Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
10 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
บทที่3 : อาถรรพ์ลัญจร

อาถรรพ์ลัญจกร

เมื่อซุนเช่อควบขับม้าขาวคู่ใจลดเลี้ยวเข้าสู่เขตตัวเมืองตะวันออกอีกครั้ง ม่านราตรีก็แผ่ปกคลุมท้องนภาแล้ว ภายใต้นภาราตรีอันปลอดโปร่งสามารถมองเห็นหมู่ดาวแรกปรากฏวับแวมเป็นสัญญาณบ่งบอกช่วงเวลาเริ่มต้นแห่งราตรีกาล แต่สภาพแวดล้อมของเขตตัวเมืองตะวันออกนี้คล้ายกับบอกว่ากาลเวลาเยี่ยงนี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการดำเนินชีวิตที่แท้จริง มิหนำซ้ำยังเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาปราศจากความวิตกทุกข์ร้อนทั้งมวล แสงสีอันเฉิดฉายจากอาคารร้านรวงต่างๆขับเน้นถึงบรรยากาศอันสนุกสนานครื้นเครงของผู้คนที่มาดื่มกินท่องเที่ยวตลอดจนหาความสุขนานาชนิด บนท้องถนนที่มีความกว้างพอให้ม้าแปดตัวควบขับเรียงหน้ากระดานสัญจรพร้อมกันปรากฏการเดินทางหลากหลายรูปแบบ มีทั้งรถม้าอันเลิศหรูชายฉกรรจ์ควบขับม้าพ่วงพี ตลอดจนคนเดินเท้าบนบาทวิถีสองข้างทาง เป็นสภาพอันคึกครื้นยิ่งนัก

ซุนเช่อควบม้าลัดเลาะเข้าสู่ช่วงถนนสายตะวันออกเบียดเสียดไปท่ามกลางการสัญจรอันหนาแน่น ยังดีที่ท้องถนนสายนี้กว้างขวางดังนั้นการเดินทางด้วยม้าจึงยังค่อนข้างสะดวกสบาย ซุนเช่อเหลือบมองนภาราตรีแวบหนึ่งพลางรำพึงในใจ ‘ดูท่าครานี้เราคงสายไปบ้าง’

เขาเห็นว่าการมาสายในนัดแรกกับหญิงงามไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแต่อย่างไร เพียงแต่เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นระทึกใจเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในห้วงสมองเขาไม่รู้คลาย ทุกประการเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันและจบลงอย่างกะทันหัน ทิ้งปมปริศนาหลายประการให้ซุนเช่อขบคิด บุรุษชุดดำลึกลับนั้นที่แท้คือผู้ใด เหตุไฉนจึงล่วงรู้กำหนดนัดหมายของเขาที่หอหอมกำจาย ถึงกับคล้ายรู้จักตัวเขาเองเป็นอย่างดีอีกด้วย ปัญหาเหล่านี้เฝ้าวนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดการเดินทาง ดังนั้นซุนเช่อจึงควบม้าอย่างเลื่อนลอยมุ่งสู่ทิศทางที่ตั้งของหอหอมกำจาย

เพียงชั่วขณะกำแพงล้อมอันกว้างขวางเหยียดยาวของหอหอมกำจายพลันปรากฏแก่สายตา เมื่อควบม้าผ่านประตูอันกว้างขวางที่จารึกป้ายขวางด้วยตัวอักษรสีทองทางเบื้องบนว่า “หอกำจาย” ก็พบเห็นที่ลานตึกหน้าจอดเต็มไปด้วยรถม้า หลายคันยังตกแต่งอย่างมีรสนิยม แสดงว่าหอหอมกำจายแห่งนี้ประกอบการค้าได้กำไรงามยิ่ง บนลานตึกปรากฏผู้รับใช้หลายคนกระจายกันออกต้อนรับและจัดที่ทางสำหรับจอดพาหนะของแขกเหรื่อผู้มีอันจะกิน พื้นที่แถบที่ติดกับกำแพงล้อมด้านขวามือเป็นคอกม้าที่จัดไว้สำหรับดูแลม้าของลูกค้าผู้มาอุดหนุน

ยามนั้นปรากฏคนรับใช้รีบเดินเข้ามารับหน้า กุลีกุจอพาม้าขาวของซุนเช่อไปฝากไว้ที่คอกม้า ซุนเช่อลงจากม้าจึงเดินเข้าประตูทางเข้าหลักของหอหอมกำจาย เพิ่งผ่านเข้าประตูก็ปรากฏสตรีรูปงามอายุเยาว์นางหนึ่งเข้ามาต้อนรับ สตรีนางนั้นคล้ายล่วงรู้ว่าซุนเช่อจะมาแต่แรก นางแนะนำตนเองว่าเรียกว่าหลิงเอ๋อ เป็นพนักงานต้อนรับของหอหอมกำจาย ทำหน้าที่นำทางให้แก่ซุนเช่อไปยังเรือนสดับความหอมซึ่งเป็นสถานที่ที่เสี่ยวฉีจัดต้อนรับซุนเช่อ

โครงสร้างหลักของหอหอมกำจายเป็นตัวตึกสองชั้นตกแต่งด้วยความโอ่อ่าหรูหรา ตัวตึกหลักก่อสร้างเป็นลักษณะมุมฉากกลับด้าน พื้นที่ว่างกึ่งกลางเป็นสวนไม้ดอกที่ตกแต่งอย่างประณีต มีการสร้างภูเขาจำลอง ขุดสระน้ำไหลริน ท่ามกลางทางเดินอันคดเคี้ยวมีสะพานศิลาตัดข้ามช่วงธารน้ำบางตอน จัดแต่งอย่างมีรสนิยมยิ่ง บนตัวตึกหลักชั้นสองจัดสร้างห้องพิเศษหลายห้อง ห้องพิเศษนี้ถูกจัดวางให้แขกเหรื่อสามารถทอดทัศนาความงามร่มรื่นของอุทยาน เบื้องล่าง ห้องหับเหล่านี้มิใช่มีเงินทองก็สามารถจับจองได้อย่างง่ายดายเพราะมักถูกจับจองล่วงหน้าจนเต็มหมดสิ้น ส่วนพื้นที่ชั้นล่างตลอดจนชั้นสองบางส่วนจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับลูกค้าผู้ไม่ได้จับจองล่วงหน้า แต่มาตรฐานการให้บริการของหอหอมกำจายกลับไม่ผิดแผกแตกต่างเท่าใด

นอกจากพื้นที่ให้บริการในตัวตึกหลักแล้ว ยังมีเรือนไม้สี่หลังกระจายปลูกอยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มพฤกษ์ภายในอุทยานไม้ดอก บรรยากาศร่มรื่นเป็นส่วนตัวยิ่ง เพียงแต่ค่าบริการสูงลิบลิ่ว ลูกค้าผู้มาใช้บริการมักเป็นคหบดีใหญ่ ผู้มีตำแหน่งทางการหรือผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น เรือนสดับความหอมที่เสี่ยวฉีใช้ต้อนรับซุนเช่อคืนนี้เป็นหนึ่งในสี่เรือนขึ้นชื่อของหอกำจาย ตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ซุนเช่อติดตามหลิงเอ๋อตัดผ่านตัวตึกหลักเข้าสู่ทางเดินอันคดเคี้ยวภายในอุทยานไม้ดอก อากาศยามย่ำค่ำเย็นสบาย ริมจมูกได้กลิ่นมวลบุปผา อดสูดลมหายใจลึกๆมิได้ หลิงเอ๋อหันมามองดูเขาแวบหนึ่งพลางส่งยิ้มให้เล็กน้อย เดินทางชั่วขณะก็เห็นทิศทางที่ตั้งของเรือนสดับความหอม เมื่อเพ่งตามองพบว่าเรือนน้อยปลูกอิงอยู่ริมธารน้ำ รอบข้างนอกจากมีพุ่มไม้ดอกอันงดงามแล้วยังปลูกสร้างภูเขาจำลองขนาดใหญ่ มีน้ำตกขนาดย่อมพุ่งออกมาจากภูเขาจำลอง สถานที่นี้ห่างไกลจากสิ่งปลูกสร้างหลังอื่น ผู้มาดื่มกินสามารถเสพรับความงามร่มรื่นในบรรยากาศอันเป็นส่วนตัว ที่หน้าเรือนน้อยยังผูกไว้ด้วยเรือเล็กลำหนึ่ง ซุนเช่อเองยังต้องทอดถอนชมเชยในใจ

เมื่อหลิงเอ๋อชักนำเขาเข้าสู่เรือนสดับความหอม ภายใต้แสงโคมสาดส่อง เห็นภายในห้องหับตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เครื่องเรือนที่ใช้มีราคามิใช่น้อย กึ่งกลางห้องมีโต๊ะเตี้ยจัดทำจากไม้โบราณขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง รอบโต๊ะจัดวางที่รองนั่งไว้หลายที่ ด้านทิศเหนือของห้องจัดสร้างหน้าต่างบานใหญ่เป็นพิเศษบานหนึ่งเปิดกว้างออก เพื่อให้ลูกค้าเสพรับบรรยากาศอันสุนทรีในการร่ำสุรา ที่มุมห้องยังจัดวางพิณโบราณห้าสายไว้ตัวหนึ่ง

ยามนั้นหลิงเอ๋อบอกให้ซุนเช่อสั่งสุราอาหาร ซุนเช่อจึงสั่งกับสามอย่างสุราอย่างดีหนึ่งป้าน หลังจากต้อนรับซุนเช่อเรียบร้อยก็ผละจากไป

หลิงเอ๋อพอจากไป ซุนเช่ออดลุกขึ้นยืนพลางเดินไปรอบห้องมิได้ ขณะนึกทอดถอนชมเชยรสนิยมการตกแต่งสถานที่ พลันมาหยุดอยู่หน้าพิณโบราณที่มุมห้อง ยื่นนิ้วลูบคลำสายพิณเบาๆ ครุ่นคิดขึ้นในใจ ‘พิณตัวนี้คงเป็นของเสี่ยวฉีใช้ดีดบรรเลงต้อนรับแขกเหรื่อแล้ว ดูจากลักษณะคงต้องมีมูลค่าสูงยิ่ง น่าเสียดายเราไม่แตกฉานวิชาดนตรีการ หากเป็นกงจินน้องเราคงสามารถบ่งบอกบรรยายสรรพคุณของมันจนทะลุปรุโปร่งทีเดียว’

กงจินคือชื่อทางการของโจวอวี๋ผู้เป็นสหายสนิทของซุนเช่อ คนผู้นี้มีสติปัญญาปราดเปรื่องทั้งแตกฉานดนตรีการ ซุนเช่อเมื่อเห็นพิณโบราณจึงอดประหวัดนึกถึงสหายผู้นี้มิได้

ยามอยู่ว่างไร้เรื่องราวซุนเช่อเดินไปที่บานหน้าต่าง ทอดตาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอุทยาน พลางครุ่นคิดตามลำพัง ‘คราแรกเรายังเกรงว่ารุดมาสาย ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายรอนางเสียเอง ป๋อฝูเอยป๋อฝู เจ้าสำคัญตนผิดไปแล้ว’

รอคอยชั่วขณะผู้รับใช้ก็ยกสุราและกับมาถึง ย่อกายคารวะคราหนึ่งพลางผละจากไป ซุนเช่อทรุดกายลงรินสุราให้ตัวเองจอกหนึ่ง ขณะจะยกจอกสุราขึ้นดื่มพลันได้ยินเสียงฝีเท้าอย่างแผ่วเบากระทบพื้นกระดานไม้เบื้องนอก อดชะงักวูบหนึ่งมิได้ ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างแผ่วเบาคราหนึ่ง จากนั้นเป็นสุ้มเสียงสตรีอันสดใสไพเราะดังจากภายนอกประตูว่า “โปรดอภัยที่เสี่ยวฉีมาช้า รบกวนกงจื้อต้องรอคอย”

จากนั้นนางผลักเปิดประตูอย่างแผ่วเบา เคลื่อนกายชดช้อยเข้ามาในเรือน แย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางย่อกายคารวะซุนเช่อคราหนึ่ง

ซุนเช่อผุดลุกขึ้นคารวะตอบ อดเพ่งตามองเป็นพิเศษมิได้ เสี่ยวฉีในยามนี้งามเฉิดฉันยิ่ง นางเกล้าผมบนศีรษะเป็นมวยรัดไว้ด้วยเครื่องประดับสีทองลวดลายกลีบดอก ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่เชิงยิ้มของนางกอปรด้วยเสน่ห์อันชวนรัดรึงใจ สวมใส่ชุดยาวกระโปรงรับรูปสีเขียวอ่อนเดินลายไม้ ขับเน้นทรวดทรงอันอ้อนแอ้นอรชรตลอดจนผิวพรรณที่ขาวผ่องของนาง ร่างท่อนบนพานคลุมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมสีเขียวโปร่งอีกชั้นหนึ่ง ภาพลักษณ์ที่คล้ายเปิดเผยคล้ายซ่อนเร้นของนี้สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก ช่วงเวลานี้คล้ายกับมวลบุปผารายรอบล้วนเหี่ยวเฉา ดาราพราวนภาล้วนสิ้นแสงสีไปสิ้น

ซุนเช่อกล่าวกับนางว่า “ไม่ต้องมากมารยาทแล้ว”

พลางผายมือเป็นเชิงบอกว่าให้นั่งลงค่อยสนทนา ซุนเช่อรินสุราให้นางจอกหนึ่งยิ้มพลางกล่าวว่า “จอกนี้เพื่อเป็นการปรับท่านมาสาย”

เสี่ยวฉียื่นมือรับแสร้งขมวดคิ้วคราหนึ่งพลางกล่าวตอบ “ผู้ใดว่ากัน กงจื้อนัดหมายเวลายามต้น เสี่ยวฉียังเข้าใจว่าท่านไม่รุดมา สุราจอกนี้ไหนเลยปรับข้าพเจ้าได้”

ปากแม้กล่าวเช่นนั้นยังคงดื่มสุราจอกนั้นจนหมดสิ้น เห็นนางหน้าแดงวูบ มีสีหน้าประหลาดพิกล จากนั้นระงับเป็นปกติโดยเร็ว ซุนเช่อสังเกตเห็นเช่นนั้นอดกล่าวมิได้ว่า “ท่านไม่ชมชอบดื่มสุราหรอกหรือ”

เสี่ยวฉียิ้มอย่างกระดากพลางกล่าวตอบ “ปกติข้าพเจ้าเพียงบรรเลงเพลงต้อนรับแขกเหรื่อ อย่างมากอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนอีกหลายคำ น้อยครั้งจะดื่มสุราเช่นนี้”

ซุนเช่อกล่าวอย่างเสียใจว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ อย่างนั้นท่านรับประทานอาหารเป็นเพื่อนข้าพเจ้าเป็นอย่างไร”

เสี่ยวฉีกลับสั่นศีรษะพลางกล่าวว่า “นั่นจะได้อย่างไร กงจื้อให้เกียรติข้าพเจ้าไปแล้ว”

ซุนเช่องงงันวูบ หวนนึกถึงนางทั้งไม่ดื่มสุรา หากให้ตนเองดื่มกินฝ่ายเดียว ส่วนนางนั่งเฝ้ามองตนรับประทาน นับเป็นสภาพอันใด ยามนั้นกล่าวกับนางอย่างจริงจังว่า “ท่านไม่ต้องเกรงอกเกรงใจข้าพเจ้าถึงเพียงนั้น ซึ่งความจริงข้าพเจ้าไม่คุ้นกับการมีพิธีรีตองเท่าใด หากท่านสำนึกขอบคุณข้าพเจ้าเรื่องวันวานก็วางตัวตามสบายเถอะ เรื่องนั้นหาหนักหนาสาหัสอันใดไม่”

เสี่ยวฉีแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน กล่าวกับซุนเช่อว่า “กงจื้อช่างมีน้ำใจกว้างขวางนัก โปรดให้เสี่ยวฉีบรรเลงพิณเป็นการขอบคุณกงจื้อที่ยื่นมือช่วยเหลือเสี่ยวฉีเมื่อวันวาน”

กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะพิณที่มุมห้อง ทรุดนั่งลงที่หลังพิณโบราณห้าสาย กรีดนิ้วมือไปตามสายพิณเพื่อทดสอบเสียง จากนั้นเงยหน้าขึ้นจับจ้องมองซุนเช่อคราหนึ่ง ค่อยเริ่มกรีดกรายสองมือบรรเลงบทเพลง ดนตรีช่วงแรกแผ่วเบานุ่มนวลคล้ายสายลมยามเช้าที่พัดพาความเย็นสบายให้แก่ผู้คน จากนั้นจังหวะเพลงค่อยๆเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นตามลำดับ แต่ท่องทำนองยังคงความอ่อนช้อยให้ความรู้สึกคล้ายดรุณีแรกรุ่นบังเกิดความเบิกบานใจที่ได้พบชายคนรัก สุดท้ายท่วงทำนองค่อยลดอย่างเชื่องช้าตามลำดับ ชวนให้ผู้ฟังจินตนาการถึงคู่รักที่กระซิบกระซาบบอกรักกัน เมื่อบรรเลงจบเพลงหางเสียงยังคล้ายสะท้อนแว่วอยู่ริมโสตไม่คลาย

ซุนเช่อความจริงถือจอกสุราชมดูเสี่ยวฉีดีดบรรเลงพลางจิบดื่มตามลำพัง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงถึงช่วงเร่งร้อน เห็นเสี่ยวฉีแย้มยิ้มอย่างหยาดเยิ้มพลางหลบสายตาเขาอย่างเอียงอาย เพียงอิริยาบถอันงดงามน่าประทับใจของนางก็ทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้มลอยล่อง เมื่อผสานกับบทเพลงอันอ่อนช้อยเสนาะโสต ซุนเช่อถึงกับกำจอกสุราค้างไว้เบื้องหน้า จับจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ท่าทีอุธัจเอียงอายของนางประกอบกับบทเพลงรักอันวาบหวาม ทั้งหมดคล้ายผนึกเป็นภาพความงามอันสมบูรณ์แบบภาพหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา

เมื่อบทเพลงบรรเลงจบ ซุนเช่อปรบมือสามคราพลางกล่าวชมเชยนางว่า “วันนี้ป๋อฝูได้เปิดหูเปิดตานัก ภาพนงคราญบรรเลงดุริยทิพย์นี้จะประทับอยู่ในความทรงจำข้าพเจ้าตลอดไป”

เมื่อครู่เสี่ยวฉีอาศัยบทเพลงถ่ายทอดบอกความในใจต่อซุนเช่ออย่างเปิดเผย ระหว่างดีดบรรเลงจึงเกิดความเอียงอายจนไม่กล้าสบตาซุนเช่อ ยามนี้ได้รับคำชมจากชายในดวงใจยิ่งอับอายจนหน้าแดงเข้มกว่าเดิม กอปรเป็นเสน่ห์ความงามอันเย้ายวนใจยิ่ง ยามนั้นยังคงก้มสายตากล่าวคำขอบคุณอย่างแผ่วเบา

ซุนเช่อชูจอกสุราในมือขึ้นกล่าวอีกว่า “ป๋อฝูขอดื่มให้แก่บทเพลงของแม่นางจอกหนึ่ง”

กล่าวพลางดื่มสุรารวดเดียวหมดสิ้น เสี่ยวฉีลุกขึ้นจากโต๊ะพิณ เดินถึงเบื้องหน้าโต๊ะสุรา จากนั้นทรุดกายลงนั่งด้านตรงข้ามกับซุนเช่อ ครั้นเงยหน้าขึ้นพลันสังเกตเห็นที่ต้นคอซุนเช่อคล้ายเปื้อนฝุ่นธุลีแถบหนึ่ง ขณะจะกล่าววาจาให้อีกฝ่ายปัดชำระ สายตาพลันไล่ลงมาเห็นคอเสื้อแพรสีแดงที่ซุนเช่อสวมใส่ก็เปื้อนฝุ่นจางๆเช่นกัน ทั้งมีริ้วรอยยับย่น ที่แท้เกิดจากสภาพหลังการต่อสู้กับบุรุษนิรนาม ซุนเช่อแม้ปัดป่ายฝุ่นธุลีก่อนออกเดินทาง แต่สายตาสตรีย่อมช่างสังเกตกว่าผู้คนทั่วไป มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นบุรุษที่นางพึงตาต้องใจ ข้อปลีกย่อยเล็กน้อยนี้กลับถูกนางสังเกตออกได้

เสี่ยวฉีพลันขมวดคิ้วกล่าวกับซุนเช่อว่า “กงจื้อท่านเหตุไฉนมีธุลีเปรอะเปื้อนตามร่างกาย กลับคล้ายวิวาทต่อยตีกับผู้คนก็มิปาน”

ซุนเช่องงงันวูบจากนั้นหัวร่อฮาๆพลางกล่าวตอบ “ความนี้กล่าวไปยืดยาวยิ่ง ห้องหับนี้กว้างใหญ่นัก เสี่ยวฉีท่านมิสู้เป็นเพื่อนข้าพเจ้าออกไปท่องชมทิวทัศน์เบื้องนอกแล้วค่อยว่ากล่าวเถอะ”

เสี่ยวฉีมีสีหน้าผิดหวังกล่าวเบาๆว่า “หรือว่ากงจื้อมิชมชอบสถานที่นี้”

ซุนเช่อกล่าวตอบนางว่า “สถานที่นี้ดียิ่งเพียงแต่ออกจะกว้างใหญ่ไปบ้างสำหรับสองคน ข้าพเจ้าเห็นที่หน้าเรือนผูกไว้ด้วยเรือน้อยลำหนึ่ง ให้ข้าพเจ้าพายเรือให้แก่ท่านเป็นอย่างไร”

เสี่ยวฉีปีติยินดีรับคำอย่างว่าง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งคู่จึงออกจากเรือนไม้ ลงเรือน้อยที่ท่าเล็กๆหน้าเรือน ซุนเช่อทำหน้าที่แจวเรือเข้าสู่ธารน้ำขุดของหอหอมกำจาย ธารน้ำช่วงนี้ลับตาคนเป็นพิเศษเพราะเอกลักษณ์เฉพาะของเรือนสดับความหอมคือให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ใช้บริการ รอบบริเวณเพาะปลูกด้วยไม้ดอกส่งกลิ่นหอมอบอวล ริมโสตยังสดับเสียงน้ำใสรินหลั่ง นับว่าตั้งชื่อสถานที่ได้เหมาะสมยิ่ง ดังนั้นแม้ซุนเช่อกับเสี่ยวฉีจะลอยเรือลงธารน้ำ กลับไม่มีผู้พบเห็นแต่อย่างไร

คืนนั้นพระจันทร์ขึ้นเพียงเสี้ยว หมู่ดารากลับประชันกันทอแสง แวดล้อมด้วยมวลบุปผชาติ ทั้งมีโฉมสะคราญอยู่เคียงคู่ เป็นบรรยากาศอันเพริศแพร้วนัก เสี่ยวฉีกลับประหม่าอับอายจนพูดอะไรไม่ออก เนิ่นนานค่อยกล่าวขึ้นก่อนว่า “กงจื้อยังไม่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าฟัง”

ซุนเช่อแย้มยิ้มพลางกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “บอกเล่ากลับไม่ลำบาก ขอเพียงนับแต่นี้อย่าได้เรียกข้าพเจ้าเป็นกงจื้ออันใดแล้ว ข้าพเจ้าแซ่ซุนนามป๋อฝู ท่านลองเรียกข้าพเจ้าสักคำ”

อย่างแช่มช้าเสี่ยวฉีค่อยเรียก “ป๋อฝู” เบาๆคำหนึ่ง

ซุนเช่อจับจ้องมองนาง จ้วงพายในมืออย่างแช่มช้าพลางกล่าวว่า “เช่นนี้จึงว่าง่าย ท่านมีนามเรียกหาว่ากระไร เสี่ยวฉีคงมิใช่ชื่อแท้จริงกระมัง?”

เสี่ยวฉีกล่าวเสียงอ้อยอิ่ง ว่า “ข้าพเจ้าแซ่ติงนามเหวินฉี นายหญิงกับนายผู้เฒ่าผู้ล่วงลับเรียกขานข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวฉีตั้งแต่เล็ก ผู้อื่นพอได้ยินพลอยยึดถือเรียกขานตาม”

ซุนเช่อส่งเสียงดังอ้อกล่าวถามอีกว่า “ท่านกับติงฮูหยินมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติหรือ?”

เสี่ยวฉีส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า “นายผู้เฒ่าเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า สิบกว่าปีก่อนนายท่านและฮูหยินเดินทางเข้าสู่นครหลวง ระหว่างเดินทางกลับสู่แดนเจียงหนาน พบเรือที่ใกล้อับปรางลำหนึ่งทอดขวางอยู่ที่ทางน้ำแยก ขณะจะผ่านไปทั้งสองพลันได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกผู้หนึ่ง จึงสืบเสาะดูที่เรือลำนั้น กลับพบว่าผู้คนบนเรือล้วนถูกสังหารหมดสิ้น คาดว่าคงถูกโจรร้ายปล้นฆ่าเอาทรัพย์สิน ส่วนข้าพเจ้าเป็นเพราะถูกซุกซ่อนอยู่ในห่อผ้า โจรร้ายจึงไม่ทันสังเกต กลับรอดชีวิตได้ราวปาฏิหาริย์ นายท่านทั้งสองจึงเก็บข้าพเจ้ามาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้ใช้แซ่เดียวกับพวกท่าน”

ซุนเช่อได้ยินดังนั้นบังเกิดเวทนาจิตขึ้น ยื่นมือเข้าจับกุมมือนางพลางกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ หากบิดามารดาท่านพบเห็นท่านคงบังเกิดความภาคภูมิที่มีบุตรีงดงามและมีวิชาดนตรีเป็นเลิศเช่นท่านนางหนึ่ง เหวินฉีเอย นับแต่นี้ข้าพเจ้าเรียกท่านเช่นนี้ดีหรือไม่ ? ใช่แล้วปีนี้ท่านมีอายุเท่าใด”

ติงเหวินฉีถูกเขายึดกุมมือไว้ บังเกิดความอับอายปนปีติยินดี คิดชักมือกลับแต่ร่างกายกลับคล้ายไม่เชื่อฟังคำสั่ง ได้แต่ให้เขายึดกุมมือของนางไว้ กล่าวอย่างแง่งอนว่า “ท่านผู้นี้ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น ท่านพอใจเรียกข้าพเจ้าอย่างไรก็ได้ ข้าพเจ้าปีนี้อายุสิบแปดปี”

ซุนเช่อฝืนหัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีอายุย่างสิบเจ็ดปี สมควรเรียกหาท่านเป็นเหวินฉีเจี่ย(พี่สาว)แล้ว”

ติงเหวินฉีค้อนใส่เขาคราหนึ่งพลางกล่าวตอบ “มีน้องชายเช่นท่านเกรงว่าข้าพเจ้าคงต้องถูกท่านฉวยโอกาสรังแกแล้ว”

ซุนเช่อหาปล่อยมือนางไม่ จับจ้องวงหน้าเรียวอันสดใสงามซึ้งของนาง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เหวินฉี...ครั้งนี้ข้าพเจ้ามีของฝากมาให้แก่ท่าน ท่านลองชมดูว่าชอบหรือไม่”

กล่าวจบวางพายไม้ในมือลง ล้วงมือข้างหนึ่งไปในอกเสื้อหมายหยิบสร้อยข้อมือที่ซื้อหามาฝากนาง พอยื่นมือออกมาต้องร้องโอยคำหนึ่ง ที่แท้การต่อสู้เมื่อครู่กลับกระเทือนสร้อยข้อมือจนขาดออกจากกัน หินสีที่ร้อยไว้อย่างสวยงามหลุดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซุนเซอะฝืนยิ้มคราหนึ่งกล่าวว่า “ยังคงอย่าได้เก็บไว้แล้ว คราวหน้าข้าพเจ้าจะซื้อหามาใหม่”

ติงเหวินฉีกลับยื่นมือออกยั้งมือของเขาไว้กล่าวว่า “ถึงชำรุดไปบ้างก็หาเป็นไรไม่ คุณค่าสิ่งของอาจไม่ได้อยู่ที่ใช้ได้หรือไม่ เหวินฉีจะเก็บถนอมไว้ระลึกถึงค่ำคืนนี้”

กล่าวจบก้มศีรษะลงต่ำ ซุนเซอะชมดูจนหวั่นไหวใจ โน้มกายลงค่อยๆจุมพิตแก้มของนางคราหนึ่ง ติงเหวินฉีคล้ายไม่มีเรี่ยวแรงผลักไสยอมให้เขาจุมพิตแต่โดยดี เมื่อถอนริมฝีปากจากมา ทั้งคู่ก็นั่งเคียงคู่บนเรือน้อย มือทั้งสองยังคงสัมผัสกันไว้ เนิ่นนานให้หลังเสี่ยวฉีจึงกล่าวขึ้นก่อนว่า “ท่านยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อข้าพเจ้า”

ซุนเช่อบอกเล่าคร่าวๆคราหนึ่ง เสี่ยวฉีรับฟังจนตระหนกยิ่ง ซุนเช่อก็ปลอบประโลมนางไม่ต้องกังวล เห็นจันทราลอยถึงกลางนภาเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ซุนเช่อแหงนมองท้องฟ้า มือข้างหนึ่งโอบไหล่กลมมนของนาง พลางชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านดูนภาดาวคืนนี้ช่างบรรเจิดนัก”

ติงเหวินฉีแหงนมองตาม ส่งเสียงอืมม์เบาๆคำหนึ่ง ซบกายลงในอ้อมแขนของซุนเช่อ กล่าวเสียงแผ่วเบาราวกระซิบว่า “เรื่องราวในโลกช่างแปลกประหลาดนัก นภาราตรีคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน ยามปกติคนเรามักละเลยมันไป ต่อเมื่อมีโอกาสพิเศษบางประการ ค่อยคล้ายเพิ่งรู้สึกถึงการคงอยู่ของมัน ดื่มด่ำกับความงามตามธรรมชาติ”

ซุนเช่อรับฟังจนวาบหวิวใจ กระชับร่างนางแนบแน่นกว่าเดิม ริมจมูกสูดได้กลิ่นหอมจากเรือนผมของนาง ทั้งคู่ต่างไม่กล่าวกระไรกันอีก เพียงแหงนมองชมความงามของหมู่ดาราดารดาษทั่วนภา ช่วงเวลานี้ต่างรู้สึกว่าการพร่ำจำนรรจาใดๆล้วนไม่มีความจำเป็น เพียงเสพรับความสุขของความเงียบสงบ ทั้งสองโอบกอดกันและกัน รู้สึกว่าโลกทั้งใบคล้ายมีเพียงการคงอยู่ของหนุ่มสาวทั้งคู่

ไม่ทราบกาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด รู้สึกวิกาลเริ่มคล้อยดึก ซุนเช่อจึงกุมมือนางพลางกล่าวว่า “วิกาลเริ่มคล้อยดึก ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว โอกาสหน้าค่อยมาเยือนท่านอีกเป็นอย่างไร?”

เสี่ยวฉีเงยหน้าขึ้นค้อนซุนเซอะคราหนึ่ง กล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “ท่านผู้นี้ไม่รู้จักดีชั่วนัก หากเป็นผู้อื่นต่อให้รั้งเราติงเหวินฉีไว้ ก็ไม่แน่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ด้วย ท่านกลับถึงกับออกปากขับไสไล่ส่งข้าพเจ้า นึกดูนับเป็นที่น่าคลั่งใจตายจริงๆ”

กล่าวจบแสร้งเป็นแบะปากทำหน้าล้อเลียน จากนั้นหัวร่อคิกคำหนึ่ง

ซุนเช่อเห็นนางไม่เกรงอกเกรงใจตนเองเช่นตอนแรก ก็บังเกิดความยินดี ยามนี้เห็นนางทำท่าทำทางอย่างน่ารัก ต้องยื่นมือไปหยิกแก้มนางคราหนึ่ง ค่อยยกพายไม้ที่ข้างกาย พายเข้าหาฝั่งอย่างแช่มช้า

ครั้นบรรลุถึงริมฝั่ง ทั้งสองจึงก้าวขึ้นบนฝั่ง ยามนี้ซุนเช่อกลับบังเกิดความอาลัยอยู่บ้าง ติงเหวินฉีก็ไม่พูดว่ากระไร เพียงก้มหน้ายกมือทั้งสองขมวดปลายเสื้อตัวเองเล่น ซุนเช่อยื่นมือคว้ามือของนางขึ้นมาข้างหนึ่ง ติงเหวินฉีค่อยเงยหน้าขึ้นจับจ้องมองเขา กล่าวเสียงอ้อยอิ่งว่า “ป๋อฝูเอย ท่านจะมาเยี่ยมเยียนเสี่ยวฉีอีกหรือไม่”

ซุนเช่อกล่าวตอบว่า “เหวินฉีถามอะไรเช่นนั้น ข้าพเจ้ารับปากท่าน นับแต่นี้หากมีเวลาว่าง ข้าพเจ้าต้องมาหาท่านอีกอย่างแน่นอน”

ติงเหวินฉีค่อยยิ้มออกมาคราหนึ่ง นางบอกว่าจะไปส่งซุนเช่อที่หน้าประตู ซุนเช่อพยักหน้าคราหนึ่ง ระหว่างทางที่เดินทางออกจากหอหอมกำจาย มีแขกเหรื่อหลายคนเห็นเสี่ยวฉีเดินเคียงคู่ออกมาส่งซุนเช่อ ทั้งหมดทราบว่าปกติเสี่ยวฉีไม่แยแสเหลือบแลผู้ใด ยามนี้เห็นนางคลอเคลียอยู่ข้างกายซุนเช่อ อดอิจฉาเลื่อมใสซุนเช่อมิได้ ครั้นทั้งคู่เดินผ่านประตูหน้าไปที่คอกฝากม้า ทั้งสองค่อยหยุดยืนพร่ำบอกลากันอีกชั่วครู่ ซุนเช่อย้ำว่าจะมาหานางอีกโดยเร็ว ทั้งคู่ค่อยตัดใจแยกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์

แคว้นจิงโจวมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมแดนเจียงหนานและหูเป่ย อันมหาราชอาณาจักรจีนแต่ละยุคล้วนมีคำกล่าว “เจียง-เหอเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงทั้งประเทศ” แดนเจียงหนานคือดินแดนทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางซื่อเจียงเอง ดังนั้นแคว้นจิงโจวจึงมีแม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึงตลอดจนเส้นทางน้ำต่างๆมากมาย เป็นอาณาบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเนื่องจากแดนจิงโจวมีเมืองท่ามากหลาย การค้าขายตลอดย่านน้ำใหญ่น้อยแทบถูกผูกขาดอยู่กับหัวเมืองนี้ทั้งสิ้น

ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของแคว้นจิงโจวยิ่งมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นแดนรอยต่อระหว่างจงหยวนกับภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ หากยึดครองจิงโจวไว้ได้ เท่ากับว่าสามารถใช้ทั้งเส้นทางบกและทางน้ำรุกเข้าสู่แว่นแคว้นต่างๆ ทิศตะวันออกสามารถใช้ทัพเรือรุกเข้าอาณาเขตเจียงตง ทิศใต้บุกพิชิตแดนหูหนาน ตะวันตกเลือกใช้ได้ทั้งเส้นทางบกและทางเรือเข้าสู่แดนปาสู่ ทิศเหนือข้ามแม่น้ำเข้าสู่ภูมิภาคจงหยวน เมื่อเป็นเช่นนี้แคว้นจิงโจวนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหล่าขุนศึกทั้งแผ่นดินต่างหมายเขมือบมาไว้เป็นฐานกำลังสำหรับก่อการชิงแผ่นดิน

เจ้าผู้ครองแคว้นจิงโจวมีนามว่าหลิวเปี่ยว ชื่อทางการเรียกว่าจิงเซิง เป็นเชื้อพระราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น สืบเชื้อสายตรงมาจากจักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ มีกิตติศัพท์ชื่อเสียงว่าเป็นยอดบัณฑิตผู้ทรงภูมิแห่งแผ่นดิน ทั้งมีน้ำใจกว้างขวาง จุนเจือสงเคราะห์ผู้มาพึ่งพิง แคว้นจิงโจวนั้นแต่เดิมไร้ซึ่งภัยสงคราม นับเป็นแดนสวรรค์แห่งยุคที่มีแต่สงครามชิงแผ่นดิน ดังนั้นทั้งราษฎรและขุนนางที่ประสบภัยลามจากสงครามในแดนจงหยวนจึงพากันอพยพมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก หลิวเปียวก็รับอุปถัมภ์อุ้มชูไว้ทั้งหมด ชื่อเสียงอันดีงามจึงขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว

ศักราชจงผิงปีที่หกแห่งรัชกาลฮั่นหลิงตี้ หลิงตี้เสด็จสวรรคต ในปีนั้นเกิดเหตุการณ์ชิงอำนาจภายในนครหลวง ต่งจวอฉวยโอกาสยกทัพจากแดนเหลียงโจวควบคุมนครหลวงโดยเผด็จการ เกิดความวุ่นวายโกลาหลภายในกำแพงพระนคร ขุนนางและราษฎรจำนวนมากล้มตายจากการกระทำอันป่าเถื่อนของทัพเหลียงโจว ภายนอกยังมีกากเดนที่หลงเหลือของกองโจรโพกผ้าเหลืองและกองโจรภูผาดำคอยอาละวาดปั่นป่วน เกิดความวุ่นวายไปทั่วแผ่นดิน หลิวเปี่ยวจึงประกาศตั้งตนเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นกับอำนาจของราชสำนัก ในเวลานั้นมีฝูงชนอพยพรี้ภัยเข้าสู่แคว้นจิงโจวเป็นจำนวนมาก

ครั้นต่งจวอถอดเส้าตี้ ตั้งเชี่ยนตี้เป็นจักรพรรดิสืบแทน จึงเริ่มควบคุมสถานการณ์ในนครหลวงได้เบ็ดเสร็จ ประจวบได้กิตติศัพท์ว่าหยวนเส้าเรียกระดมหัวเมืองทั้งแผ่นดินร่วมกรีฑาทัพเข้านครหลวงเพื่อโค่นล้มอำนาจตน ต่งจวอกริ่งเกรงหลิวเปี่ยวจะยกทัพจิงโจวข้ามลำน้ำประสานทัพสัมพันธมิตรบุกตีนครหลวงลั่วหยาง จึงใช้ทูตแห่งราชสำนักเดินทางไปอวยยศตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้หลิวเปี่ยว เพื่อประกาศเป็นนัยว่าตนมีเจตนาเป็นพันธมิตรด้วย หลิวเปี่ยวเห็นแก่ยศศักดิ์อำนาจทั้งยังได้พันธมิตรอันเข้มแข็งเช่นต่งจวอ ดังนั้นจึงไม่เคลื่อนทัพไปชุมนุมกับหัวเมืองทั้งสิบแปดที่ด่านหู่เหลากวาน

หลิวเปี่ยวก่อตั้งเมืองเซียงหยางเป็นธานีประจำแคว้น เมืองเซียงหยางมีโครงสร้างเมืองใหญ่โต กำแพงเชิงเทินสูงใหญ่แข็งแรง ยากต่อการจู่โจม ง่ายแก่การตั้งรับ ด้านทิศตะวันตกมีเทือกเขาสูงใหญ่รายล้อมรอบ ทิศเหนือติดแม่น้ำฮั่นสุ่ย นับเป็นเมืองใหญ่ที่แข็งแรงมั่นคงและอุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง ภายในกำแพงเมืองอันแข็งแกร่งเป็นตัวเมืองที่มีขนาดใหญ่ ถนนสัญจรหลักที่เชื่อมกับประตูเมืองทิศต่างๆมีทั้งสิ้นแปดสาย กว้างขวางเพียงพอให้ม้าสิบกว่าตัวควบเรียงหน้ากระดาน จากถนนสายหลักทั้งแปดยังตัดเส้นทางเชื่อมโยงถนนเส้นต่างๆเข้าด้วยกัน ปรากฏเป็นตรอกซอยนับจำนวนไม่ถ้วน ยังมีเส้นทางน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและคูคลองที่ขุดเจาะขึ้นโดยแรงงานมนุษย์มากมายหลายสาย การวางผังเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ตึกว่าราชการและวังของหลิวเปี่ยวตั้งอยู่ทิศเหนือของตัวเมือง

อาทิตย์อัสดงสาดแสงสีทองจากฟากฟ้าประจิมทะลุหน้าต่างเรือนน้อย สาดสะท้อนบรรยากาศยามเย็นอันสงบรื่นรมย์ นอกหน้าต่างเรือนทั้งสี่ทิศล้วนเป็นธารน้ำ ลอยไว้ด้วยพืชน้ำนานาพันธุ์ ทั้งสี่ด้านสร้างสะพานหินจากฝากฝั่งเชื่อมต่อกับประตูทางเข้าหอน้อย ออกแบบก่อสร้างอย่างมีรสนิยมยิ่ง ภายในเรือนน้อยที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนมีค่า นั่งไว้ด้วยบุรุษสตรีคู่หนึ่ง บนโต๊ะไม้เบื้องหน้ามีป้านสุราทองคำใบหนึ่ง ยังมีผลไม้นานาชนิดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ สตรีนางนั้นรินสุราใส่จอกทองที่ถืออยู่ในมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงหยาดเยิ้มมีเสน่ห์ว่า “ตลอดทั้งวันท่านคงสะสางการงานเหน็ดเหนื่อย ให้เชี่ยนเอ๋อรินสุราปรนนิบัติเซียงกง(คำเรียกสามี)ในยามว่างเถอะ”

กล่าวพลางเอนกายไปเบื้องหน้าจนใกล้บุรุษผู้นั้น ยื่นจอกสุราในมือให้ด้วยท่าทางอันยวนเสน่ห์ยิ่ง ใบหน้าอันงดงามประดับด้วยรอยยิ้ม ที่มุมปากปรากฏรอยลักยิ้มอ่อนจาง บุรุษผู้นั้นลุ่มหลงในความงามเบื้องหน้าจนยื่นมือโอบกอดเอวอ้อนแอ้นของนาง รั้งนางไว้ในอ้อมอกรับจอกสุรามา หัวร่อฮาๆพลางกล่าวว่า “ขอเพียงมีเชี่ยนเอ๋ออยู่ข้างกาย เราไม่ว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใดล้วนปลาสนาการสิ้น”

ที่แท้บุรุษสตรีคู่นี้คือหลิวเปี่ยวแห่งจิงโจวและอนุภรรยาของมัน หลิวเปี่ยวมีอายุประมาณห้าสิบปี รูปกายสูงใหญ่ บุคลิกท่วงท่าแสดงว่าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ทว่าบนเค้าใบหน้าสี่เหลี่ยมปราศจากแววเหี้ยมหาญดุร้าย ดูไปคลับคล้ายบัณฑิตใหญ่ผู้คงแก่เรียนท่านหนึ่ง ยามนี้แต่งกายเช่นบัณฑิตนักศึกษา แม้จะดูมีสง่าราศีแต่จะอย่างไรก็มีเค้าความชราภาพแล้ว ตรงกันข้ามกับสตรีที่นั่งชดช้อยอยู่ข้างกายมันอย่างสิ้นเชิง

สตรีที่อยู่ในอ้อมอกหลิวเปี่ยวมีอายุอยู่ในวัยยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี มีใบหน้ารูปวงรี คิ้วทั้งสองข้างรับกับนัยน์ตากลมโตดำขลับ ดวงตาของนางหยาดเยิ้มมีเสน่ห์ ยามกวาดมองคล้ายสามารถพร่ำจำนรรจา จมูกโด่งรับกับรูปหน้า ริมฝีปากแดงสดอิ่มเอิบ ยามแย้มยิ้มปรากฏลักยิ้มน้อยๆขึ้นที่พวงแก้มรับกับปลายคางเรียวแหลม โหนกแก้มของนางออกจะนูนสูงอยู่บ้าง แต่กลับเพิ่มความงามอันยวนเสน่ห์ ผิวพรรณทั้งกายขาวผุดผ่อง ร่างสูงระหงของนางมีทรวดทรงที่อวบอิ่มพอดี นางไม่อาจนับเป็นสตรีที่น่ารักนางหนึ่ง แต่ทว่าความงามซึ้งสดสวยตลอดจนเสน่ห์อันเย้ายวนใจของนางสามารถพรากวิญญาณบุรุษทุกรูปนามที่พบเห็น ใบหน้าที่งดงามทรงเสน่ห์อย่างสมบูรณ์แบบ ยามนี้ยังแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางประทินโฉมอย่างพอเหมาะ เครื่องประดับผมเผ้าล้วนเป็นทองคำจัดทำอย่างประณีต กอปรเป็นภาพความงามทรงเสน่ห์อย่างสมบูรณ์แบบ สตรีนางนี้คืออนุภรรยาของหลิวเปี่ยว มีนามว่าไช่อี้เชี่ยน

หลิวเปี่ยวดื่มสุราจนหมดจอก เห็นไช่อี้เชี่ยนกระเง้ากระงอดอยู่ข้างกายบังเกิดความรักเอ็นดูต่อนางอย่างเปี่ยมล้น จึงยื่นมือหยิบสาลี่ขึ้นมาจากถาด ป้อนเข้าปากนาง นางก็รับประทานอย่างว่าง่าย ยามนั้นไช่อี้เชี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะว่า “เซียงกงมีภารกิจราชการผูกมัดมากมาย ยากนักที่หาเวลามาอยู่กับอี้เชี่ยนได้เช่นนี้”

หลิวเปี่ยวกล่าวกับนางว่า “เวลานี้ปัญญาชนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาพึ่งเรา นอกจากสะสางงานราชการแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องรับรองคนเหล่านี้ ไต่ถามประวัติความเป็นมาตลอดจนสารทุกข์สุกดิบ ท่านอย่าได้น้อยใจไป ขอเพียงมีเวลาว่างสักเล็กน้อย ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว เชี่ยนเอ๋อข้าพเจ้าคงไม่ทิ้งท่านเหงาหงอยไปกระมัง?”

ไช่อี้เชี่ยนส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เชี่ยนเอ๋อย่อมเข้าใจท่าน อย่าได้ให้ข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้กิจการใหญ่ต้องเสียหายเลย ท่านแต่งตั้งญาติพี่น้องข้าพเจ้ารับตำแหน่งไม่ใช่น้อย เหตุใดไม่ใช้พวกเขาทำงานหนักแทนท่าน เพื่อแบ่งเบาไม่ให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยกังวลโดยใช่เหตุ”

หลิวเปี่ยวลูบศีรษะนาง กล่าวด้วยความยินดีว่า “เชี่ยนเอ๋อช่างดีต่อเราจริงๆ เรื่องภายนอกท่านหาคนแบ่งเบาภาระแทนข้าพเจ้า ภายในสามารถให้คำปรึกษางานใหญ่ มีภรรยาเช่นท่านยังมุ่งมาดปรารถนาอันใด?”

กล่าวจบโอบนางแนบแน่นกว่าเดิม พลางหอมแก้มนางฟอดหนึ่ง ไช่อี้เชี่ยนเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ไช่เหมาน้องชายข้าพเจ้ารับใช้ท่านเป็นอย่างไร ปฏิบัติหน้าที่ถูกใจท่านหรือไม่”

หลิวเปี่ยวกล่าวตอบนางอย่างจริงจังว่า “น้องชายท่านผู้นี้แม้อายุยังน้อย แต่ปฏิบัติหน้าที่เฉียบขาดยิ่ง ข้าพเจ้าเคยชมดูมันฝึกซ้อมกระบวนทัพเรือ พบว่ารูปขบวนเป็นระเบียบ ครั้นซักถามถึงกลยุทธ์ มันก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งเชี่ยวชาญภูมิประเทศ ความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล นับว่าทำให้ทัพเรือเราเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก”

ไช่อี้เชี่ยนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เช่นนี้อี้เชี่ยนก็วางใจแล้ว”

หลิวเปี่ยวหัวร่อฮาๆ พลางกล่าวกับนางว่า “เชี่ยนเอ๋อน่ารักเพียงนี้ เราควรสมนาคุณท่านอย่างไรดี? เช่นนี้เถอะ ให้ข้าพเจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านจนฟ้าสางดีหรือไม่”

ขณะไช่อี้เชี่ยนจะกล่าวตอบ พลันมีได้ยินเสียงคนร้องดังมาจากทิศตะวันออก น้ำเสียงแตกตื่นลนลานยิ่ง จับความได้ว่า “รายงาน.... แจ้งเหตุด่วนราชการศึก”

หลิวเปี่ยวตื่นตระหนกยิ่ง หับขวับไปพบว่าคนกล่าววาจาวิ่งกระหืดกระหอบข้ามสะพานหินมายืนอยู่หน้าประตูแล้ว ไช่อี้เชี่ยนรีบยืดตัวสำรวมกิริยา หลิวเปี่ยวมีคำสั่งให้เข้ามารายงานสถานการณ์ในห้องน้อยทันที คนผู้นั้นรายงานอย่างละเอียดว่า “รายงานราชการศึกจากแม่ทัพไช่เหมา... กองลาดตระเวนชายแม่น้ำด้านทิศทักษิณเมืองเจียงหลิง พบความเคลื่อนไหวผิดปกติที่ฝั่งตรงข้าม ครั้นส่งกองสอดแนมออกตรวจสอบพบว่า ซุนเจียนออกคำสั่งลอบระดมทัพเรือ ทั้งเกณฑ์พลทหารสามหัวเมือง ชุมนุมพล ณ ทะเลสาบต้งถิง ท่านแม่ทัพคาดการณ์ว่าซุนเจียนหมายจัดทัพพิสดารโจมตีเมืองเจียงหลิงโดยที่ฝ่ายเราไม่ทันตั้งตัว ขอนายท่านโปรดมีคำสั่งโยกย้ายเพื่อป้องกันการโจมตี”

หลิวเปี่ยวตื่นตกใจยิ่ง รีบออกคำสั่งผู้มารายงานทันทีว่า “เจ้ารีบออกไปถ่ายทอดคำสั่งเรียกประชุมด่วนคณะที่ปรึกษาทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ข้าจะออกว่าราชการทันที”

คนผู้นั้นรับคำพลางจากไปอย่างรีบร้อน หลิวเปี่ยวหันมาหาไช่อี้เชี่ยน ขณะจะเอ่ยปากกล่าววาจา ไช่อี้เชี่ยนชิงกล่าวว่า “ราชการศึกรีบร้อนคับขัน อี้เชี่ยนย่อมเข้าใจท่าน นับว่าโชคดีนักที่ไช่เหมาสืบรู้จริงเท็จก่อนจึงไม่เสียทีแก่ข้าศึก เซียงกงโปรดมอบหมายให้ไช่เหมาน้องข้าพเจ้านำทัพออกป้องกันอย่างวางใจเถอะ เมื่อรู้ความลับฝ่ายศัตรูล่วงหน้า มันย่อมไม่อาจใช้ทัพพิสดารอีกสืบไป ไช่เหมาต้องสามารถขับไล่ทัพฉางซากลับไปได้แน่นอน”

หลิวเปียวพยักหน้ากล่าวว่า “ไช่เหมารอบคอบมีผลงานจริงๆ ไม่เช่นนั้นครานี้ถูกซุนเจียนจู่โจมยังไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด ให้ข้าพเจ้าได้ปรึกษาหารือถึงรายละเอียดการดำเนินการกับเหล่าที่ปรึกษาก่อน จากนั้นจึงแต่งตั้งไช่เหมาน้องชายท่านออกรับศึก”

กล่าวจบลุกขึ้นเดินออกจากเรือนน้อย ไช่อี้เชี่ยนยังนั่งอยู่เพียงลำพัง นางเห็นหลิวเปี่ยวรับปากแต่งตั้งน้องชายนางเป็นแม่ทัพใหญ่ออกรับศึก มุมปากอดปรากฏรอยยิ้มแห่งความพึงใจมิได้

เมืองฉางซาในเวลานี้โกลาหลวุ่นวายอยู่บ้าง หมายประกาศเกณฑ์กำลังพลภายใต้คำสั่งของซุนเจียนถูกปิดประกาศตามสถานที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์เรียกตรวจพลชายฉกรรจ์ที่อยู่ในวัยสามารถทำศึกเพื่อรวมพลกับทหารประจำการ ตระเตรียมเคลื่อนขบวนเปิดศึกชิงความยิ่งใหญ่แห่งแดนเจียงหนาน

ซุนเช่อครั้นประสบความวุ่นวายภายในเมือง จึงสอบถามได้ความจากแม่ทัพหวงไก้ว่าซุนเจียนออกคำสั่งเกณฑ์ทหารเพื่อรุกรานอาณาเขตจิงโจว เขาไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมศึกครั้งสำคัญ ดังนั้นจนบัดนี้ผ่านมาหลายวันค่อยทราบได้ ยามนั้นบังเกิดความตื่นเต้นยินดียิ่ง ตั้งใจว่าจะรบเร้าบิดาให้อนุญาตเขาเข้าร่วมสงครามจึงบ่ายหน้าไปจวนที่พำนักของบิดา

ยามนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ซุนเจียนเวลาว่างจากงานราชการมักพำนักอยู่ที่ตึกหลัง ซุนเช่อจึงมุ่งหน้าผ่านตึกว่าราชการเมือง ตัดทะลุลานเอนกประสงค์เข้าสู่เขตตึกหลังทันที สอบถามได้ความจากบ่าวรับใช้ว่าซุนเจียนพักผ่อนเพียงลำพังในห้องหนังสือ ดังนั้นซุนเช่อจึงก้าวยาวๆขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง ลดเลี้ยวซ้ายผ่านห้องหับหลายหลัง ห้องหนังสืออยู่ที่สุดทางเดินเอง ปรากฏสตรีรับใช้สองนางแสดงความเคารพต่อเขา ครั้นสอบถามถึงซุนเจียน ทั้งสองเพียงชี้มือยังสุดโถงทางเดิน สีหน้าแฝงแววประหลาดพิกลอยู่บ้าง ซุนเช่อไม่ถามไถ่มากความ สาวเท้าก้าวปราดไปยังห้องหนังสือทันที จากนั้นยกมือเคาะประตูสองคราพลางกล่าวว่า “ผู้บุตรขอเข้าพบบิดา”

แต่ภายในห้องปราศจากสุ้มเสียงตอบรับแม้แต่น้อย ซุนเช่องงงันวูบจึงเคาะประตูอีกสองครา ยังคงปราศจากวี่แววใดๆโดยสิ้นเชิง เขาจึงยกมือผลักเปิดประตูออก ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เห็นซุนเจียนผู้เป็นบิดานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเพียงลำพังคล้ายถือวัตถุสิ่งหนึ่งอยู่ในมือ กับการมาของเขาซุนเจียนคล้ายไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย ซุนเช่อบังเกิดความประหลาดใจยิ่ง จึงร้องเรียกว่า “บิดา ผู้บุตรขอน้อมพบ”

ซุนเจียนยังคงไม่แยแสเหลือบแลแม้แต่น้อย ซุนเช่อลังเลใจครู่หนึ่ง ตัดสินใจก้าวไปเบื้องหน้าจนห่างจากโต๊ะที่บิดานั่งอยู่สองสามก้าว ครั้นเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้า อดตื่นตระหนกมิได้ เห็นวัตถุในมือซุนเจียนเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมสมมาตร เส้นผ่าศูนย์กลางราวห้านิ้ว มุมหนึ่งคล้ายเลี่ยมไว้ด้วยทองคำ ด้านบนยังแกะสลักรูปมังกรทะยานฟ้า สีสันขาวผ่องนวลใย สายตาอันคมกล้าของซุนเจียนเพ่งจับอยู่ที่วัตถุนี้ไม่กระพริบ บนใบหน้าบัดเดี๋ยวดูเหี้ยมหาญดุดัน บัดเดี๋ยวแปรเปลี่ยนเป็นกระหยิ่มยิ้มย่อง ซุนเช่อยามกะทันหันตื่นตะลึงจนไม่อาจกล่าววาจาใดได้

ผ่านไปชั่วอึดใจ ซุนเจียนคล้ายล่วงรู้การมาของบุตรชาย ค่อยเบือนสายตามองมาที่ซุนเช่ออย่างแช่มช้า ในมือกลับยังกำวัตถุสิ่งนั้นแนบแน่น ซุนเจียนคล้า่ยประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “เช่อเอ๋อ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด?”

ซุนเช่อกล่าวตอบบิดาอย่างนอบน้อมว่า “ผู้บุตรทราบว่าบิดาคิดเข้าตีจิงโจว คราครั้งนี้จึงตั้งใจขอบิดาอนุญาตให้ผู้บุตรเข้าร่วมสงคราม”

ซุนเจียนหัวร่อฮาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอันห้าวหาญดุดันว่า “มีอันใดไม่ได้ ? การศึกครานี้เราความจริงตั้งใจให้เจ้าเข้าร่วมอยู่แล้ว เมื่อบดขยี้เจ้าเฒ่าหลิวเปี่ยวจนสิ้นซาก จะเป็นเวลาที่เราซุนเจียนผงาดขึ้นเป็นขุนศึกอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว”

กล่าวจบหัวร่อด้วยความพลุ่งพล่านพลางลุกขึ้นยืน ในมือยังถือวัตถุสี่เหลี่ยมสมมาตรชิ้นนั้น สายตากลับจับจ้องไปที่ของสิ่งนั้นราวถูกดึงดูด ซุนเช่อยามนี้ตื่นตระหนกต่อภาพเบื้องหน้าจนขนลุกเกรียวอยู่บ้าง นับตั้งแต่เขาจำความได้ ไม่เคยเห็นบิดาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน ซุนเจียนสาวเท้าผ่านข้างกายซุนเช่อ หยุดยืนอยู่กลางพื้นที่ว่างห้องหนังสือ จากนั้นชะงักเสียงหัวร่อกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า “ ลูกเช่อเจ้าล่วงรู้หรือไม่ เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะรวมแคว้นตงอู๋เข้าไว้ในอาณาเขต จากนั้นอาศัยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน อาศัยบรรดาขุนศึกทั้งหลายในแผ่นดินมีผู้ใดเป็นคู่มือเราได้อีก? เมื่อแดนเจียงหนานอยู่ในกำมือเราแล้ว ข้าจะยกทัพใหญ่ข้ามลำน้ำบุกตีนครหลวง เซ่นสังเวยต่งจวอใต้คมดาบ เมื่อถึงยามนั้น...ฮาๆ”

ซุนเช่อรู้สึกพิศวงอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาแม้ซุนเจียนจะผ่านศึกหลายครั้งครา แต่ไม่เคยมีอาการเยี่ยงนี้แม้แต่ครั้งเดียว ยามนั้นได้แต่กล่าวตอบว่า “ผู้บุตรยินดีที่บิดาวางแผนการใหญ่ปราบจลาจลในแผ่นดิน เรื่องราวหากสำเร็จบิดาย่อมเป็นผู้มีความดีความชอบอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว”

ซุนเจียนพลันหันขวับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฮอะ...ผู้มีความชอบอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ตำแหน่งนี้เป็นผู้ใดแต่งตั้งกัน?”

ซุนเช่อตะกุกตะกักตอบ “ย่อมเป็น...โอรสสวรรค์”

ซุนเจียนพลันแผดเสียงหัวร่อดังลั่น พลางกล่าวว่า “อาศัยเด็กน้อยเชี่ยนตี้ก็คิดแต่งตั้งเราเป็นผู้มีความชอบอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน? ต่อมันประเคนยศเฉิงเซี่ยงแก่เราในบัดดล เรายังไม่ต้องการ .... วันใดที่เราตีนครหลวงแตก จะเป็นเวลาที่ราชวงศ์ฮั่นถึงกาลดับสูญแล้ว”

ซุนเช่อไม่อาจสะกดจิตระงับอีกต่อไป โพล่งออกไปด้วยความตระหนกว่า “บิดาว่ากระไร ท่านคิดล้มล้างราชวงศ์ฮั่น?”

ซุนเจียนฉับพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม สาวเท้าถึงเบื้องหน้าซุนเช่อจนซุนเช่อบังเกิดความตระหนกต้องถอยกายไปหลายก้าว ซุนเจียนยังคงสาวเท้าตาม ปากกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดุร้ายว่า “นี่มีอันใดไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะกลายเป็นขุนศึกที่มีอิทธิพลสูงสุดในแผ่นดิน ทอดตาทั่วแผ่นดินไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรได้อีกต่อไป เช่นนี้ข้ามีความจำเป็นอันใดต้องถวายบังคมแก่เด็กน้อยหลิวเซี่ย... เจ้าไม่เห็นอยู่ต่อหน้าหรืออย่างไร ตราราชลัญจกรอันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชันย์ตั้งแต่ยุคจ้านกว๋อสืบมาถึงแผ่นดินฉิน-ฮั่น มาบัดนี้อยู่ในเงื้อมมือข้า เห็นแน่ชัดอาณัติสวรรค์อยู่ที่ข้า”

กล่าวพลางยกวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสมมาตรในมือขึ้นที่เบื้องหน้าซุนเช่อ ที่แท้คือตราราชลัญจกรหยกเหอซื่ออันเลื่องลือนั่นเอง สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความทะเยอะทะยาน จากนั้นกล่าวต่ออย่างเร่งร้อนว่า “เมื่อข้าปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิราชวงศ์ใหม่ ชื่อเสียงอานุภาพจะถูกกล่าวขานจารึกไปเป็นพันปี ผู้ใดคล้อยตามเราจึงอยู่รอด ผู้ใดขัดขวางเราย่อมต้องตาย ฮาๆ... เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นไทจือเป็นอย่างไร? มารดาเจ้าย่อมเป็นฮองเฮา น้องเจ้าทั้งหลายย่อมต้องเป็นอ๋อง ฮาๆ”

ขณะกล่าววาจาซุนเจียนเพ่ง สายตาจับจ้องตราลัญจกรหยกไม่กระพริบ ยามนั้นซุนเช่อไม่อาจสะกดกลั้นใจสืบไป ยื่นมือออกไปเบื้องหน้าคว้าดึงตราลัญจกรหยกจากเงื้อมมือบิดา พฤติการณ์นี้ไม่ได้ผ่านการยั้งคิดแม้แต่น้อย เพียงลงมือตามสัญชาตญาณที่แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถบ่งบอกบรรยายได้

ซุนเจียนไม่ทันระมัดระวังกลับถูกบุตรชายแย่งชิงตราลัญจกรหยกหลุดมือไปอย่างง่ายดาย พริบตาที่ตราลัญจกรอยู่ในเงื้อมมือซุนเช่อ พลันบังเกิดอาการประหลาดชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถบ่งบอกบรรยายได้แล่นผ่านจากฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย คล้ายกับว่าร่างกายของเขายืดขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า บังเกิดพละกำลังความฮึกหาญเปี่ยมล้น แต่ฉับพลันรู้สึกลำคอตึงวูบ ได้ยินบิดาร้องเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าคิดทำอันใด?”

ซุนเช่องงงันวูบ พบว่าถูกบิดาคว้ากระชากคอเสื้อดึงไปเบื้องหน้า ยามนั้นรู้สึกตัวรีบวกมือไปด้านหลังวางตราลัญจกรลงบนโต๊ะทำงานซุนเจียนอย่างแผ่วเบา จับจ้องมองบิดาด้วยความพิศวง ทันใดเห็นใบหน้าบิดาค่อยๆผ่อนคลายทีละน้อย จากนั้นคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวว่ายึดจับคอเสื้อบุตรชายอยู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยากยิ่ง คลายข้อมือจากการยึดกุมคอเสื้อซุนเช่อ จากนั้นหันหลังให้แก่บุตรชายตนเอง กล่าวเสียงอ่อนล้าแผ่วเบาว่า “เราอนุญาตเจ้าออกศึก ตอนนี้เราคิดพักผ่อนเพียงลำพัง เจ้าออกไปเถอะ”

ซุนเช่อรับคำคราหนึ่ง หันกายออกจากห้องไป หากเป็นยามปกติเขาคงยินดีที่บิดาอนุญาตเขาให้ติดตามกองทัพได้ แต่ความตระหนกที่ได้รับเมื่อครู่กลบความยินดีไปสิ้น หวนนึกถึงความรู้สึกแปลกประหลาดขณะสัมผัสลัญจกรหยก ยังมีบิดาพอคลายมือจากการยึดกุมของสิ่งนั้น คล้ายแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ประกอบกับเมื่อครู่ตอนเขาพบหญิงรับใช้สองนาง พวกนางล้วนมีสีหน้าท่าทีผิดปกติ เขาสังหรณ์ใจในบัดนั้นว่าตราลัญจกรอันลี้ลับนี้แฝงปริศนาอันน่าสะพรึงกลัวประการหนึ่ง










Create Date : 10 มิถุนายน 2553
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 2:43:29 น. 2 comments
Counter : 824 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:12:59:04 น.  

 
ขอบคุณนะครับ

ที่จริง3ตอนแรกนี้ผมแต่งไว้นานแล้วล่ะครับ แต่เพิ่งเอามาลงblog(เพราะเพิ่งสมัคร)ครับ ^^


โดย: ElClaSsicA วันที่: 12 มิถุนายน 2553 เวลา:3:54:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ElClaSsicA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ElClaSsicA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.