เที่ยวอุบลฯ ถึง สามพันโบก
ขอยกบทความที่เขียนแล้วผ่านบอร์ด ifotosmile.com มาทั้งหมดเลยนะคะ... เพราะปกติจะลงเรื่องราวและภาพในนั้นก่อน เพราะเป็นบอร์ดประจำที่มีครอบครัวถ่ายภาพอันแสนอบอุ่นและใจดี ตลอดระยะเวลา สามปี... ยังไงใครสนใจก็แวะไปเสวนากันในนั้นได้นะคะ..
เนื่องด้วย เมื่อวันที่ 12 พค. พาแม่ของตานะไปพบหมอที่สถาบันมะเร็ง ปรากฎว่าต้องตรวจซ้ำอีกที และพบว่ายังมีเชื้อมะเร็งเปลี่ยนที่ไปอีก ทีนี้เพื่อนของพี่สาวตานะก็เลยเสนอไปเข้าคอร์สธรรมชาติบำบัดที่ศูนย์บำบัดแถวๆ อุบลฯ ค่ะ...
ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องเกิดการเดินทางครั้งนี้ ...ครั้นจะไปส่งเฉยๆ ก็คงไม่คุ้ม ไปกับตานะแล้วนิ ก็เลยถือโอกาสสัมผัสแดนอีสานซะหน่อย เพราะคงไม่ได้ไปบ่อยๆ หรอก ไกลมากๆ....
วันที่ 22 พค. โน้ตออกจากบ้าน ตี 5 ไปรับนะกับแม่ที่สุพรรณฯ ถึงเวลาประมาณ 6.45 น. ก็นั่งรอตานะและแม่ ออกจากบ้านตานะเวลา 7.30 น. ล้อหมุนจากสุพรรณฯ ผ่านอ่างทอง เข้าสระบุรี และแวะจอดพักรถก่อนเลยที่เขื่อนลำตะคอง...
แม่ลูกที่ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปไหนด้วยกันมากนัก ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สองคนเดินทางไกลมากๆ ด้วยกัน แม่กลายเป็นนางแบบจำเป็นของพวกเราไปเลย...
สิ่งที่โน้ตได้เห็นวันนี้คือแม่ของตานะ ยอมออกมาเดินทางไกล และตานะกับแม่ถ่ายรูปด้วยกันตลอดทาง... เกิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆ...และเสียงคุยกันของแม่ลูกระหว่างขับรถ...(แอบนอนฟัง)
ออกจากลำตะคอง...ก็ตัดเข้าสาย 24 วิ่งเข้าสีคิ้ว...อ.โชคชัย...บุรีรัมย์.... ถึงตรงนี้เราจอดเที่ยวอีกที่นึงค่ะ ตอนแรกที่ขับรถฟ้าครึ้ม ฝนตกตลอดทาง...
แต่พอเข้าไปถึงที่อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทหินพนมรุ้ง ฝนก็เริ่มหยุดตก และฟ้าก็ใสขึ้นมานิดนึงค่ะ...
ห้วยตามาย...ระหว่างทางก่อนถึงอุบลราชธานี
และแล้ววันนั้นเถลไถลเที่ยวกันไปเรื่อย กว่าจะถึงตัวเมืองอุบลฯ ก็ประมาณ สองทุ่ม... ส่งแม่ไว้กับเพื่อนพี่สาว เพื่อพาไปศูนย์บำบัดในตอนเช้าตีห้า...(เพราะสองคนไม่ตื่นแน่ๆ)
วันรุ่งขึ้นสองคนกับตานะ แอบหมดแรง ตื่นกันเจ็ดโมงกว่าๆ จริงอย่างที่คาดไว้...และแล้วก็ออกเดินทางต่อ โดยวิ่งเป็นวงกลมค่ะ ใช้เวลาสั้นๆ สองวัน วิ่งออกวารินทรราช ไปยังพิบูลมังสาหาร แวะเที่ยวเขื่อนสิรินธร แล้วต่อด้วย...อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ แต่โน้ตเรียกยาวหน่อยเป็นแก่งตานะ... ต้องเอารถลุยแนวหิน ลุยน้ำเข้าไป...
และแล้วก็ต่อไปยัง โขงเจียม ขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำมูลอีกครั้งค่ะ เพื่อไปดูแม่น้ำสองสี ก็ถ่ายรูปแม่น้ำอยู่พักใหญ่ แต่ตานะรู้สึกไม่ค่อยสะใจ จะขอถ่ายต่อ โน้ตก็เร่งแหละ เพราะกลัวว่าจะเย็นมาก เวลาก็น้อยมาก เดินทางจะไม่ทันเดี๋ยวเย็นจะต้องหาที่พักอีก เพราะไปแบบไม่ต้องจองล่วงหน้า ค่ำไหนนอนนั่นเลยค่ะ...
และแล้วถ่ายภาพแม่น้ำเสร็จก็วิ่งเข้าโขงเจียม...เพื่อไปดูแม่น้ำสองสี เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าไปดูที่วัดโขงเจียม ก็ขับตรงตามทางไปนั่นแหละ เราก็วิ่งตรงเลยค่ะ วิ่งข้ามแยกจะสุดท้ายอยู่แล้ว เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น วินาทีนั้นได้ยินเสียงเด็กสามคนร้องวาย...รถมา..ไม่ทันแล้ว แล้วก็ได้ยินเสียงอีกทีโครมใหญ่ ท้ายรถปัดไปนิด โน้ตก็จอดรถค่ะ เด็กสามคนคลานอยู่กลางสี่แยก... รถของหนูโน้ตโดนชนข้างท้ายเข้าอย่างจัง...รถมอเตอร์ไซด์บิดตีเข้ากับล้อรถ เพราะเด็กๆ ไม่ทันมองวิ่งพุงออกมาจากหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นแยกเล็กๆ แล้วก็ซ้อนกันมาสามคน กะจะข้ามไปริมแม่น้ำ แต่ไม่ได้มองรถเรา ด้วยความตกใจเบรคไม่ทัน ก็พุ่งเข้าชนท้ายรถโน้ตเข้าอย่างจังเลย... คนแรกที่นั่งย่องๆ ด้านหน้าไม่เป็นไร คนขับขี่หัวเลือดออกนิดหน่อย แต่คนท้ายนี่สิค่ะ ล้มลงกลางถนนเลือดออกหลายที่ ไอ้เราก็ลงมาดูรถแต่ก็รีบวิ่งมาดูน้องๆ ก่อนเลย บอกให้ไปหาหมอ เด็กๆ ก็ไม่ยอมไป บอกไม่เป็นไร ตานะลงมาช่วยดัดมอเตอร์ไซด์ให้ เพราะมันตีกับล้อเบี้ยวไม่เป็นท่าเลยค่ะ ก็วิ่งไปหาร้านซ่อมให้พอขี่ได้ แต่ปรากฎทุกร้านก็ไม่ซ่อมให้ ก็ช่วยกันดัดพอประคองได้ให้ขี่กลับได้ แล้วโน้ตก็วิ่งไปซื้อยาทำแผลให้เด็กๆ ค่ะ...
นึกแล้วก็หมดอารมณ์ถ่ายภาพเลย ก็ถามนะว่าจะไปดูต่อมั้ย...แบบว่าเซ็งไปแล้วอ่ะ ชนอีกแล้วเหรอ... อะไรกันเนี่ย....คำถามขึ้นมาเยอะแยะเลย จนไปถึงเด็กๆ จะถึงบ้านเรียบร้อยมั้ย แล้วไม่มีตังค์ถ้าประกันเรียกจะชดใช้กันยังไง ที่บ้านด่าตายเลย...ให้เบอร์ไปแล้วน้องเค้าจะโทรมารึป่าวนะ...ว่าถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว...
แต่ตานะยืนยั่นว่ามาแล้ว ทำใจสบายๆ ไปดูกันต่อ ไม่ต้องคิดมาก ก็เลยไปดูแม่น้ำสองสีต่อค่ะ แต่ตอนไปถึง แม่น้ำก็ไม่เห็นสีแยกชัดเจนเท่าไหร่ รู้แต่โขงขุ่น มูลใส...ก็เท่านั้น มันหมดอารมณ์ไปเลย สรุปถ้ายืนถ่ายตรงสะพานน้ำมูลต่ออีกพัก คาดว่าคงไม่ชนใคร ไม่น่าไปเร่งตานะเลย ทีนี้เลยเสียเวลาไปอีก 2 ชั่วโมงเลยค่ะ
และแล้วก็ไปต่อกันที่ผาแต้ม... ซักพักน้องเค้าก็โทรมาบอก "พี่ค่ะ หนูถึงบ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นอะไรมากแล้ว" ก็ค่อยโล่งหน่อย...
ว่าแล้วก็ชมที่ผาแต้มกันต่อเลยค่ะ ไปถึงก็สามโมงกว่าๆ สี่โมงได้แล้วค่ะ...
ภาพเขียนสีกลุ่มที่ 2 ผาแต้ม เป็นภาพเขียนสีกลุ่มที่ใหญ่อยู่ห่างจากเขียนกลุ่มผาขาม 300 เมตร ภาพเขียนสีในจุดนี้ เป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่มีขนาดใหญ่ และ ยาวถึง 180 เมตรมีหลากหลายแบบทั้งภาพคน สัตว์ และอื่นๆ กว่า 300 ภาพ ปะปนกัน บางภาพก็ซ้อนทับกันอยู่ ภาพที่พบในจุดนี้จะมีลักษณะ สามารถแยกประเภทได้ชัดเจนใช้สีแดงเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้เทคนิคทั้งการลงสี และการทำรูปรอยลงในเนื้อหินลักษณะเด่นของกลุ่มภาพเขียนสีที่ผาแต้มนี้จะเป็นภาพของฝ่ามือมนุษย์ แบบทึบ และแบบโปร่ง ภาพสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำ ภาพเขียนที่เป็นสัตว์บก เช่น ช้าง วัว หมา และภาพเขียนสีที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น เต่าหรือตะพาบ ปลาบึก(ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่พบในลำน้ำโขง) ลักษณะของการวาดภาพมีทั้งการวาดโครงร่าง และการระบายสีทึบ ภาพสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นี้ควรเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้น
ต่อไปเป็นภาพของน้ำตกสร้อยสวรรค์ ไปถึงน้ำตกก็ 5 โมงครึ่งแล้ว.. เดินลงไปเกือบ 6 โมง แทบไม่มีแสงอยู่แล้วหล่ะค่ะ... แต่ก็ยืนถ่ายกันอยู่นานเหมือนกัน....เรียกว่าเอากันจนฟ้าแทบหมด ออกมาจากน้ำตกนะเค้าก็ได้ถ่ายแสงเย็นอีกหน่อย โน้ตก็จอดรถรอ แบบไม่ค่อยมีอารมณ์แล้วหล่ะ เพราะกังวลเรื่องทางกับที่พักแล้วหล่ะสิ
ทีนี้สองคนก็คุยกันว่า ไปหาที่นอนใกล้ๆ สามพันโบกดีกว่า เผื่อได้แสงเช้าที่นั่น ก็วิ่งไปอีก 70 กิโลได้ค่ะ จากแถวๆ ผาแต้ม...ก็ดุ่ยๆ วิ่งกันไปนั่นแหละ ตาก็มองหาที่พักไปด้วย ถนนเริ่มไม่ดีแล้ว... ก็ไปได้ที่พักในเมืองโพธิ์ไทร ซึ่งจริงๆ ตอนเช้าตื่นมา แถวหาดสลึงก็มีที่พัก แต่ป้ายมันมองไม่เห็นเท่านั้นเอง... ไม่งั้นก็ได้ใกล้ๆ เลย...
ราคาห้องพักต่อคือ ประมาณ 300-500 บาทค่ะ...
ตั้งนาฬิกากันไว้ประมาณตี 5 นิดๆ ค่ะ กะว่าพระอาทิตย์ขึ้น 6 โมง เพราะวันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตั้ง 6 โมงกว่า คำนวนแล้วไม่น่าพลาดกันมากนัก วิ่งไปอีก 10 กิโล ก็แป๊ปเดียว คงทัน ก็รีบเตรียมกล้องแล้วก็เข้านอน หลับไปเต็มอิ่ม ได้ยินเสียงอีกทีไก่ขัน ก็เป็นคนตื่นง่ายค่ะ..ลุกขึ้นมาเห็นแสงลอดหน้าต่าง ก็ตกใจเลยค่ะ แสงเช้าที่ว่าอดถ่ายแล้ว ฟ้าขาวขนาดนี้... ก็หันกลับมาที่นาฬิกาปลุกว่าทำไมไม่ปลุก...มันไม่เคยพลาดเลยนิน่า...ที่ไหนได้ วันนั้นพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 4. 50 อ้าวแม่จ้าว.... อดสิค่ะ...เซ็งเรื่องที่สอง...
ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไปก็ไม่ทัน ก็ลงไปนอนต่อซะเลย ออกจากห้องพักอีกที แปดโมงเช้านั่นแหละค่ะ... วิ่งไปสามพันโบก...
สามพันโบก เป็นเขตของ อบต. รับผิดชอบค่ะ จะไปชมก็เลยมีการเสียค่าจอดรถ คันละ 20 บาท ถ้าช่วงไม่มีน้ำ ก็เอารถลงไปที่ลานหินได้เลย...เค้ามีทางให้ลงไปได้ คิดว่าไม่เสียค่าจอดด้วยซ้ำนะ ถ้าลงไปจอดข้างล่าง...
ยืนตัดสินใจอยู่นานค่ะ...เอาไงดี...จะลงไปถ่ายยังไง... มองดูแล้วมันกว้างเหมือนกัน ระหว่างคิด ระหว่างหิว ก็ไปสั่งโอวัลตินเช้า..ที่ร้านข้างๆ พี่เค้าก็คุยดีค่ะ แนะนำให้เราเที่ยวเรือบอกว่า"เห็นเยอะกว่า ไม่งั้นเดินไกลลิบตาเลย.."ระหว่างนั้นก็เกิดการสนทนากับแม่ค้าขึ้น..
โน้ตก็ถามว่า "ไปไหนบ้าง" เค้า "เรือพาไปหาดสองหาด หาดสลึง กับอีกหาด" โน้ตจำชื่อไม่ได้แล้ว "แล้วก็พาไปลานหินสี แล้วก็วิ่งเลียบโขงไปเรื่อยๆ ชมบรรยากาศ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง... " โน้ตก็ "เท่าไหร่??" พี่เค้า ... "800 บาท" ...ทีแรกเดินหนีค่ะ...ไม่เอา..ในใจคิดว่าแพงเกิน.. พี่เค้าถามอีกว่า "มากันกี่คน..." โน้ต "2 คนเท่านั่นแหละ..." เค้าก็ถามว่า "งั้นเอาเรือเล็กมั้ย??" โน้ต.."เท่าไหร่หน่ะพี่ แพงไม่เอานะ...ไปแค่สองคนเท่านั้นเอง..." พี่สาว..."เดี๋ยวหาให้ ทั้งหมด 200 บาทเท่านั้นแหละ" โน้ต..."งั้นค่อยน่าสนหน่อย จอดนานได้รึป่าวค่ะ เพราะถ่ายรูปด้วย.." พี่สาว.."ได้ไม่มีปัญหา ก็ประมาณ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงนะ" โน้ต.."งั้นหนูไปถามแฟนก่อนนะพี่ ว่าเค้าอยากไปรึป่าว??"
ว่าแล้วก็เดินมาถามตานะ คุยกันว่าไหนๆ ก็มาแล้ว นั่งเรือเที่ยวโขงซักรอบแล้วกัน คนละ 100 บาท ก็โอเคอยู่นะ...
จากนั้นก็จัดแจงลงเรือกันเลยค่ะ...
ที่เห็นนี่คือ น้ำขึ้นมาแล้ว 30 เมตร จริงๆ ช่วงเมษาเนียจะแห้งและลึกกว่านี้ แต่สำหรับโน้ตกับนะ คิดว่าเท่านี้ก็สวยอีกอย่าง เพราะเราก็ยังเห็นหลุม แล้วยังมีน้ำจากฝนมาขังตามหลุม ได้เงาสะท้อนก้อนเมฆ ไปอีกแบบด้วย...ส่วนตัวเลยขอแนะนำให้เที่ยวช่วงต้นพฤษภาคมดีกว่า... แต่สิ่งที่ต้องเตรียมคือ กันแดดค่ะ เพราะไปต้องใช้เวลาถ่ายแน่นอน แล้วไม่มีร่มให้พักพิงแน่นอน...น้ำอีกหนึ่งขวดติดไป...เพราะระหว่างนั่งเรือจะหิวน้ำเหมือนกัน...
สำหรับตานะบอกเสริมมาว่า ให้เตรียมตะแกรงไปลองร่อนทองด้วย เพราะทรายเป็นทอง...เลย...
ภาพที่ตานะยืนนั่นคือลานหินสีค่ะ ถ้าเดินจากตรงที่จอดรถ ก็ประมาณ 7 กิโลได้... แต่ถ้านั่งเรือก็แป๊ปเดียว...
ทีแรกนึกว่าครึ่งวันคงพอสำหรับพวกเราที่หมดอารมณ์ถ่ายภาพไปซักหน่อยแระ ที่ไหนได้ อยู่ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ยันไปถึง บ่าย 3 จะอยู่ถึงเย็นก็ไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ เพราะนัดประกันรถไว้ในเมือง... ต้องรีบเอารถไปให้เค้าดู...ก็เลยต้องออกมาก่อน...
ตอนนี้ตัวดำลอกกันไปหมดเลย...
หาดทรายแบบนี้เต็มไปหมดเลยค่ะ ก็คล้ายๆ กันกับที่หาดสลึง... คนอุบลฯ บอกว่าธรรมดามาก ก็น้ำลดตอผุดนั่นแหละ... แต่เราคนชอบเที่ยวก็ว่า ธรรมชาติน่าอัศจรรย์จริงๆ...
Create Date : 28 พฤษภาคม 2552 |
|
24 comments |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 12:03:01 น. |
Counter : 2319 Pageviews. |
|
|
|
ตอนนี้เก็บตังมาเที่ยวได้แค่แถวระยอง อีกสามวันกลับกรุงเทพ ทะเลเงียบมากๆๆๆเลยวันนี้