ไประยองล่ะครับ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
4 เมษายน 2551
 
All Blogs
 

ตอนที่2 : ภารกิจ

"นึกว่าเจ้าจะมองไม่เห็นข้าแล้ว หากเราติดต่อกันไม่ได้ ข้าคงลำบากเป็นแน่"


ชายหนุ่มร่างใหญ่ ท่าทางแข็งแรง ยืนตระหง่านอยู่ในชุดนักรบโบราณ มีดาบสองเล่มสะพายอยู่ด้านหลังดั่งเช่นขุนศึกที่พร้อมรบอยู่เสมอกล่าวขึ้นกับแม้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก้องกังวาน และ แม้นก็คงได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ถ้าหากตอนนี้เขามีสติ ไม่หูอื้อ ตาเหลือกดังเช่นตอนนี้



"ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะตกใจอยู่บ้าง แต่อาการขาดเขลาตาขาวดังที่เจ้าเป็นอยู่นี้ หากเจ้าเป็นทหารในยุคของข้า ข้าคงเลือกที่จะฟันเจ้าให้ตายภายในกำแพงเมือง ดีเสียกว่าให้ข้าศึกมาพบว่านักรบแห่งกรุงศรีอยุธยานั้นเป็นชายไม่สมชายเยี่ยงนี้"


"เฮ้อ …" เสียงทอดหายใจยาวจากนักรบผู้นี้ บ่งบอกความรู้สึกผิดหวังได้เป็นอย่างดี ขณะที่แม้นก็คงอยู่ในอาการดังเช่นที่นักรบผู้นี้กล่าว


"ข้าคงหวังพึ่งพาคนผิดเสียแล้ว" เขาพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางกำแพง พร้อมที่จะเดินจากไป


"เดี๋ยวก่อน"

"ไหนๆ ผมก็เห็นท่านแล้ว ทั้งๆที่ไม่อยากเห็น ยังไง ...เรา ..มา...คุยกันก่อนดีไหม"





แม้นพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขาพูดออกไป เพราะต้องการคุยกับนักรบผู้นี้จริงๆ หรือไม่อยากที่จะเห็นนักรบผู้นี้เดินทะลุกำแพงออกไปต่อหน้าต่อตา

หลังสิ้นเสียงเชื้อเชิญของแม้น ผู้มาเยือนจึงได้หันมาเผชิญหน้ากับแม้นอีกครั้ง และ เริ่มกล่าวเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดิม







"ข้าชื่อ ขุนอินทราเทพ เป็นทหารแห่งกรุงศรีอยุธยา และ เป็นข้าผู้ภักดีต่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ข้าได้ติดตามพระยาตาก มายังกรุงธนบุรีหลังจากตีคืนอยุธยามาสู่เราแล้ว อันที่จริงตัวข้านั้นไม่ได้หวังที่จะมาได้ดิบดี มีตำแหน่ง อันใดภายในราชธานีแห่งใหม่นี้ดอก ข้าเพียงต้องการมาเชิญเสด็จพระองค์หญิง ที่ได้เสด็จมากับทัพก่อนหน้าข้ากลับคืนสู่อยุธยา"






"แต่อยุธยาถูกไฟไหม้หมดแล้ว" แม้นเริ่มรวบรวมสติได้พูดขัดขึ้นอย่างเกรงใจที่สุด ถึงแม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ ไทยมากนัก แต่จากละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่เขาได้ดู ก็พอจะบอกได้ว่า กรุงศรีอยุธยาไม่น่าจะเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ใดได้อีก


"ถึงเหลือเพียงเถ้า ก็ยังคงเป็นบ้านเรา ยังคงเป็นวังของเจ้านายเรา เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยึดครองกันมาสืบนาน ต่อให้มันมาย่ำยีจน ไม่เหลือสภาพอันใด ที่แห่งนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความสำคัญ วิญญาณของเหล่าบรรพชน และบรรพกษัตริย์ จะคงสถิตอยู่ที่นั้น และ พระองค์ชายก็ยังคงรอคอยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ถึงแม้พระองค์คงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน แต่ก็ยังคงรอคอยให้พระองค์หญิงกลับไปหากพระองค์หญิงทราบว่า พระองค์ชายยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็คงไม่เสด็จมาด้วยกับกองทัพเช่นนี้"



"หน้าที่ของท่านก็คือ บอกให้พระองค์หญิงทราบ แล้วก็พากันกลับไป แต่ว่า....."


แม้นพอจะเดาเรื่องราวออก แต่ก็ยังสับสนอยู่พอสมควรในเรื่องของวันเวลา แม้นมองดูหน้าขุนอินฯ พักหนึ่ง และ พูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดังเท่าไหร่นัก


"ป่านนี้พระองค์ชายก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว พระองค์หญิงก็น่าจะเช่นกัน แล้วก็.........ตัวท่านด้วยใช่มั๊ย"


แม้นบอกสมมุติฐานของตัวเองกับขุนอิน เขามั่นใจว่ามันน่าจะถูก โดยเฉพาะข้อหลัง เพราะถ้าขุนอินผู้นี้เป็นคนปกติ ขนของเขาก็คงไม่ต้องลุกชันตลอดการสนทนาเช่นนี้



"เป็นจริงที่สุด สิ่งนี้แลที่ข้าปราถนาให้เจ้ากระทำ เพราะ หากข้ายังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งหากพระองค์หญิงยังคงพระชนม์ชีพอยู่ข้าก็คงเชิญเสด็จไปนานเเล้ว แต่ข้าก็หาชีวิตไม่แล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากจะให้เจ้าช่วยทำสิ่งนี้แทนข้า"


ประโยคที่ขุนอินฯ กล่าวออกมาไม่มีคำว่าได้หรือ ไม่ มันเป็นประโยคคำสั่งอย่างชัดเจนที่สุด


"ข้าอยากให้เจ้าอัญเชิญพระอัฐิ ของพระองค์หญิง กลับไปสู่อยุธยา ณ ที่ที่อัฐิของพระองค์ชายประทับอยู่"



แม้นนิ่งไปพักหนึ่งกับงานที่ขุนอินมอบหมายให้เขาทำอย่างไม่อ้อมค้อม ก่อนจะพูดออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจอีกครั้ง


"จริงๆผมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับงานที่ท่านกำลังพูดถึงอยู่นี้ทั้งที่ตั้ง และ อะไรต่างๆ อีกมากมาย แต่คำถามที่ผมอยากถามมากที่สุด ก็คือ ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย"

แม้นหยุดพูด เพื่อรอดูท่าทางของขุนอิน ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อไปว่า

"แบบว่าทำไมต้องเป็นผม"

"คงไม่ใช่เพราะผมวาดรูปเก่งใช่ไหม"


"ไม่ใช่" ขุนอินตอบออกมาในทันที ซึ่งนั้นก็ทำให้แม้นหัวใจหล่นวูบ แม้แต่ผีก็ไม่ชมฝีมือภาพวาดของเขาหรือนี่

"นั้นเพราะ เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมาเจ้าได้เข้าไปยังวัดแจ้ง และ วันนี้ก็เป็น...." ขุนอินฯหยุดคำพูดลงชั่วครู่มองออกไปนอกหน้าต่างสายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงจันทร์

"วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๕ เป็นคืนที่พระองค์หญิงสิ้น และ อัฐิของพระองค์หญิงก็ต้องได้รับการอัญเชิญกลับไปภายใน ๗ วันนับจากนี้ตามพระราชพิธีโบราณ ซึ่งจะกระทำกันได้เฉพาะในปีครบรอบการสิ้นพระชนม์ตามการนับปีแบบนักษัตร นั้นหมายถึง หากพ้นจาก ๗ วันนี้ไปข้าต้องรออีก ๑๒ ปี เพื่อที่จะให้เจ้าสามารถอัญเชิญพระอัฐิได้อีกครั้งและ วิญญาณของ ๒ พระองค์ ก็คงต้องรอที่จะพบกันออกไปอีก ๑๒ ปี และ ข้าก็ไม่รู้ว่า อีก ๑๒ ปีข้างหน้า เจ้าจะเหยียบเท้าเข้าไป
ภายในวัดอีกหรือไม่"


น้ำเสียงของขุนอินสั่นเครือในประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมา เป็นครั้งแรกของการสนทนาที่แม้นได้ยินความอ่อนแอในน้ำเสียงของนักรบผู้นี้





"วันนี้นอกจากผมแล้ว เพื่อนผมก็พากันไปวาดรูปที่วัดกันตั้งเยอะ"

แม้นพูดออกมาลอยๆ ด้วยความรู้สึกภายในใจว่าทำไมเขาต้องมารับหน้าที่นี้ เขามองหน้าขุนอินฯอย่างชั่งใจ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างที่มันลำบากอย่างมาก เขาละสายตาจากขุนอินฯ มองต่ำลงไปที่พื้นก่อนที่จะหลุดคำพูดออกมา



"แล้วผมต้องทำอย่างไรบ้างล่ะ"

"ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดใน ๗วันนี้ ยังไงเจ้าก็ต้องกลับไปที่วัดอีกครั้ง เมื่อนั้นข้าจะบอกเจ้าเองว่าควรทำอย่างไร"


แม้นฝืนยิ้มให้กับขุนอิน ภายในใจกำลังคิดว่า ขุนอินฯรู้ได้อย่างไร
ว่างานที่เขาจะส่งให้ อ.ถาวรในวันพรุ่งนี้ยังไงก็โดนแก้อยู่วันยังค่ำ และ เขาก็ไม่พ้นที่จะต้องกลับไปที่วัดที่ขุนอินฯบอกอย่างไม่ต้องสงสัย






ปัง ปัง ปัง !!!


เสียงเคาะประตูดังลั่นที่หน้าห้องของแม้นในยามนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจอยู่มากที่เดียว เขาหันไปมองเวลาที่นาฬิกาหมีน้อยบนโต๊ะทำงานของเขา แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อหันกลับมาแล้วมองเห็นเพียงพื้นห้องว่างเปล่าที่ซึ่งขุนอินได้เคยยืนสนทนากับเขาเมื่อครู่ที่ผ่านมา หลังจากพอจะรวบรวมสติขึ้นมาได้บ้าง แม้นจึงได้เดินไปที่ประตูเพื่อรับทราบถึงที่มาของเสียงเคาะประตูในยามวิกาลแบบนี้ เขาได้แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรที่น่าตกใจไปกว่าเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งเจอไปเมื่อครู่นี้อีก








.............................................................................





 

Create Date : 04 เมษายน 2551
0 comments
Last Update : 4 เมษายน 2551 19:20:19 น.
Counter : 498 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ekinblog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ekinblog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.