กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
คุณแม่ฟูลไทม์...ทำไมต้องส่งลูกเข้าเดย์แคร์???
เจอร์นอลนี้เป็นเจอร์นอลสนองนี๊ดตัวเองค่ะ เพราะได้ยินคำถามอยู่บ่อยๆ ที่จริงก็ไม่ได้รำคาญแต่อย่างใดกับการที่ได้ยินคนถามคำถามนี้ "ไม่ได้ทำงาน ทำไมถึงส่งเข้าเนอร์สเซอรี่?" เพราะส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นการถามอย่างสงสัยจริงๆ และด้วยเหตุนี้ ฉันก็เลยคิดว่า คนที่สงสัยแล้วถาม ยังโอเค เพราะพวกเขาจะได้ทราบถึงเหตุผลที่แท้จริงจากปากของฉันเอง แต่คนที่สงสัยแล้วไม่ถาม (ซึ่งฉันมั่นใจว่ามีนะ) เห็นทีคงจะมีคนที่เอาไปคิดและประมวลผลหาคำตอบเอาเองเป็นแน่แท้ อาจจะมีคำตอบที่ว่า ฉันไล่แม่บ้านออกไปแล้ว ก็เลยไม่มีเวลาเลี้ยงลูก หรือ ฉันเหนื่อย หรือ ฯลฯ สารพัดจะสรรหามาคิดหรือมาเมาท์

.

เอาล่ะ เข้าเรื่องเสียที ว่าทั้งๆที่ฉันก็เป็นคุณแม่ฟูลไทม์ งานการก็ไม่ทำ เงินทองก็ไม่หาเอง แล้วทำไมกะอีแค่ลูกคนเดียว ฉันถึงไม่เลี้ยงเอง ต้องส่งเข้าเดย์แคร์ หรือเนอร์สเซอรี่ด้วย เลี้ยงไม่ไหวหรือไง? อ่ะๆ เอาเป็นว่า ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะ ว่าเนอร์สเซอรี่ หรือเดย์แคร์ สมัยนี้ มีหลายแบบด้วยกัน ก็คือ

.

1 มีแบบที่รับเลี้ยงเด็กจริงๆ คือคุณพ่อคุณแม่พาลูกมาที่เดย์แคร์ แล้วผู้ดูแล (ซึ่งเป็นผู้ดูแลจริงๆ แค่ดูแล ไม่ได้ทำอย่างอื่น) ก็จะดูแลเด็กตั้งแต่ อาบน้ำอาบท่า พาเข้าห้องน้ำ ล้างก้นล้างกอย พาเข้านอน ป้อนข้าว พอเด็กว่างๆก็ปล่อยให้เล่นของเล่นตามอัธยาศัย.. เดย์แคร์แบบนี้มักเป็นเดย์แคร์ราคาเบาๆ เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกเอง ข้อดีของมันก็คือ มีคนดูแลลูกให้ ลูกได้มีเพื่อนเล่น แต่ข้อเสียของมันก็คือเด็กมักจะเยอะ โอกาสติดหวัด ติดโรคมือเท้าปาก หรือโรคนั้นโรคนี้ มีเยอะมาก แต่เรื่องของการเรียนการสอนจะไม่ค่อยเน้น บางที่อาจจะมีบ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของคุณพ่อคุณแม่ที่ใช้บริการเดย์แคร์แบบนี้ค่ะ

.

2 เดย์แคร์แบบที่ฉันเรียกว่า "โรงเรียน" เพราะเป็น โรงเรียนจริงๆ แต่เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ ไม่ใช่วัยเตรียมอนุบาล มีการมิกซ์ของเดย์แคร์ กับกราเรียนการสอนอย่างจริงๆ มีกิจกรรมให้เด็กทำตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่เล่น...ผู้ดูแล ฉันขอเรียกว่า "คุณครู" ถึงแม้จะไม่ใช่คุณครูจริงๆ แต่ก็เป็นผู้ให้ความรู้ เป็นทั้งผู้ดูแลเด็กตลอดวัน และเป็นทั้งผู้สอน ราคาเดย์แค์แบบนี้เห็นทีจะสูงขึ้นมานิดหนึ่ง หรืออาจจะสูงมากเลยก็ได้ ถ้าหากเป็นโรงเรียนที่ราคาสูงมาก ข้อดีของมันก็คือ เด็กที่เข้าเรียนจะเป็นระดับกลางถึงระดับสูง มีปริมาณเด็กน้อยทำให้คุณครูดูแลได้ทั่วถึง และที่สำคัญคือ โอกาสติดโรคมีน้อยค่ะ เดย์แคร์แบบโรงเรียนนี้ ที่จริงสาเหตุหลักๆของคุณพ่อคุณแม่ เห็นทีก็จะเป็นเรื่องของเวลาเหมือนเดย์แคร์แบบแรก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกมีสังคม รู้จักปรับตัวเข้าสังคม และต้องการให้ลูกมีกิจกรรมที่กระตุ้นพัฒนาการ ก็มักจะเลือกเดย์แคร์แบบนี้ค่ะ

.

เข้าใจเรื่องของเดย์แคร์กันแล้ว เราก็มาพูดถึงเรื่องของการเลี้ยงลูกดีกว่า

.

ฉันยอมรับค่ะ ว่าเด็ก ไม่ว่าจะคนไหน ย่อมอยากจะอยู่กับพ่อกับแม่ และการที่เด็กได้อยู่กับพ่อกับแม่ก็คือการที่เด็กรู้สึกอบอุ่น ฉันจึงเป็นฝ่ายสนับสนุนให้คุณแม่ทั้งหลาย ที่ไม่มีปัญหาด้านการเงิน ยอมลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกที่บ้านเถอะ เพราะเด็กอ่อนมีความอ่อนไหวสูงในด้านของการต้องการความรัก โดยเฉพาะจากพ่อและแม่ ดังนั้นการอยู่บ้านและเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เห็นจะเป็นทางเลือกที่ดีในความคิดฉัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็คงต้องดูความจำเป็นด้วย หากบ้านไหนมีความจำเป็นเรื่องของเวลา การทำงาน และการเงิน ที่ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ก็เป็นเรื่องต้องยกเว้น

.

การเลี้ยงลูกเองดียังไง? ดีตรงที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกเป็นคนแรก ได้สอน ได้ใส่โปรแกรมให้ลูก ในสิ่งที่เราอยากจะให้ลูกเป็น ไม่ได้หมายความว่าจะกำหนดชีวิตให้ลูก แต่เป็นการปูพื้นฐาน ได้เป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ซึ่งการเป็นตัวอย่างนี่แหละ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ลูกจะได้รับรู้และซึมซับกลายเป็นนิสัยต่อไปในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ การที่เราจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการคิดให้ลูก ผ่านกิจกรรมที่ลูกจะได้ทำ"ร่วมกับเรา" เน้นคำว่า "ร่วมกับเรา" เพราะ บ้านไหนที่เลี้ยงลูกเอง แต่ปล่อยให้ลูกเล่นคนเดียว ต่อให้จะมีของเล่นที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการและสติปัญญาอะไรมากมาย ของเล่นพวกนั้นก็จะไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ

ต่อมา เมื่อเลี้ยงลูกเอง จนถึงวัยที่ลูกต้องการเพื่อนคนอื่นที่ไม่ใช่แค่แม่แล้ว...ก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ฉันขอใช้คำว่า จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะให้ลูกมีโอกาสได้เล่นกับเด็กคนอื่นๆบ้าง เพื่อเป็นการพัฒนาทางด้านสังคม และอารมณ์ของเด็กในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น.. อาจจะพาออกไปเล่นกับเพื่อน โดยที่มีเราคอยดูแลก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพาไปเข้าโรงเรียน

.

และในการเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง คุณแม่ฟูลไทม์ สามารถใส่ความรู้ให้ลูกได้เต็มที่ (เอาพอประมาณนะ เดี๋ยวลูกเครียด) เช่น ก.ไก่ นับเลข ABC อันนี้เป็นเรื่องเบสิค... แต่กิจกรรมเสริมก็ควรจะมี เช่น อ่านนิทาน, วาดรูปเล่น, ผสมสี ดูแม่สี ว่าสีนี้ผสมกันได้สีอะไร, ปลูกถั่วงอก ให้ลูกคอยดูการเจริญเติบโตของต้นไม้ ระหว่างนี้ให้ลูกรดน้ำต้นไม้เองทุกๆวัน เพื่อสอนให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ ,ฯลฯ อีกมากมาย หลายหลากที่จะสอนลูกผ่านการเล่น...

.

แต่ถ้าครอบครัวไหนก็ตาม ที่เลี้ยงลูกแบบสักแต่ว่าจะเลี้ยง โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า ที่ชอบเปิดทีวีให้หลานดู เพราะเด็กดูทีวีแล้วจะไม่กวน ไม่ดื้อ แต่ไม่คำนึงถึงผลเสียว่า เด็กดูทีวีแล้วมีข้อเสียเยอะกว่าที่เราคิดไว้ ก็เห็นจะไม่ควร

.

มาถึงคำถามที่ฉันต้องตอบ...ในเมื่อฉันทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำ ไม่ว่าจะเล่นกับลูก หรือสอนหนังสือลูกได้หมดทุกอย่าง แล้วทำไมฉันต้องพาลูกไปเข้าโรงเรียน????

.

ความคิดแรกของฉันคือ ฉันอยากให้ลูกรู้จักเล่นกับเพื่อน เพราะลูกฉันอยู่กับฉันสองคนทุกๆวัน ฉันกลัวว่าลูกจะเบื่อ ความคิดที่สองคือ กิจกรรมต่างๆที่เล่ามาทั้งหมด ฉันไม่ได้ทำกับลูกทุกวัน บางวันฉันก็ต้องไปทำอย่างอื่น ปล่อยให้ลูกเล่นคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากๆสำหรับเด็ก การมีเพื่อนเล่นโดยมีคุณครูดูแล เป็นสิ่งที่ดี เพราะลูกจะได้รู้จักถึงการแบ่งปัน การเข้าสังคม เพราะเด็กที่ไม่รู้จักวิธีเล่นกับเพื่อน มักจะเริ่มต้นด้วยความรุนแรง เช่น ตีเพื่อน ทำร้ายเพื่อน โดยที่เค้าไม่ทราบว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ดี เด็กแค่ต้องการเล่นด้วยเท่านั้น คิดได้ดังนั้นฉันก็พาลูกไปเข้าโรงเรียนที่มีกิจกรรมทั้ง สวดมนต์ นั่งสมาธิตอนเช้า ออกกำลังกายก่อนเข้าเรียน มีกิจกรรมทั้งภาคเช้าภาคบ่ายฯลฯ แต่ให้เรียนแค่ ครึ่งวันค่ะ เพราะฉันคิดว่า ฉันดูลูกได้ ฉันเลี้ยงลูกได้ แค่ครึ่งวันก็เพียงพอแล้วที่จะให้เค้าเล่นกับเพื่อน

.

แต่น้องอลิสไม่ใช่แค่นั้นค่ะ น้องอลิสไม่มีร้องไห้เลยสักวันเดียว มีแค่กระซิกๆ แอ๊ๆ แค่ครั้งเดียว แล้วชีก็เอนจอยมากๆ ตอนเที่ยง ฉันไปรับกลับบ้าน เธอร้องไห้ เพราะไม่อยากกลับบ้านค่ะ เดือนต่อมาฉันจึงตัดสินใจ ให้อยู่โรงเรียนทั้งวัน

.

ฉันกลุ้มมาก เพราะตอนกลางวันเวลาอลิสจะนอน อลิสจะต้องดูดนมนอน จะต้องมีแม่กล่อม คนอื่นก็ไม่ยอม ฉันสงสารลูกค่ะ คุณครูได้ยินแบบนี้ ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องแย่แน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ อลิสไม่มีปัญหาเลยแม้สักวันเดียว อลิสเห็นเพื่อนนอนหลับเอง อลิสก็นอนเองได้ ไม่มีร้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ จนถึงวันนี้ ก็เกือบสองเดือนแล้วที่อลิสเข้าโรงเรียน อลิสมีพัฒนาการที่ดีขึ้นผิดหูผิดตา (จากที่ดีอยู่แล้ว) อลิสพูดเก่งขึ้น มากกกกๆๆๆๆจริงๆ ทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านกับฉัน อลิสพูดได้ แต่ไม่ค่อยพูด อลิสดูร่าเริงขึ้น เพราะมีเพื่อน มีของเล่น มีกิจกรรม ขนาดอยู่เต็มวัน เวลาไปรับก็ยังไม่ยอมกลับบ้านเหมือนเดิม อยากเล่นกับเพื่อน

.

โรงเรียนที่น้องอลิสเรียน มีเด็ก 5-6 คนค่ะ เด็กน้อยมาก และสองเดือนที่ผ่านมา อลิสยังไม่เคยติดหวัดจากเพื่อนคนไหน มีน้ำมูกบ้างแค่ครั้งเดียวแต่ไม่ถึงกับป่วยไข้ แต่ถามว่าตอนอยู่กับฉันอลิสเปลี่ยนไปไหม เปลี่ยนค่ะ ด้วยความที่อยู่กับฉันน้อยลง เค้าก็จะอ้อนมากขึ้นเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน จะติดหนึบเป็นตังเมว่าอยากให้แม่อยู่ด้วยนานๆ สงสารลูกไหม ก็สงสารนะ กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า จะให้อลิสลดเวลาเรียนเหลือครึ่งวันเหมือนเดิมดีไหม ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันต้องคิดต่อไปค่ะ

.

ที่เล่ามาทั้งหมด ฉันขอสรุปว่า ถ้าหากคุณแม่คนไหน ที่เลี้ยงลูก แล้วสามารถทำกิจกรรมกับลูกได้ตลอดเวลา และทุกวัน ก็เลี้ยงเองเถอะค่ะ แต่เมื่อถึงเวลาอันควร ก็พาลูกไปเล่นกับเพื่อนๆบ้าง โดยมากเด็กวัยหนึ่งขวบจะอยากเล่นกับเพื่อนๆวัยเดียวกันแล้วนะคะ แต่ยังไม่อยากอยู่ไกลจากแม่ พอสักขวบครึ่ง ก็จะสามารถอยู่ห่างแม่ได้บ้างแล้ว แต่ถ้าครอบครัวไหนที่เลี้ยงลูกแบบปิดกั้นพัฒนาการ เช่น ไม่มีการสอน หรือกิจกรรมใดๆให้เด็กทำ ไม่มีการพาออกไปนอกบ้าน หรือไปเห็นอะไรให้หลากหลาย ฯลฯ ก็อยากให้ลองปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันดู และถ้าครอบครัวไหน ที่ปู่ย่าตายายเป็นคนเลี้ยง เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ได้อยู่กับลูก ก็ต้องสอนลูกบ้าง เพราะปู่ย่าตายาย มักจะเลี้ยงแบบคนแก่เลี้ยงเด็กค่ะ

.

และที่สำคัญ ไม่ควรปล่อยปละละเลยเรื่องเหล่านี้ เพราะอาจจะเห็นว่ายังเด็กเกินไป แต่ทราบกันไหมคะ ว่า เด็กวัยก่อนสองขวบ เป็นวัยที่ควรเริ่มเรียนรู้ได้แล้ว เพราะว่าสมองพัฒนาได้ดีมากๆในช่วงนี้ค่ะ

.

.

แต่คนที่ไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน หรือเนอร์สเซอรี่ หรืออะไร ฉันก็ไม่ได้ตำหนิหรืออะไรนะคะ เพราะเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัว ลูกใครก็ตัดสินใจกันเอาเองเนอะ เจอร์นอลนี้ ฉันเขียนขึ้นมา เพราะต้องการแสดงเหตุผลของฉัน ซึ่งอาจจะมีบ้างที่อิงข้อเท็จจริง แต่มิได้ต้องการโน้มน้าวให้ใครต้องทำตามนะคะ


ปล. ลืมบอกค่ะ ฉันส่งลูกสาวเข้าเดย์แคร์ ตอน ขวบเก้าเดือนค่ะ ก่อนหน้านี้ลูกอยู่ที่บ้านกับแม่สองคน



Create Date : 07 กรกฎาคม 2554
Last Update : 7 กรกฎาคม 2554 23:06:21 น.
Counter : 4224 Pageviews.

3 comments
  
ส่งไปเดย์แคร์ตั้งแต่ขวบครึ่ง ไม่ใช่ไม่มีคนเลี้ยงด้วย ตอนนี้คลอดลูกคนที่สาม ได้ 1 เดือน กำลังจะลาออกมาเป็นคุณแม่ฟูไทม์ แล้วก็คงส่งเข้าเดย์แคร์ตอนขวบครึ่งเหมือนเดิม
โดย: nongbow วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:00:42 น.
  
สวัสดีค่ะ

สบายดีไหมคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลประกอบการตัดสินใจค่ะ ตอนนี้ให้คุณตาคุณยายเลี้ยงค่ะ ใช้โทรทัศน์เป็นตัวช่วยจริงๆ ก็คงต้องพยายามให้ห่างๆ บ้างค่ะ

ขอให้มีความสุขทั้งครอบครัวนะคะ
โดย: กิ่งลีลาวดี วันที่: 21 สิงหาคม 2554 เวลา:4:20:39 น.
  
มีลูกอายุ 9 เดือน จำเป็นให้เข้าเนอร์สเหมือนกัน รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
email: kaendee@yaho
ขอบคุณครับ
โดย: kaendee IP: 171.7.30.106 วันที่: 10 ตุลาคม 2555 เวลา:0:19:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

elin
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments