมันด้วย เพราะฉะนั้นชาวยูโทเปียจึงคิดว่าความเพลิดเพลินชนิดนี้ไม่พึงเป็นที่ให้คุณค่าอย่างสูง เว้นแต่เท่าที่จำเป็นต่อชีวิต กระนั้นก็ดี พวกเขาก็ชื่นชมกับมันและขอบคุณในความเมตตากรุณาของธรรมชาติซึ่งล่อมนุษย์ด้วยการคะยั้นคะยอให้กระทำสิ่งซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตนี้จะขมขื่นสักแค่ไหนถ้าความหิวและกระหายประจำวันจะต้องถูกบำบัดด้วยยาขมเหมือนกับโรคอย่างที่ไม่ค่อยเกิดแก่เราบ่อยครั้งนักนั้น ! แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ความเพลิดเพลินและของประทานจากธรรมชาติกลับส่งเสริมอุ้มชูซึ่งความงาม พลัง และความคล่องแคล่วว่องไวของร่างกายมนุษย์

ชาวยูโทเปียแสวงหาความเพลิดเพลินจากเสียง ภาพ และกลิ่นด้วย และคิดว่ามันให้คุณสมบัติพิเศษและรสชาติต่อชีวิตมนุษย์ ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะตั้งใจให้ความเพลิดเพลินเหล่านี้เป็นพิเศษแก่มนุษย์ ไม่มีสัตว์อื่นใดที่คิดถึงความสง่าและความงามของจักรวาลหรือนิยมชมชอบในกลิ่น เว้นแต่เพื่อแยกแยะอาหารหรือรู้จักเสียงที่ประสานและไม่ประสานกัน แต่ในความสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งปวงนี้ ชาวยูโทเปียรักษากฎอยู่ว่าความชื่นชมที่น้อยกว่า จะต้องไม่กีดขวางความชื่นชมที่มากกว่าและว่าความชื่นชมนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์ทรมานนั้นย่อมจะติดตามความชื่นชมที่ไม่แท้เหมือนเงาตามตัว

ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังคิดว่าการที่มนุษย์ทำร่างกายของตนให้เสื่อมถอยลง ทำให้ตนด้อยกำลังลง ทำให้ตนเองเชื่องช้า อดอาหารให้ผอม การทำลายสุขภาพและปฏิเสธความชื่นชมโดยธรรมชาติเหล่านี้เป็นความบ้า (เว้นแต่ว่าการละความพึงพอใจของตนเช่นนั้นจะทำให้เขาสามารถอำนวยสวัสดิการแก่ผู้อื่นหรือแก่ส่วนรวมได้ดีขึ้น ซึ่งในการนี้เขามุ่งหวังจะได้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าจากพระเจ้า) มนุษย์เช่นนั้นไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้นเลย เขาได้แต่เงาอันว่างเปล่าของคุณธรรมหรือมิเช่นนั้นก็เพียงแต่ทำให้ตนเองแข็งแกร่งเพื่อสู้กับอุปสรรคซึ่งไม่มีวันที่จะพบพาน ชาวยูโทเปียคิดว่าคนอย่างนี้โหดร้ายต่อตนเองและไม่กตัญญูต่อธรรมชาติเพราะเขาปฏิเสธสิ่งที่ธรรมชาติให้ ประหนึ่งว่าเขารังเกียจที่จะเป็นหนี้บุญคุณ

เหล่านี้แหละคือความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับคุณธรรมและความเพลิดเพลิน และเขาคิดว่าเหตุผลของมนุษย์ไม่อาจพบความจริงยิ่งกว่านี้เว้นแต่สวรรค์จะบันดาล ข้าพเจ้าไม่มีเวลาในขณะนี้ที่จะพิจารณาว่าทัศนะเหล่านี้ถูกหรือผิดและคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสินด้วย เพราะข้าพเจ้าเพียงแต่เล่าให้ฟังถึงขนบประเพณีของพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อกล่าวแก้ให้ไม่ว่าหลักการเหล่านี้จะจริงเท็จแค่ไหนข้าพเจ้าก็เชื่อว่าไม่มีใครที่ไหนอีกแล้วที่ดีเลิศกว่า หรือมีสังคมที่เป็นสุขยิ่งกว่าพวกเขา

ในด้านของร่างกายนั้นพวกเขาคล่องแคล่วและมีชีวิตชีวาและแข็งแรงกว่าที่เห็นได้จากขนาด ถึงแม้ว่าเนื้อดินของพวกเขาจะไม่อุดมสมบูรณ์นัก และดินฟ้าอากาศของเขาจะไม่ถึงกับไม่บริสุทธิ์ที่สุด แต่พวกเขาก็ทำให้ตนแข็งแกร่งสู้กับอากาศได้โดยการมีชีวิตอยู่อย่างพอประมาณ และทำให้เนื้อดินดีขึ้นโดยความขยันหมั่นเพียรจนไม่มีที่ใดสามารถผลิตข้าวและปศุสัตว์ได้มากกว่า และไม่มีที่ใดอีกแล้วที่ผู้คนจะแข็งขันหรือเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยยิ่งไปกว่าพวกเขา ท่านอาจจะเห็นพวกเขาทำในสิ่งซึ่งชาวไร่ชาวนาโดยปกติทำเพื่อปรับปรุงเนื้อดินที่เลวโดยความชำนาญและอาศัยแรงงานอย่างขยันขันแข็ง และถึงกับยกป่าจากแห่งหนึ่งไปปลูกยังอีกแห่งหนึ่งด้วย นี่มิได้ทำไปเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินหากแต่เพื่อช่วยในการขนส่ง เพื่อว่าไม้ฟืนจะได้อยู่ใกล้ทะเลหรือแม่น้ำหรือเมือง เพราะการขนส่งข้าวในระยะทางไกลนั้นง่ายกว่าการขนส่งไม้ในระยะเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ได้เร็ว ใจคอดี กระฉับกระเฉงและชอบเวลาว่าง พวกเขาอดทนต่อการทำงานหนักๆได้เมื่อจำเป็น แต่ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็ไม่ชอบมันนัก


* * * * * * * * *


6 จาก Demonax, 41 ของลูเชียน

7 ความเข้าใจในระดับแรก ได้แก่ความเข้าใจที่เกิดจากจิตสัมผัสกับสิ่งของโดยตรงหรือเป็นครั้งแรก เช่น ความคิดเรื่องต้นไม้ ต้นมะพร้าว ส่วนความเข้าใจในระดับรองลงไปเกิดจากความคิดถึงความเข้าใจในระดับแรกในส่วนที่สัมพันธ์กัน เช่น ความคิดเรื่อง ตระกูลของต้นไม้ ประเภทของต้นไม้ที่แยกออกจากตระกูล

8 ตอนนี้มอร์คงจะพาดพิงไปถึงข้อโต้แย้งอันโด่งดังในสมัยกลางระหว่างพวกที่เชื่อว่าสากลภาพมีอยู่จริงๆ ต่างหากจากตัวปัจเจกภาพกับพวกที่เชื่อว่าสากลภาพนั้นเป็นแต่เพียงชื่อที่ดัดแปลงมาจากงานเขียนของลูเชียนที่ล้อเลียนทฤษฎีเรื่องแบบของเพลโต




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2550
1 comments
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2550 1:08:10 น.
Counter : 1170 Pageviews.

 


แวะมาเยี่ยมเยี่ยนกันครับ
Thailand International Balloon Festival 2007
คลิกที่รูป เพื่อตามมาเที่ยวด้วยกันครับ

 

โดย: มิสเตอร์ฮอง 10 พฤศจิกายน 2550 1:34:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ende
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




I do my thing and you do your thing.
I am not in this world to live up to your expectations,
And you are not in this world to live up to mine.
You are you, and I am I,
And if by chance we find each other, it's beautiful.
If not, it can't be helped.

(Fritz Perls, 1969)
Friends' blogs
[Add ende's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.