Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
6 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
บทที่2 : ประชุมศึกจิงโจว

ประชุมศึกจิงโจว

ตึกผู้ว่าราชการจังหวัดฉางซาตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง แม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตโอฬารประดับประดาหรูหราหากเทียบกับหัวเมืองใหญ่อื่นๆ แต่สำหรับกับหัวเมืองทางภาคใต้สุดของราชอาณาจักรก็ดูภูมิฐานมิน้อยเลยทีเดียว

ตัวเมืองย่านทิศตะวันออก ตก เหนือและใต้เป็นย่านที่อยู่อาศัยตลอดจนชุมชนการค้าขายต่างๆของชาวเมืองโดยมีถนนเส้นหลักรวมทั้งหมดสี่เส้นจากประตูเมืองทิศต่างๆมาบรรจบกันที่จุดใจกลางของตัวเมือง นอกจากถนนสายหลักแล้วยังมีการตัดถนนเข้าตามตรอกซอยต่างๆเพื่อเชื่อมโยงถึงกัน การเดินทางในตัวเมืองนี้จึงค่อนข้างสะดวกสบาย ณ ตำแหน่งที่ถนนสายหลักจากประตูเมืองทั้งสี่ทิศมาบรรจบกันนั้นถูกขนานนามว่าจัตุรัสฉางซา เป็นที่ตั้งของที่ทำการต่างๆของทางการรวมถึงโรงฝึกทหารโดยแต่ละกรมกองจะมีกำแพงขนาดย่อมโอบล้อม มีการตัดถนนหนทางและทางระเบียงเชื่อมติดต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ เขตของทางการนี้จะมีการวางเวรยามรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา ถัดเข้าไปภายในจึงเป็นตึกผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นที่ออกว่าราชการเมือง และที่อยู่อาศัยของเจ้าเมือง มีกำแพงโอบล้อมมั่นคงแข็งแรง การรักษาการณ์เข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าจุดใดๆในตัวเมืองแห่งนี้

ภายในตึกผู้ว่าราชการเมืองนี้แบ่งออกเป็นสี่คูหาหลัก ตัวตึกหลักส่วนหน้าเป็นตึกสำหรับว่าราชการเมือง ออกขุนนาง ตัดสินปัญหาคลี่คลายคดีต่างๆ ตัวตึกส่วนหลังเป็นจวนเจ้าเมืองคือที่อยู่อาศัยของผู้เป็นเจ้าเมืองและครอบครัว ระหว่างตึกหน้าและตึกหลังมีลานเอนกประสงค์เชื่อมติดต่อกันเป็นที่สำหรับจัดกิจกรรมหรือฝึกฝนอาวุธของซุนเจียนผู้เป็นเจ้าเมือง ตัวตึกตะวันออกเป็นห้องพักรับรองแขกเหรื่อซึ่งปลูกสร้างอยู่ท่ามกลางอุทยานอันร่มรื่นเย็นสบาย มีต้นไม้ภูเขาจำลองตลอดจนสะพานไม้และทางระเบียงคดเคี้ยว แม้ขนาดไม่ถึงกับใหญ่โตแต่ตกแต่งได้อย่างมีรสนิยมยิ่ง ตัวตึกตะวันตกเป็นที่ตั้งของที่ทำการองครักษ์ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการระบบรักษาความปลอดภัยเขตตึกผู้ว่าราชการเมือง ภายใต้ลักษณะความภูมิฐานยังให้ความรู้สึกอันสงบเคร่งขรึม การก่อสร้างจัดวางตำแหน่งล้วนแบ่งแยกอย่างมีระเบียบ

ยามนี้ภายในห้องว่าราชการเมืองปรากฏชายกลางคนร่างสูงใหญ่ลักษณะเคร่งขรึมสง่างามผู้หนึ่งนั่งครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดบนเก้าอี้ไท่ซือ เบื้องหน้าเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ขณะนั่งครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่นั้นในมือของเขากำสาสน์ที่ทำจากแผ่นไม้ฉบับหนึ่ง พิศดูจากลักษณะท่าทางแล้วแสดงว่าสาสน์ฉบับนี้มีความสำคัญยิ่ง

ชายกลางคนผู้นี้คือซุนเจียนผู้เป็นเจ้าเมืองฉางซาเอง ซุนเจียนมีอายุสามสิบหกปี ชื่อทางการเรียกว่าเหวินไถ รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ตลอดทั้งร่างปรากฏกล้ามเนื้อบึกบึนอันแสดงถึงความเข้มแข็งมีพลัง ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเคราใดๆแต่แฝงไว้ด้วยริ้วรอยแห่งความเหี้ยมหาญตรากตรำซึ่งเป็นริ้วรอยจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการผ่านศึกสงครามมานับครั้งมิถ้วน ภายใต้หน้าผากอันผายกว้างโหนกนูนประดับไว้ด้วยขนคิ้วดกหนา ประกายตาคมวาว จมูกโด่งตั้งตรงเป็นสัน นับว่าเป็นชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง ได้รับการขนานฉายาว่าเจ้าพยัคฆาแห่งเจียงตง ซุนเช่อผู้บุตรมีใบหน้าคลับคล้ายบิดาอยู่หลายส่วน

สาสน์ลับฉบับนี้ถูกส่งตรงถึงมือซุนเจียนตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากซุนเจียนได้อ่านอย่างละเอียดทั้งนั่งตรึกตรองใช้ความคิดเพียงลำพัง ชั่วระยะเวลาหนึ่งพลันออกคำสั่งเรียกประชุมนายทัพและที่ปรึกษาเป็นการด่วน แสดงว่าข้อความในสาสน์ฉบับนี้มีความสำคัญยิ่ง

รอคอยชั่วขณะปรากฏผู้คนหกคนรุดมาถึงห้องว่าราชการ หลังทำการคารวะเสร็จสรรพต่างแยกย้ายนั่งลงประจำตำแหน่งของตนเอง บุคคลทั้งหกต่างเป็นบุคคลสำคัญประจำกองทัพใต้สังกัดซุนเจียนทั้งสิ้น นอกจากนายทัพหวงไก้และเฉิงผู่แล้วยังมีขุนพลคู่ใจซุนเจียนอีกผู้หนึ่งมีนามว่าหานตังมีรูปกายกำยำบึกบึนสมเป็นนายทหาร บุคลิกเงียบขรึมเพียงดูจากลักษณะภายนอกก็คาดเดาได้ว่าเป็นบุคคลที่ยากตอแยผู้หนึ่ง บุคคลที่เหลือประกอบด้วยบุรุษวัยสามสิบเศษไว้หนวดเหนือริมฝีปาก รูปร่างสันทัดแต่ยามเดินเหินบุคลิกท่วงท่าบ่งบอกถึงสง่าราศี ลักษณะท่าทางเคร่งขรึมจริงจังมีนามว่าซุนจิ้งเป็นน้องชายของซุนเจียนเอง บุรุษอีกผู้หนึ่งมีรูปลักษณะสูงสง่ามีอายุอยู่ในวัยสามสิบปี หน้าตายังไม่จัดว่าหล่อเหลานักแต่ดูไปคล้ายคุณชายผู้สูงศักดิ์เจ้าสำราญผู้หนึ่งสวมใส่อาภรณ์เลิศหรู ผิวกายขาวผ่องเหนือริมฝีปากไว้หนวดเคราเล็กน้อยมีนามว่าอู๋จิ้งมีศักดิ์เป็นน้องภรรยาของซุนเจียนอีกฐานะหนึ่ง ส่วนบุรุษคนสุดท้ายแต่งกายเช่นบัณฑิตนักศึกษามีหน้าตาหนักแน่นเยือกเย็น ภายใต้ความเคร่งขรึมเสมือนซ่อนภูมิปัญญาอันลึกล้ำ บัณฑิตผู้นี้เป็นที่ปรึกษาของซุนเจียนมีนามว่าจูจื่อ

ซุนเจียนกวาดสายตามองทุกผู้คนแวบหนึ่งพลางเอ่ยขึ้นว่า “สาเหตุที่ข้าพเจ้าเรียกทุกท่านร่วมประชุมด่วนเพราะสาสน์ลับของหยวนซู่ถูกส่งมาเมื่อสองชั่วยามก่อน หลักใหญ่ใจความคือมันตั้งใจกระพือยุยงให้เราเคลื่อนทัพตีหลิวเปียวแห่งจิงโจว ส่วนมันจะตั้งหลักอยู่ภาคกลางคอยขัดขวางกองกำลังที่จะเคลื่อนทัพสนับสนุนหลิวเปียว พวกท่านทั้งหลายมีความเห็นประการใด”

หวูจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นก่อนว่า “เพียงไม่ทราบทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใดต่อหยวนซู่”

ซุนเจียนแค่นเสียงดังเฮอะพลางกล่าวตอบ “ยังไม่ใช่เพราะความโลภทะเยอทะยานของมันหรอกหรือ ภายหลังเสร็จศึกที่ด่านหู่เหลา ขุนศึกทั้งแผ่นดินต่างเร่งเพาะสร้างขุมกำลังขยายอำนาจ หยวนซู่เองย่อมมีความคิดช่วงชิงความยิ่งใหญ่เช่นกัน จึงแสร้งขอยืมเสบียงจากหลิวเปียว น่าหัวร่อสิ้นดี มันเองครองนครโซ่วชุนมีอิทธิพลบารมีสะท้านบูรพาทิศ ไหนเลยขาดแคลนทรัพยากรใดๆ ที่ทำเช่นนี้เพียงเพื่อประกาศศักดาข่มหลิวเปี่ยว มิคาดเฒ่าแซ่หลิวแห่งจิงโจวไม่หวั่นไหวคล้อยตามปฏิเสธบอกปัดอย่างไร้ไมตรี จึงเพาะชนวนความโกรธแค้นแก่มันขึ้น”

ที่ปรึกษาแต่งกายเช่นบัณฑิตนามจูจื่อกล่าวถามขึ้นว่า “วิเคราะห์จากเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ย่อมเป็นเหตุบาดหมางส่วนตัวอันเล็กน้อยยิ่ง หยวนซู่คิดใช้ให้ฝ่ายเรากรีฑาทัพบุกแคว้นจิงโจว สมควรที่จะมีเหตุผลว่ากล่าวที่ดีกว่านี้”

ซุนเจียนกล่าวตอบว่า “มันย่อมต้องประดิษฐ์ถ้อยคำในสาสน์จนสวยหรูโดยกล่าวว่ามันกับหยวนเส้าผู้พี่เกิดเรื่องบาดหมางกัน จึงถือโอกาสนี้กรีฑาทัพขึ้นเหนือเปิดศึกร่วมตระกูล ทั้งระหว่างการเดินทัพจะแสดงแสนยานุภาพสะกดกลุ่มกำลังภาคกลางไม่ให้เคลื่อนไหวลงใต้ช่วยเหลือหลิวเปียวได้ เป็นการเปิดทางให้เราบุกตีแคว้นจิงโจวเป็นการชำระแค้นที่ครั้งก่อนเคยถูกหลิวเปียวสกัดโจมตีระหว่างทาง”

แม่ทัพหวงไก้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สองพี่น้องแซ่หยวนแม้จะต่างมารดา แต่หากบอกว่าหยวนซู่จะบุกตีแดนเหอเป่ย เกรงว่ายากจะเชื่อถือได้”

ซุนเจียนหัวเราะพลางกล่าวว่า “เหตุผลตื้นเขินเช่นนี้มันเองย่อมต้องดูออกว่าหลอกเราไม่ได้ ที่ทำเช่นนี้เพื่อแสดงบารมีทดสอบว่าเรายอมฟังคำบงการจากมันหรือไม่เท่านั้น”

แม่ทัพหานตังกล่าวเสียงทุ้มหนักว่า “แม้นนายท่านจะเคยแสดงตนเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับหยวนซู่ แต่หากมันใช้ให้ทัพเราเข้าสู่สงครามโดยปราศจากเหตุผลเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามโดยเปล่าประโยชน์”

ที่ปรึกษาจูจื่อยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นว่า “มันปราศจากเหตุผลที่จะช่วงใช้เราจริงแล้ว แต่ไม่แน่นักว่าการเปิดศึกครั้งนี้จะไร้ประโยชน์ต่อฝ่ายเราเสียทีเดียว”

ซุนจิ้งผู้เป็นน้องชายของซุนเจียนมองไปทางจูจื่อแล้วเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรกว่า “ขอรับทราบรายละเอียด”

จูจื่อโคลงศีรษะพลางอธิบายว่า “สาสน์จากหยวนซู่ครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสที่หายากยิ่งให้ฝ่ายเราชำระหนี้แค้นโดยประโยชน์ที่คาดหมายได้อยู่ที่หยวนซู่เกิดผิดใจกับหลิวเปียว วิเคราะห์ตามภูมิศาสตร์แล้วหากหลิวเปียวขอความช่วยเหลือจากกองกำลังอื่นใดทางภาคกลางย่อมต้องเคลื่อนทัพผ่านแดนของหยวนซู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ใดคิดเป็นอริกับหยวนซู่โดยเปิดเผย ?”

หยุดเล็กน้อยพลางกวาดสายตาผ่านหน้าทุกผู้คนแล้วจึงกล่าวสืบต่ออย่างแช่มช้า “ในสถานการณ์เช่นนี้ขุมกำลังที่สามารถส่งทัพสนับสนุนจิงโจวมีเพียงทัพนครหลวง แต่ต่งจวอโหดเหี้ยมกักขฬะ หลังจากยึดครองอำนาจไม่สามารถได้ใจผู้คน ทั้งครั้งก่อนเผานครลั่วหยางหนีการติดตามของทัพฝ่ายเรา ขณะนี้ยังจัดการเรื่องภายในนครฉางอานซึ่งเป็นราชธานีแห่งใหม่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ประกอบกับระย่นย่อต่อเกียรติภูมิของนายท่าน ย่อมไม่สามารถส่งกองทัพสนับสนุนหลิวเปี่ยวได้ ดังนั้นหากฝ่ายเราเปิดศึกกับจิงโจวในเวลานี้จะสามารถโดดเดี่ยวฝ่ายมันไม่ สามารถขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของขุนศึกใดๆ ตามความเห็นอันโง่เขลาของข้าพเจ้า โอกาสเช่นนี้นับว่าหายากยิ่ง หากล่าช้าเกรงว่าสถานการณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง”

ขณะที่กล่าวแววตาจูจื่อทอประกายกระตือรือร้น แสดงจุดยืนสนับสนุนการเปิดศึกอย่างเห็นได้ชัด

แม่ทัพเฉิงผู่มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แสดงความเห็นต่อที่ประชุมเป็นครั้งแรกว่า “มาตรแม้นเป็นเช่นนั้นแต่ทัพเราได้รับความบอบช้ำจากสงครามที่ด่านหู่เหลาและประสบความเสียหายจากการถูกทัพจิงโจวซุ่มตีในคราก่อน แม้ว่านายท่านได้ออกคำสั่งไปยังสามหัวเมืองให้เร่งฝึกปรือรี้พลให้ชำนาญการศึก สะสมเสบียงยุทโธปกรณ์ให้พรั่งพร้อม ทั้งต่อเรือรบสำหรับทำยุทธนาวี แต่เกรงว่าช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูอันน้อยนิดนี้มิอาจฟื้นฟูศักยภาพอันเกรียงไกรของทัพเราได้”

กล่าวจบขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงแจกแจงสถานการณ์ต่อไป “ส่วนแดนจิงโจวมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ประชากรหนาแน่น เสบียงอาหารยุทโธปกรณ์ล้วนบริบูรณ์ หลิวเปี่ยวได้รับการหนุนหลังจากต่งจวอจึงไม่ยาตราทัพเข้าร่วมกับพันธมิตรกวนตง ทัพจิงโจวขณะนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ถึงขีดสุด ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่านายท่านไม่สมควรเคลื่อนทัพโดยผลีผลาม”

ซุนเจียนฟังจบจึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เต๋อโหมวกล่าวมาช่างมีเหตุผล แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมามิมีวันใดที่เราไม่ครุ่นคิดถึงอุบายการศึกกลืนผนวกจิงโจว เราเห็นพ้องกับจูเซียนเซิง(คำยกย่องผู้ทรงภูมิแซ่จู)ว่านี่นับเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาอย่างแท้จริง ข้อที่ท่านแจกแจงผลได้ผลเสียนั้นเราเห็นจริงแล้ว ทว่าแคว้นจิงโจวนั้นตลอดมาไม่เคยมีภัยสงครามใดกรายเข้าสู่เขตแดน พลทหารว่างเว้นจากการศึกเป็นเวลานาน แต่ฝ่ายเราทั้งตัวนายแลพลทหารต่างเข้าสู่สงครามจนเจนจัดสิ้น ดังนี้หากเรามีแผนการอันประเสริฐมิใช่ว่าการถล่มจิงโจวในครานี้จะเป็นไปไม่ได้”

เต๋อโหมวคือชื่อทางการของเฉิงผู่เอง

พลางยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมแล้วอธิบายแผนการของตนสืบต่อ “ฟังว่าหลิวเปียวลุ่มหลงในความงามของอนุภรรยาแซ่ไช่จนกระทั่งแต่งตั้งญาติพี่น้องของสตรีนางนี้เป็นใหญ่ในการทหาร โดยให้ไช่เหมาผู้น้องภรรยาขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งแว่นแคว้น เรากลับยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ทว่าเพื่อเป็นการไม่ประมาทเราจะแสร้งปล่อยข่าวลวงว่ารวมทัพเรือทั้งหมด ณ ทะเลสาบต้งถิงเตรียมบุกตีเจียงหลิงกระทั่งขึ้นเหนือล้อมเซียงหยางธานีของมัน ดังนี้เฒ่าแซ่หลิวต้องตระหนกจนบัญชาไช่เหมาลงใต้มารับทัพเราทางเมืองเจียงหลิง ช่วงเวลานั้นเราจะเคลื่อนทัพพิสดารอ้อมออกบูรพาทางเมืองไฉซ่าง ตัดแม่น้ำฮั่นสุ่ยขึ้นเหนือเข้าตีเซียงหยาง”

ขณะที่ซุนเจียนกล่าว ทุกผู้คนต่างรับฟังอย่างจดจ่อ ซุนเจียนระบายลมหายใจคราหนึ่งพลางกล่าวต่อ “ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องเผชิญการต่อต้านจากกองทัพของหวงจู่ที่หลิวเปี่ยวมอบหมายให้รักษาเมืองเจียงเซี่ย น่าหัวร่อหลิวเปี่ยวขนานนามตนเองว่าเป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิแห่งแผ่นดินกลับใช้สอยคนโฉดเขลาผู้นี้มารักษาหน้าด่านบูรพาแห่งแคว้น หากแผนการเราสัมฤทธิ์ผล กว่าหวงจู่จะรู้ว่าทัพเราอ้อมบุกจู่โจมมาทางมันคงฉุกละหุกจนแทบไม่ทันตั้งตัว ย่อมไม่อาจขอทัพสนับสนุนจากหลิวเปี่ยวทันเวลา เมื่อเราขยี้ทัพเรือที่เจียงเซี่ยจนหมดสิ้นค่อยยกทัพล่องทวนน้ำขึ้นบกทางทิศอุดรเมืองเซียงหยาง ใช้ความห้าวหาญของทัพเราบดขยี้ทัพจิงโจวให้ราบคาบ จากนั้นบุกยึดเข้านครเซียงหยางผนวกแคว้นจิงโจวให้อยู่ภายใต้อาณาเขตแห่งเรา”

กล่าวจบหัวเราะดังๆด้วยความลำพองอย่างยาวนาน

เหล่านายทัพและที่ปรึกษาทั้งหลายต่างแสดงความเห็นยกย่องในแผนการของ ซุนเจียน แต่นายทัพเฉิงผู่มีจิตใจละเอียดรอบคอบกว่าหวงไก้และหานตังที่เปิดเผยห้าวหาญ จึงรู้สึกประหลาดใจต่อท่าทีของซุนเจียนครั้งนี้ยิ่งนัก ที่ผ่านมาแม้ซุนเจียนจะห้าวหาญเชี่ยวชาญในการศึกแต่ไม่เคยแสดงท่าทีอันประมาทลำพองผยองเช่นนี้มาก่อน ส่วนบัณฑิตจูจื่อมาตรว่าปกติจะละเอียดลึกซึ้งแต่เห็นนายเหนือตนเห็นพ้องด้วยความคิดตนเองจึงบังเกิดความปีติยินดีไม่ทันสังเกตข้อปลีกย่อยนี้ มาตรว่าเฉิงผู่จะรู้สึกผิดปกติไปบ้างแต่ยังเห็นด้วยกับแผนการบุกครั้งนี้จึง ไม่ติดใจสืบไป

ซุนจิ้งผู้น้องกลับขัดขึ้นว่า “แผนการศึกของพี่ใหญ่ประเสริฐจริงแล้ว แต่ความเสี่ยงกลับสูงเป็นทวีเช่นกัน ด้วยเส้นทางเดินทัพตามแผนการต้องขึ้นเหนือตัดแม่น้ำห่างไกลจากเมืองเรายิ่งนัก หากเกิดการผิดพลาดเกรงว่ากองทัพจะได้ความเสียหายอย่างไม่อาจประเมินได้ อีกประการฝ่ายเรายังทะนุบำรุงกองกำลังไม่พร้อมสรรพ ราษฎรถูกเกณฑ์เข้ารบทัพจับศึกบ่อยครั้ง ศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ที่อาจชี้ชะตาฝ่ายเราได้ ความเห็นผู้น้องจึงควรบำรุงกำลังให้พร้อมสรรพ เมื่ออานุภาพกองทัพเราเกรียงไกรถึงขีดสุดจึงค่อยเปิดศึกจึงเป็นแผนการอันปลอดภัยสมบูรณ์”

ซุนเจียนหันมามองผู้น้องพลางขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “จะกังวลใดกับการเดินทัพทางไกล แม้ฝ่ายเราไม่อาจพักพลอยู่ในแม่น้ำก็จริงแต่เราสามารถยึดเมืองเจียงเซี่ยเป็นฐานที่มั่นไว้สำหรับรุกหรือถอยได้ สถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่อาจยืดเวลาให้เนิ่นออกไปได้ เนื่องด้วยเจ้านครต่างๆกรีฑาทัพช่วงชิงอำนาจไม่หยุดหย่อน เมื่อหยวนซู่เสนอโอกาสเช่นนี้ให้เราย่อมต้องรีบคว้าไว้”

ซุนจิ้งเห็นผู้พี่แสดงความไม่พอใจดังนั้นจึงสงบปากคำไว้ ในใจลอบประหลาดที่เหตุใดครานี้ซุนเจียนผู้พี่กลับแสดงอาการฉุนเฉียวออกมาอย่างเห็นได้ชัด

อู๋จิ้งผู้น้องภรรยากล่าวถามขึ้น “หยวนซู่คิดแสดงอำนาจบังคับให้ทัพเราเข้าตีจิงโจว เกรงว่าหากแผนการของพี่ใหญ่สำเร็จจริง มันคงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน”

ซุนเจียนแค่นเสียงดังเฮอะกล่าวว่า “ไม่ยินยอมยังจะทำอย่างไรได้ บัดนี้ข้าจะมอบหมายแผนการให้น้องเราไปปฏิบัติก่อนผู้อื่น ท่านจงนำทหารสองพันนายเร่งออกเดินทางภายในสามราตรีนี้สู่เมืองตันหยาง จงเร่งเกลี้ยกล่อมชาวแคว้นตงอู๋ให้เป็นใจด้วยเรา เมื่อเสร็จศึกจิงโจวแล้วข้าจะมอบหมายให้นายทัพหนึ่งคุมกองกำลังสักหนึ่งหมื่นนายเข้าสมทบกับท่านเร่งรวมแคว้นตงอู๋เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวด้วย”

ตระกูลอู๋ซึ่งเป็นตระกูลของภรรยาซุนเจียนมีอิทธิพลในท้องถิ่นแคว้นตงอู๋อย่างสูง อู๋จิ้งเองก็มีศักดิ์เป็นเจ้าเมืองตันหยาง ครานั้นกิตติศัพท์ชื่อเสียงการทำศึกของซุนเจียนโด่งดังทั่วแผ่นดินประกอบกับเป็นเขยขวัญของผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น ชาวเมืองแคว้นอู๋ต่างยกย่องนับถือในตัวซุนเจียนเป็นอย่างยิ่งจึงมีโอกาสที่ซุนเจียนจะรวมแคว้นอู๋เข้าในอาณาเขตอย่างง่ายดายทีเดียว

เมื่อซุนเจียนกล่าววาจาเหล่านั้นจบ ทุกผู้คนต่างอุทานด้วยความตระหนกอย่างใหญ่หลวง ที่แท้ซุนเจียนวางแผนการใหญ่เช่นนี้กลับไม่เคยปริปากบอกผู้ใดเลยแม้แต่ผู้เดียว แผนอุบายอันแยบคายนี้หากสำเร็จจะส่งผลให้ซุนเจียนทะยานเป็นผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริง มีอาณาเขตครอบครองถึงครึ่งราชอาณาจักร เมื่อเป็นเช่นนี้มีผู้ใดไม่ตื่นตระหนกได้ ?

ซุนเจียนกวาดสายตาผ่านใบหน้าทุกผู้คนอีกคราพลางกล่าว “เมื่อเป็นนี้หยวนซู่ไยจะกล้าตอแยเราอีก ?”

จากนั้นออกคำสั่งว่า “กงฝู่(ชื่อทางการของหวงไก้)จงตรวจพลทั้งสามหัวเมืองให้พร้อมรายงานตัว ณ กองบัญชาการก่อนสิ้นเดือน เต๋อโหมวจงบัญชานายรองแสร้งปล่อยข่าวลวงศึกให้เอิกเกริก จากนั้นตัวท่านเป็นผู้ควบคุมการโยกย้ายทัพเรือเป็นการลับชุมนุมหลังปากอ่าวสันดอนเมืองไฉซ่าง แม่ทัพหานตังเป็นผู้ตรวจการคลังสรรพาวุธ น้องรองเป็นนายกองเสบียงสนับสนุนการศึก จูเซียนเซิงเป็นเสนาธิการกองทัพ ทุกประการต้องแล้วเสร็จพร้อมกรีฑาทัพก่อนสิ้นเดือน... เลิกประชุม”

การประชุมศึกครั้งสำคัญอันจะชี้ชะตาแห่งแดนใต้จึงเลิกราในลักษณะนี้

นครฉางซาในยามสนธยาแม้จะไม่คึกคักครึกครื้นเช่นเวลากลางวัน แต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศในอีกรูปแบบหนึ่ง มีบางร้านรวงที่เพิ่งเปิดกิจการเพื่อทำมาค้าขายตลอดราตรี โดยเฉพาะย่านตัวเมืองตะวันออกจะมีสีสันแห่งราตรีกาลเป็นพิเศษเพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่เปิดบริการให้แก่เหล่ามนุษย์ราตรีหลายแห่ง เช่น เหลาสุรา บ่อนพนัน ซ่องนางโลมซึ่งเปิดบริการให้แก่ผู้มาท่องเที่ยวหาความสนุกสนานตลอดคืน

หอหอมกำจายซึ่งเป็นเหลาสุราที่มีชื่อที่สุดในตัวเมืองก็ตั้งอยู่ในตัวเมืองตะวันออกเช่นกัน เหตุผลที่หอหอมกำจายประกอบการค้าได้งดงามยิ่งทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน นั้นนอกจากจะเป็นเพราะรสชาติอาหารที่เลิศรส สุราชั้นดี ยังมีการตกแต่งที่มีรสนิยมอย่างยิ่งโดยเฉพาะหอห้องพิเศษแต่ละห้องจะมีการตกแต่งไม่ซ้ำซากจำเจ แขกเหรื่อผู้มีอันจะกินยังสามารถเรียกหญิงสาวที่ให้บริการให้เข้ามาดื่มกินเป็นเพื่อนหรือบรรเลงเพลงขับกล่อมอีกด้วย เพียงแต่หอหอมกำจายมีกฎอันเข้มงวดคือสตรีเหล่านี้ล้วนขายศิลปะแต่ไม่ขายตัว ดังนั้นหอหอมกำจายจึงมีบรรยากาศอันสุนทรีชนิดหนึ่งแตกต่างจากการเที่ยวซ่องนางโลม

ซุนเช่อนัดหมายกับเสี่ยวฉีแห่งเหลาหอมกำจายเวลายามต้น เขาเห็นว่าอยู่ว่างไร้เรื่องราวจึงควบม้าออกมาท่องเที่ยวสัมผัสกับบรรยากาศยามสนธยา เนื่องจากเขาเป็นคนรักความอิสระจึงไม่มีผู้ติดตามคอยอารักขาแต่อย่างใด ยิ่งอย่าว่าแต่คืนนี้เขามีนัดกับหญิงงาม

เมื่อซุนเช่อควบขับม้าตามลำพังออกจากเขตจัตุรัสฉางซาวกเข้าทิศตะวันออกแล้ว เดินทางเพียงชั่วครู่ก็เข้าสู่ย่านชุมนุมชน เห็นมีร้านรวงมากหลายเพิ่งเปิดกิจการ ผู้คนยังเดินกันขวักไขว่ มีการจุดไต้เข้าไฟตั้งแต่ท้องนภายังไม่มืดมิด บรรยากาศเหล่านี้คล้ายเป็นการต้อนรับโลกหฤหรรษ์แห่งราตรีกาล

ซุนเช่อแต่งกายด้วยชุดแพรเลิศหรูสีแดงเข้ม คาดเข็มขัดเงินเงาวับ บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยครอบไว้ด้วยมงกุฎทองเสียบปิ่นทองคำ ที่หว่างเอวยังคาดไว้ด้วยกระบี่ฝักสีดำประดับลวดลายทองเล่มหนึ่ง ใบหน้าสะอาดหมดจด เต็มไปด้วยศักดิ์ฐานะของกงจื้อผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ควบขับม้าพ่วงพีสีขาวปลอด ด้วยรูปลักษณะอันโดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้ ไม่ว่าม้าของซุนเช่อควบขับไปทางใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนทั่วไป ในจำนวนนี้มีหญิงสาวมากหลายที่มองด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มหลงใหล

ซุนเช่อควบม้าเหยาะย่างอย่างเชื่องช้ายิ่งนักพลางชื่นชมกับบรรยากาศอันครึกครื้นตลอดทาง เสียงเรียกร้องป่าวประกาศเพื่อขายสินค้าดังตลอดระยะทางไม่ขาดหู ในจำนวนนี้มีทั้งร้านค้าใหญ่โตและแผงลอยข้างทาง สินค้าที่ขายทั่วไปมีทั้งอาหาร ขนม เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ร้านค้าอาวุธ สรุปแล้วมากมายจนจาระไนไม่หมดสิ้น ซุนเช่อชมดูด้วยความสนใจพลางรำพึงในใจว่า ‘ทิวทัศน์ยามย่ำค่ำที่นี้น่าสนุกมิใช่น้อย แม้ไม่คึกคักเท่าเมืองซูแต่ก็มีบรรยากาศดียิ่ง โอกาสหน้าไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นเจ้ามือชวนน้องโจวมาสังสรรค์สักครา’

ครุ่นคิดพลางกวาดตาชมดูรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็สะดุดตาแผงลอยขนาดกลางแผงหนึ่ง สาเหตุที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือคนขายสินค้ากลับเป็นเด็กหญิงวัยสิบสองสิบสามปีนางหนึ่ง ปากน้อยๆส่งเสียงร้องเรียกความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านอยู่ไปมา มีผู้คนไม่น้อยบังเกิดความเอ็นดูรุมล้อมเข้าไปชมดูสินค้า ซุนเช่อเองก็บังเกิดความสงสัยอยากรู้เช่นกัน จึงลงจากหลังม้าจูงม้าฝ่าฝูงชนเข้าไปชมดู เห็นเด็กหญิงเยาว์วัยหน้าตาหมดจดนางหนึ่งส่งเสียงเจื้อยแจ้วชักชวนลูกค้า บนแผงลอยเรียงรายไปด้วยเครื่องประดับหินสีต่างๆดูละลานตา ได้ยินผู้มาชมดูสินค้าผู้หนึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางใจดีกล่าวกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กเอย บิดามารดาเจ้าไปที่ใด เหตุใดจึงปล่อยให้เจ้าดูแลร้านค้าเพียงลำพัง”

เด็กหญิงนางนั้นเชิดปากน้อยๆพลางกล่าวตอบ “ข้าพเจ้าเติบโตพอที่จะช่วยบิดามารดาแล้ว บิดาบอกว่าเรือขนส่งสินค้าเที่ยวนี้มาล่าช้ากว่ากำหนด บิดากลัวว่าหากไม่รีบไปรอรับสินค้าจะไม่มีสินค้ามาจำหน่ายแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าดูแลร้านค้าชั่วคราว บิดาจะกลับมาก่อนประตูเมืองปิด”

ผู้คนทั้งหลายเห็นเด็กหญิงน้อยเจรจาคล่องแคล่วก็รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ซุนเช่อเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ก็อดยิ้มมิได้จึงเดินไปชมดูที่หน้าแผง เห็นเครื่องประดับหินสีต่างๆประดิษฐ์ด้วยฝีมือหัตถกรรมหลากหลายชนิด แม้จะไม่มีราคาค่างวดสักเท่าใดแต่ก็สวยงามน่าดูยิ่งนัก ซุนเช่อฉุกคิดได้ว่าหากซื้อหาเครื่องประดับสักชิ้นหนึ่งเป็นของกำนัลให้เสี่ยวฉีคงสร้างความยินดีแก่นางยิ่ง จึงเลือกหาได้สร้อยข้อมือประดับด้วยพลอยสีน้ำตาลแกมส้มเส้นหนึ่ง เด็กหญิงน้อยเห็นซุนเช่ออุดหนุนสินค้าก็ลิงโลดยินดีจนกล่าวคำขอบคุณพลางระบายรอยยิ้มทั่วใบหน้า

เมื่อซุนเช่อเลือกได้ของกำนัลแล้วจึงเดินกลับไปที่พาหนะคู่ขา ขณะจะขึ้นนั่งบนหลังม้าขาวปลอดนั้นเองพลันสังเกตเห็นผ้าขาวผืนบางๆผืนหนึ่ง พับไว้หนึ่งทบสอดไว้ใต้สายบังเหียนบังคับม้า ครั้นเพ่งตามองผ่านชั้นผ้าก็เห็นตัวอักษรเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำลักษณะคล้ายจดหมายฉบับหนึ่ง สร้างความสงสัยใจแก่ซุนเช่อยิ่ง ตนเองเพิ่งลงจากหลังม้าไปชั่วครู่ ผู้ใดเป็นผู้ส่งผืนผ้านี้มาที่ม้าของตน เหตุใดตนเองจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ครุ่นคิดดังนี้แล้วจึงหยิบฉวยผืนผ้านั้นขึ้นมาดู ภายใต้ผืนผ้าบางๆที่พับไว้เรียบมีตัวอักษรสีดำเขียนเรียงรายสองแถว ซุนเช่ออ่านข้อความเหล่านั้นทันทีมีใจความว่า ‘รับทราบชื่อเสียงวีรกรรมของเสี่ยวป้าหวาง ยังหวังได้รับการสอนสั่ง ข้าพเจ้ารอท่านเพียงโดดเดี่ยว อย่าได้แตกตื่นตกใจกลัว’

ด้านล่างวาดแผนที่เล็กๆอย่างละเอียด บนแผนที่ทำสัญลักษณ์เล็กๆไว้สองจุดระบุตำแหน่งที่ซุนเช่อยืนอยู่ ณ เวลานี้และที่หมายปลายทางนัดพบ

เมื่อซุนเช่ออ่านจบและพิจารณาแผนที่อย่างลวกๆแล้วกลับรู้สึกน่าขบขันอยู่บ้าง แสดงแน่ชัดผู้ส่งจดหมายฉบับนี้ย่อมไม่มีเจตนาดี ทั้งระบุนาม “เสี่ยวป้าหวาง” ลงในจดหมาย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจ้าวฟานไม่ยอมเลิกราเรื่องเมื่อวันวานในลักษณะนี้จึงส่งจดหมายท้าทายมา แม้ซุนเช่อจะไม่เชื่อข้อความที่ว่า ‘ข้าพเจ้ารอท่านเพียงโดดเดี่ยว’ แต่ก็หาหวาดกลัวถูกกลุ้มรุมไม่ จะอย่างไรเขาเห็นว่ายังอยู่ห่างจากเวลานัดหมายกับเสี่ยวฉีไม่น้อย ทั้งมีม้าคู่ขาเป็นพาหนะ หากเห็นผิดท่าย่อมสามารถถอนตัวจากมาได้ทุกเวลา ประกอบกับเขามีนิสัยใจร้อนดุจเปลวไฟ เมื่อเห็นประโยคสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้จึงตัดสินใจรุดไปตามคำท้าทันที

ซุนเช่อเดินทางตามเส้นทางที่แผนที่ระบุไว้โดยควบม้าตัดเข้าตรอกซอยขวามือ ข้างทางแห่งหนึ่ง เห็นเส้นทางในตรอกยาวสุดสายตาตั้งไว้ด้วยบ้านเรือนค่อนข้างภูมิฐานหลายหลัง ปรากฏแสงไฟสาดลอดออกมาจากหน้าต่างบ้านเรือนต่างๆ จำนวนผู้คนบางตากว่าในถนนสายหลัก เมื่อควบไปถึงสุดตรอกกลับพบว่าตนเองกำลังควบม้าเพียงลำพัง จากนั้นจึงลดเลี้ยวซ้ายคราหนึ่ง เส้นทางข้างหน้าขยายกว้างออกปราศจากที่ตั้งบ้านเรือนแต่อย่างไร เพ่งตามองไปเบื้องหน้าพบสะพานหินข้ามลำธารน้อยๆสะพานหนึ่ง เมื่อควบม้าข้ามสะพานหินเห็นสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นสนแน่นขนัดเป็นระยะทางหลายสิบวา ถัดไปจึงเป็นเขตบ้านเรือนราษฎรอีกแห่งหนึ่ง ซุนเช่อนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามจึงนัดพบในสถานที่เช่นนี้ ในใจครุ่นคิดแต่ยังคงลดเลี้ยวเข้าทางน้อยขวามือซึ่งในแผนที่ระบุไว้เป็นหัวโค้งสุดท้าย จากนั้นจึงค่อยเข้าใจในบัดดล ที่แท้เมื่อควบม้าผ่านทางน้อยที่สองข้างทางรกครึ้มด้วยต้นสนมาสักพักจึงพบ ว่าสุดทางเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งหนึ่งปราศจากทางเข้าออกอื่นใด บนถนนเงียบวังเวงไม่ปรากฏผู้คนแม้สักคนเดียว ใต้นภาที่เริ่มมืดมิดมีเพียงแสงไฟริบหรี่สาดลอดออกมาจากศาลเจ้า หน้าศาลเจ้ากลับมีเพียงม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่งคล้ายยืนรอคอยการมาของซุนเช่อก็มิปาน

ขณะที่ซุนเช่อควบม้าเหยาะย่างเข้าหาศาลเจ้าจนห่างจากระยะที่ม้าสีน้ำตาลลึกลับปราศจากเจ้าของยืนอยู่เพียงสองวา พลันบังเกิดความตื่นตัวขึ้นจึงรีบชักกระบี่ออกอย่างว่องไวพลางเอนตัวเบี่ยงไปทางซ้ายเล็กน้อยตวัดข้อมือไปทางด้านหลังขวามืออย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงดัง‘เคร้ง’ดังคราหนึ่ง ซุนเช่อรู้สึกสะท้านข้อมือเล็กน้อย วัตถุสีเงินที่มุ่งโจมตีจากด้านหลังถูกกระแทกบินคว้างออกไปตกอยู่ข้างทาง

ได้ยินเสียงปรบมือดังสามครา จากนั้นสุ้มเสียงของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นว่า “ปฏิกิริยารับมือเหตุเปลี่ยนแปลงช่างรวดเร็วยิ่งนัก น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”

น้ำเสียงที่กล่าวกลับกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย

ซุนเช่อหันขวับกลับไปมองดูผู้โจมตีพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั่งยองๆอยู่บนกิ่งขวางของต้นไม้ใหญ่ข้างทางต้นหนึ่ง สวมใส่ชุดรับรูปสีดำเข้ม บนศีรษะยังพันผ้าดำปกปิดใบหน้าช่วงล่างไว้ เพียงเผยเห็นดวงตาอันคมวาวทั้งคู่กำลังสำรวจมองมาทางซุนเช่อ เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่บนที่สูงทั้งตะวันลับฟ้าไปแล้ว ซุนเช่อจึงไม่สามารถจำแนกบุคลิกลักษณะของคนผู้นี้ได้ละเอียดนัก เพียงแต่มีความรู้สึกว่าบุคคลผู้นี้เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนอันรุนแรงชนิดหนึ่ง ในความปราดเปรียวแฝงไว้ด้วยความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงสารพัน

ซุนเช่อจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเฉื่อยชาพลางกล่าวว่า “ท่านท้าประลองกับข้าพเจ้าอย่างเปิดเผยแต่กลับลอบทำร้ายจากด้านหลัง ไม่นับเป็นพฤติการณ์ของผู้กล้า มิหนำซ้ำยังประพฤติลับๆล่อๆปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริง กลับทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียเวลาที่ต้องประมือกับมุสิกขวัญอ่อนตัวหนึ่ง”

คนผู้นั้นระเบิดเสียหัวร่อออกมาดังๆ จากนั้นกระโดดลงมาจากกิ่งขวางทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างมั่นคง ซุนเช่อสังเกตในทันใดว่าร่างที่อยู่ภายใต้ชุดดำนั้นทั้งกำยำสูงใหญ่แต่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่วประเปรียว เหนือผ้าคลุมหน้าเป็นดวงตาที่คมวาวคู่หนึ่ง ใต้ดวงตาคู่นั้นเป็นดั้งจมูกที่ตั้งตรง เส้นผมดำขลับเกล้าเป็นมวยไว้บนศีรษะเสียบไว้ด้วยปิ่นไม้ลักษณะโบราณอันหนึ่ง ด้ามกระบี่สีดำสนิทยื่นโผล่พ้นออกมาจากหัวไหล่ขวา ภายใต้อิริยาบถอันไม่อินังขังขอบกลับแฝงไว้ด้วยบุคลิกภาพคุกคามคน คนผู้นั้นชะงักเสียงหัวร่อลงพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “อย่าได้กล่าวหาผู้คนจนเกินเลยไป ข้าพเจ้าแม้ไม่ใช่ผู้กล้าอันใด เพียงแต่หากท่านนั่งม้านิ่งเฉยไว้ มีดสั้นของข้าพเจ้าเล่มนั้นจะเฉียดผ่านข้างกายท่านไปหนึ่งเชียะไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าทำเช่นนี้เพียงคิดทดสอบปฏิกิริยาท่าน ส่วนเรื่องการปกปิดโฉมหน้าต้องขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่สะดวกกับการเปิดเผยสารรูปในเวลานี้”

ซุนเช่อสำรวจมองอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน พลันกล่าวว่า “ท่านเป็นใคร ที่แท้มีเจตนาใด”

บุรุษชุดดำคลุมหน้านั้นกล่าวตอบว่า “ข้อความในผืนผ้านั้นคงชัดเจนกระมัง ลงมือเถอะ”

กล่าวจบยื่นมือชักกระบี่ออกมาอย่างเชื่องช้า ยกชูไปยังเบื้องหน้า ตั้งท่าตระเตรียมพร้อม

ซุนเช่อชมดูจนตากระจ่างวูบ พบว่าอีกฝ่ายเป็นคู่มือที่ยากตอแยผู้หนึ่ง เพียงท่วงท่าเริ่มต้นก็บันดาลให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีช่วงว่างให้ฉกฉวยแม้แต่น้อย ยามนั้นไม่ขบคิดมากความ เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า สืบเท้าเข้าหาฝ่ายตรงข้ามจนระยะห่างของทั้งสองฝ่ายย่นเหลือหนึ่งวา มือขวาชักกระบี่ออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่หยุดยั้งชะงักแม้เพียงชั่ววูบ พลันเร่งระดับความเร็วของฝีเท้า กวาดกระบี่ใส่ร่างท่อนบนของบุรุษนิรนามนั้นทันที

บุรุษชุดดำนั้นขมวดคิ้วเข้าหากันคราหนึ่ง คล้ายบังเกิดความประหลาดใจวูบหนึ่ง จากนั้นสีหน้าพลันสงบเยือกเย็นลง รอจนกระบี่ของซุนเช่อห่างจากลำตัวเพียงหนึ่งเชียะเศษ พลันกวาดกระบี่ลงปิดป้องร่างท่อนล่าง เสียงกระบี่กระทบกันดังสะท้าน ทั้งสองฝ่ายต่างถอยกายไปครึ่งก้าว

ซุนเช่อรู้สึกตระหนกยิ่ง ท่วงท่าที่เขาใช้ออกคล้ายรุนแรงแกร่งกร้าวแท้ที่จริงแฝงความเปลี่ยนแปลง ความจริงเขาตั้งใจใช้สภาวะบุกจู่โจมอันเกรี้ยวกราดเพื่อโหมจู่โจมฝ่ายตรงข้าม มิคาดอีกฝ่ายกลับรับมือได้ราวกับคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ยามนั้นสืบเท้าร่ายรำกระบี่เป็นร่างแหปากหนึ่งคลอบคลุมใส่อีกฝ่าย โหมกระหน่ำรุกไล่หมายช่วงชิงโอกาสรุกเผด็จศึกโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

ท่ามกลางบุปผากระบี่วงแล้ววงเล่าที่ซุนเช่อจู่โจมเข้ามา บุรุษนิรนามนั้นรับมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แม้จะตกเป็นฝ่ายตั้งรับแต่กลับไม่ปรากฏลางแพ้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับซุนเช่อยิ่งจู่โจมยิ่งบังเกิดความตื่นตระหนก ในบรรดาท่าจู่โจมที่เขาประดังเข้าใส่อีกฝ่ายระลอกแล้วระลอกเล่านั้นมีทั้งท่าปาด ฟันตรง หลอกล่อ ทิ่มสกัด ทั้งหลายทั้งมวลนี้ประมวลจากฝีมือเพลงกระบี่และประสบการณ์ต่อสู้ของเขาทั้งหมด กลับไม่อาจทำอย่างไรฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่น้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งรับดุจทำนบของเขื่อนใหญ่ที่ไม่มีวันแตกทลายลงได้ หากเป็นเช่นนี้สืบไปเมื่อตนเองเรี่ยวแรงไม่ต่อเนื่องจะประสบสภาพถูกรุกไล่จนมุมแล้ว

เมื่อได้คิดเช่นนั้นเขาจึงกวาดกระแทกกระบี่ใส่ทรวงอกอีกฝ่าย หวังอาศัยแรงสะท้อนถอนตัวออกมาตั้งหลัก มิคาดบุรุษชุดดำนั้นคล้ายคาดเดาเจตนาออก พลันบิดมือคราหนึ่งบังคับสันกระบี่ของตนดีดกระดอนเข้าหาคมกระบี่ของซุนเช่อ ทันใดสภาวะกระบี่ของทั้งสองคล้ายพัวพันกันวูบหนึ่ง จากนั้นบุรุษชุดดำนั้นกวาดมือออกด้านข้าง พริบตาวูบที่กระบี่ซุนเช่อแฉลบออกเบื้องขวามือ บุรุษชุดดำนั้นเคลื่อนกายด้วยท่วงท่าแปลกประหลาดใช้ไหล่ซ้ายพุ่งชนหัวไหล่ด้านขวาของซุนเช่อจนกระเด็นออกไปสองก้าว กระบี่ในมือขวาจึงเสือกส่งตามติดใส่ลำตัวซุนเช่อทันที

พริบตาที่คับขันซุนเช่อบังเกิดปฏิภาณวูบ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาพานหงายร่างลงสู่พื้นพลางตวัดเท้าขวาเตะใส่ข้อมือบุรุษชุดดำทันที กระบวนท่านี้คล้ายอยู่นอกเหนือการคำนวณของบุรุษชุดดำ ศัตรูผู้น่ากลัวนี้จึงถูกเตะเข้าที่ข้อมืออย่างถนัดถนี่ กระบี่ยาวในมือบินลิ่วออกไปด้านข้างทันที

แต่สภาพของซุนเช่อก็ไม่ดีกว่าเท่าไร ทันทีที่แผ่นหลังกระแทกพื้นดิน ชายชุดดำนั้นไม่สนใจกระบี่ที่หลุดลอยไปแต่อย่างใด สะอึกกายปราดเข้าหาพลางสะบัดเท้าเหยียบข้อมือของซุนเช่อทันที ยามนี้ซุนเช่อเสียเปรียบที่นอนแผ่อยู่ที่พื้น จึงชักมือหลบคราหนึ่งพลางบิดกายตวัดสองเท้าขึ้นโจมตีร่างท่อนบนของบุรุษชุด ดำ แต่บุรุษชุดดำนั้นเพียงยกเท้าซ้ายป้องกันการจู่โจมจากสองเท้าที่โจมตีจาก เบื้องล่าง เท้าขวายังคงมุ่งจู่โจมใส่มือที่กำกระบี่ไว้แน่นของซุนเช่อ ซุนเช่อสำนึกตัวดีว่าหากเป็นเช่นนี้สืบไปมิเพียงไม่สามารถรักษากระบี่ไว้ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถพลิกสถานะกลับคืนมาเช่นกัน ครุ่นคิดเช่นนี้พานปล่อยกระบี่ในมือทิ้ง จากนั้นถีบเท้าไปที่พื้นดินยันกายพุ่งถอยไปด้านหลังพลางวาดสองมือคุ้มกัน ร่างท่อนบนป้องกันการรุกไล่ของอีกฝ่าย มิคาดบุรุษชุดดำนั้นไม่ตามโจมตีแต่อย่างใดเพียงยืนนิ่งสงบอยู่ที่เดิม กวาดตามองซุนเช่อที่ยันกายลุกขึ้นพลางจ้องมองตนเขม็งนิ่ง

ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอยู่นี้ซุนเช่อหอบหายใจอยู่หลายครา ส่วนบุรุษชุดดำนั้นเพียงยืนมองอย่างสงบ ซุนเช่อกล่าวทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า “เหตุใดท่านไม่ฉวยโอกาสรุกไล่ข้าพเจ้า”

ดวงตาบุรุษชุดดำนั้นคล้ายยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวตอบ “ข้อความที่ข้าพเจ้าส่งให้ท่านเพียงต้องการนัดหมายประลองฝีมือ มิใช่เข่นฆ่ากัน ข้าพเจ้าจะรุกไล่ท่านทำอะไร”

ซุนเช่อมองบุรุษชุดดำนั้นอย่างสงสัยพลางกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะกลับไปรายงานจ้าวฟานนั้นอย่างไร”

ซุนเช่อเข้าใจว่าชายชุดดำเบื้องหน้าคือคนที่จ้าวฟานส่งมาคิดบัญชีกับเขา

บุรุษชุดดำนั้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงระคนหัวเราะอีกคราว่า “ผู้ใดว่าข้าพเจ้าเป็นพรรคพวกจ้าวฟาน ลูกเต่านั้นยังไม่มีปัญญาใช้สอยข้าพเจ้า”

ซุนเช่อยิ่งรู้สึกเลอะเลือนสงสัย หากอีกฝ่ายไม่ใช่พวกพ้องที่จ้าวฟานส่งมาคิดบัญชีกับเขา ไยจึงระบุชื่อตนเองว่า“เสี่ยวป้าหวาง”ในจดหมายนั้น ยังมีเขาเพิ่งเข้ามาอาศัยในเมืองแห่งนี้ได้ไม่นาน ไม่เคยเพาะสร้างศัตรูอันใดจึงคาดเดาไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดลึกซึ้งรู้สึกว่าตั้งแต่แรกเริ่มประมือเป็นต้นมาอีกฝ่ายคล้ายไม่มีเจตนาร้าย เพียงปิดป้องอย่างแข็งขันกลับละทิ้งโอกาสบุกจู่โจมมากหลาย ซึ่งความจริงระหว่างที่ซุนเช่อโหมจู่โจมกระบี่ บุรุษชุดดำนั้นมีช่องว่างโต้ตอบมากมายหลายครั้งทีเดียว แม้กระทั่งเมื่อครู่ก็ละทิ้งโอกาสอันประเสริฐที่อาจล้มซุนเช่อได้ในไม่กี่กระบวนท่า

บุรุษชุดดำนั้นเพ่งตามองดูซุนเช่อพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายสนุกสนานยิ่ง “ท่านมิต้องครุ่นคิดคาดเดามากความ สรุปแล้วเมื่อถึงเวลาท่านจะทราบเองว่าข้าพเจ้าเป็นใคร เพียงแต่เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่สะดวกที่จะเล่นกันเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้าจึงหาโอกาสทดสอบฝีมือท่านก่อนเท่านั้น”

ซุนเช่อกล่าวตอบด้วยความรำคาญอยู่บ้างว่า “ตอนนี้ท่านทราบแล้วกระมัง กล่าวตามความสัตย์หากเมื่อครู่ท่านรุกไล่ข้าพเจ้าต่อไป มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะล้มข้าพเจ้าพ่ายแพ้”

บุรุษชุดดำนั้นพยักหน้ากล่าวว่า “ลูกผู้ชายอันเปิดเผยนัก แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการพิสูจน์แพ้ชนะ ซึ่งความจริงครั้งข้าพเจ้าอายุเท่าท่านก็ไม่สามารถสู้ได้ดีไปกว่านี้ เพียงแต่ข้าพเจ้าขอตักเตือนท่าน ข้าพเจ้ายกย่องที่ท่านกล้ามาเพียงลำพัง แต่หากผู้นัดหมายประสงค์ร้ายต่อท่านจริงๆ เกรงว่าท่านในวันนี้ไม่อาจกลับออกไปอย่างง่ายดาย”

ซุนเช่อหัวร่อพลางกล่าวตอบ “ท่านมีเปรียบข้าพเจ้าอยู่บ้างก็จริง แต่ไม่ต้องวางตัวเป็นผู้อบรมข้าพเจ้า หากยังต่อสู้ไม่หนำใจ ข้าพเจ้ายินดีประลองหมัดมวยกับท่านสืบต่อ”

บุรุษชุดดำนั้นส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “หากสู้กับท่านสืบไปเกรงว่าท่านต้องพลาดนัดกับหญิงงามแล้ว ซึ่งความจริงท่านมีทักษะการต่อสู้ที่สูงเยี่ยม เสียดายที่ใจร้อนเกินไป ก่อนจากกันข้าพเจ้าขอฝากคำพูดบางประการ ‘กายย่อมสัมพันธ์กับจิต จิตสงบเกิดสมาธิ สมาธิก่อเกิดพลัง จิตกระจ่างหยั่งรู้สรรพสิ่ง’”

หยุดจ้องมองซุนเช่อชั่วครู่จึงสาวเท้าไปก้มกายเก็บกระบี่ของตน จากนั้นประสานมือคราหนึ่งกล่าวคำ “ขออำลา” ซุนเช่อประสานมือตอบในใจเลอะเลือนสงสัยยิ่ง อีกฝ่ายทราบเรื่องที่เขานัดหมายกับเสี่ยวฉีได้อย่างไร ได้ยินบุรุษชุดดำส่งเสียงผิวปากคราหนึ่ง ม้าสีน้ำตาลตัวนั้นพลันวิ่งเข้าหาเจ้านาย บุรุษชุดดำนั้นกระโดดขึ้นบนหลังม้า โบกมือให้ซุนเช่อพลางกล่าวว่า “โอกาสหน้าพบกันใหม่”

ซุนเช่อจ้องมองอีกฝ่ายจนม้าสีน้ำตาลบรรทุก เจ้านายของมันเลี้ยวโค้งหายลับไปจากสายตา บังเกิดความสงสัยยิ่งนักว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไร แต่ที่เขาแน่ใจคือบุรุษชุดดำผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา ตรงกันข้ามเขายังรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรจากแววตาที่เปิดเผยบนใบหน้า ซุนเช่อเห็นว่าครุ่นคิดคาดเดาไปก็เปล่าประโยชน์ ยามนั้นก้มกายเก็บกระบี่ของตนขึ้นจากพื้น เหลือบมองนภาราตรีแวบหนึ่ง ในที่สุดถึงเวลานัดหมายกับเสี่ยวฉีแล้ว เขาจัดการปัดฝุ่นละอองตามร่างกายอย่างลวกๆ จากนั้นกระโดดขึ้นบนหลังม้าคู่ขา ควบขับไปยังหอหอมกำจาย





Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 8 มิถุนายน 2553 3:35:43 น. 0 comments
Counter : 364 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ElClaSsicA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ElClaSsicA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.