ในโอกาสที่เขียนบทความทางธรรมมาถึงเรื่องที่หนึ่งร้อยพอดิบพอดี
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีบางช่วงที่ทำให้ผู้เขียนต้องมาทบทวนตัวเองอยู่หลายเรื่องที่เดียว
เช่นในเรื่องของ การเขียนบทความทางธรรมโดยใช้ความเข้าใจของตนเป็นพื้นฐาน
ซึ่งก็ไม่แน่ว่า ผู้อ่าน จะสามารถย่อย ธรรมรส ได้ซาบซึมแค่ไหน..
หรือในเรื่องของ การวางใจในการเสพธรรม ของคนที่จะเข้ามาเสพแต่ละท่านจะเป็นอย่างไร..?
เพื่อที่จะ ปรุงแต่งให้รสชาติของบทความที่สื่อสารออกมา จะสามารถเข้าใจได้ง่าย
ไม่เฝือฝาด จนกลายเป็นของแสลงของ ผู้มาใหม่ จนเกินไป..
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เจตนาของผู้เขียนก็ยังคงยืนยันหนักแน่น ที่จะมุ่งสร้าง สัมมาทิฏิ
มุ่งหมายจะก่อร่างสร้างเหตุแห่ง ความเห็นชอบ ให้เจริญงอกงาม
เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาทางธรรม ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เสพให้ได้ในเบื้องต้น..
หากพอมีบุญบารมีทางธรรมติดตัวมาเป็นเสบียงอยู่บ้าง ก็คงจะสามารถ ต่อยอด ไปได้เรื่อยๆ
จนถึงจุดหมายปลายทางได้เองในสักวันหนึ่ง..
เรื่องของความเห็นชอบ เป็นเรื่องสำคัญ..
ก็เหมือนกับ ช่างสร้างเรือน หากวางแบบแปลนบิดเบี้ยวตั้งแต่แผ่นกระดาษไปเสียแล้ว
ยังไม่ทันได้ลงมือสร้างบ้าน ก็เดาได้เลยว่า ผลงานที่จะออกมา คงไม่สำเร็จตามความประสงค์แน่
เหมือน คนบวกเลขผิด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ย่อม
ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริงโดยไม่ต้องสงสัยเลย..
การสร้าง ความเห็นชอบให้เกิดขึ้นในใจของตน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เพราะเราก็ต่างมี อคติ มีความเห็นต่อความเป็นจริงของโลก ผิดเพี้ยนไปทุกๆคน
จะผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว มากหรือน้อยก้ขึ้นอยู่ที่ว่า เรามีส่วนได้เสียกับสิ่งนั้นๆแค่ไหน..
รักมาก โลภมาก โกรธมาก หลงมาก ก็บิดเบี้ยวมาก
รักน้อย โลภน้อย โกรธน้อย หลงน้อย ก็บิดเบี้ยวน้อย..
หากใครสามารถมองโลกอย่างไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเลย
ความคิดความเห็นของเขาก็จะมีความเป็นกลางสูง วินิจฉัยโลกคดีได้เฉียบขาด
หมดความหลงเพราะรัก เพราะชัง แม้แต่ความวางเฉย ก็เห็นหมด รู้ทันทั้งสิ้น..
ใจเขาจึงอยู่ในสภาวะ ไม่มีคลื่นลมแปรปรวน ทะเลจิตใจสงบราบเรียบ
ผ่องใสเหมือนกระจกเงาที่ไร้ฝุ่นผงมาบดบัง..
ที่พร้อมจะสะท้อนทุกสิ่งที่เข้ามา ทางรากของความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา..
งานทางโลกก็ต้องทำกันไปตามภาระและหน้าที่ ที่กำลัง สวมหัวโขน กันอยู่
ส่วน งานทางธรรม ก็อย่าได้ประมาทละเว้นเพราะเห็นว่ายังไกลตัว..
หากปล่อยวันคืนให้ล่วงเลยไป ก็คงต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง
เรื่องที่ควรรู้ ควรศึกษา กลับปล่อยให้ผ่านล่วงเลยไปอย่างไร้ค่า..
รอยเท้าธรรม ที่เหล่าผู้ประเสริฐทั้งหลายท่านได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เราเดินตาม ยังมีอยู่..
หากเรามีความพากเพียรไม่ย่อท้อ..
ไม่ปล่อยใจให้ย่อหย่อน เผลอใจไปหลงติดกับดักของโลกธรรม..
เร่งสร้าง สัมมาทิฏิ ความเห็นชอบ ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
สักวันเราก็คง ตามรอยเท้าของพระอริยะเจ้าทั้งหลายได้ทัน..
ไม่ต้องเสียเวลามาเริ่มเรียนรู้ถูกผิดกันใหม่..
ก่อนที่รอยเท้าเหล่านั้นจะเจือจาง เลือนหายไปตามกฏแห่ง อนิจจัง
และอาจจะไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน..
ขอขอบคุณเจ้าของภาพทกท่านที่เอื้อเฟื้อเป็นธรรมทาน
คงไม่ยากจนเกินไปหากจะทำความเข้าใจ
นอกเสียจากว่า ไมอยากจะเข้าไปในใจเท่านั้นก็คงจะยากที่จะเข้าใจ
ปล,อันที่จริงเพิ่งมาเจอบล็อก นายสมมุติ เมื่อเดือนเศษๆเองค่ะ